**ฝนยังไม่ทันตก รัฐบาลก็กางร่มซะแล้ว งัดพ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 หรือ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ มาใช้กันแต่หัววัน เหมือนเมื่อครั้งไล่ทุบม็อบองค์การพิทักษ์สยาม (อพส.) ของ“เสธ.อ้าย”พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ไม่มีผิดเพี้ยน
การประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ใน 3 เขต ที่มีพื้นที่อยู่ในวงรอบทำเนียบรัฐบาล และรัฐสภา ประกอบด้วย เขตพระนคร เขตดุสิต และเขตป้อมปราบศัตรูพ่าย โดยมีกรอบระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 1–10 ส.ค. ถือว่าไม่ผิดตามที่คาดการณ์กันไว้ก่อนหน้านี้ว่า ที่สุดแล้วรัฐบาลจะต้องจัดอาวุธหนักมาข่มให้ประชาชนที่เตรียมจะแพ็กกระเป๋าเข้ากรุง เกิดอาการชั่งใจ มาดีหรือไม่มาดี ???
ยิ่งมวลชนที่เคยโดนพิษสงกฎหมายฉบับนี้เมื่อครั้งการชุมนุมของ“เสธ.อ้าย”เมื่อปีกลาย บางรายยังอยู่ในอาการขวัญผวา อาจจะยังแหยงๆ กระบองและแก๊สน้ำตากันอยู่ บางทีอาจทำให้เปลี่ยนใจนอนอยู่บ้านเฉยๆ ได้
ว่ากันตามสภาพที่หน่วยงานด้านความมั่นคงประเมินจำนวนผู้ชุมนุมของ อพส. น่าจะอยู่ที่ราวๆ หลัก 5 พันคนถึงหนึ่งหมื่นคนนั้น ถือว่าเป็นจำนวนที่น้อยกว่าเมื่อครั้ง “เสธ.อ้าย”ถือธงนำมาก สืบเนื่องจากครั้งนี้มีการมองกันว่า “พล.ร.อ.ชัย สุวรรณภาพ”ประธาน อพส.ในหมวกใบใหม่ “เสนาธิการ่วม กองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ”ยังมีแรงดึงดูดมวลชนได้น้อยกว่า
ด้วยเพราะชื่อเสียงเรียงนามไม่เป็นที่คุ้นหู ขณะที่ความล้มเหลวจากการชุมนุมครั้งที่แล้ว ทำให้ประชาชนหลายคนไม่มั่นใจว่า การออกมาสู้ครั้งนี้จะได้อะไรติดไม้ติดมือกลับไปบ้าง มิหนำซ้ำ ยังมีสิทธิเจ็บตัวฟรีๆ อีกด้วย
ขณะที่การปิดบังรูปแบบการชุมนุม สถานที่การชุมนุม รวมถึงจุดมุ่งหมายในการออกมา ที่ไม่มีความชัดเจนในครั้งนี้ ทำให้มวลชนหลายคนมองไม่เห็นทิศทาง และมองไม่เห็นทางสำเร็จไปถึงฝั่งฝัน
**การออกมาแบบไร้จุดมุ่งหมายที่ชัดเจน จึงอาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ตัดสินใจไม่มาเข้าร่วม !!
แต่การที่รัฐบาลชิงประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ เป็นระยะเวลาถึง 10 วัน นั่นเป็นเพราะกังวลว่า หากมีฝ่ายการเมืองเข้าร่วม โดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ ตัวเลขข้างต้นที่มีการประเมินกันอาจคูณเป็น 2-3 เท่าตัวได้
ตามตรรกะที่ “จับกัง 1”ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.แรงงาน เกริ่นๆเอาไว้ แค่ในพื้นที่กรุงเทพพมหานคร หาก “ค่ายสีฟ้า”จะเป่านกหวีดกรีธาทัพจริงๆ แค่ไอแค๊กเดียวมวลชนก็แห่กันมาเป็นโขยง
**ตามคิวก็เลยต้องล้อมคอกกันไว้ก่อน !!
แต่หากสุดท้ายแล้วปรากฏว่าไร้เงา “ค่ายสีฟ้า”มาร่วมแจม ม็อบของทหารแก่ภาค 2 ก็ไม่ต่างอะไรกับการก่อไฟกลางพายุฝน กฎหมายที่มีอยู่ในมือฝ่ายรัฐย่อม “เอาอยู่”ได้ไม่ยาก
ยิ่งในยุคที่มีผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) ที่พี่ให้ อย่าง “บิ๊กแจ๊ด”พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ที่จัดอยู่ในประเภท“สายเหยี่ยว”ด้วยแล้ว เมื่อได้อำนาจจากกฎหมายฉบับดังกล่าวเสริมเข้าไป ก็มีสิทธิส่อแววว่า“ม็อบนางเลิ้ง”อาจจะถูกกระบองนวดจนหลังแอ่นไปเหมือนกับครั้ง“เสธ.อ้าย”
**ลำพังม็อบมวลชนคนนางเลิ้งอย่างเดียว จึงไม่น่าจะคณามือ “ตำรวจมะเขือเทศ”
หมากกระดานนี้เลยถูกเบนเป้าไปที่ปัจจัยสำคัญอย่าง “ค่ายสีฟ้า”ทันทีว่า สุดท้ายจะถอดสูท ลบภาพผู้ดียึดถือระบบรัฐสภา ออกมาเล่นข้างถนนหรือไม่
หากออกมา ฟืนที่ “กองทัพประชาชน”สุมอยู่ก็อาจลุกโชนสู้สายฝนได้เหมือนกัน !!
คิวนี้เลยได้วัดใจ “ค่ายสีฟ้า”ว่าจะเลิกเหนียมอาย แล้วเรามาฟัดกันนอกสภาหรือไม่ ก็อย่างที่ “จับกัง 1”วิเคราะห์เอาไว้ก่อนหน้า สมัยก่อนมีแต่หลบๆ ซ่อนๆ อยู่ข้างหลัง อาศัยเอาคนมาเติม แต่ถ้าครั้งนี้เล่นเปิดหน้า โอกาสที่การเมืองที่จะเดินสู่จุดแหลมคน มันก็มีสูง
**ครั้งนี้จึงเป็นบทพิสูจน์ความจริงใจครั้งสำคัญ !!
โดยเฉพาะท่าทีขึงขังของ “เทพเทือก”นายสุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำคนสำคัญของประชาธิปัตย์ บนเวทีผ่าความจริงเรื่อง “หยุดกฎหมายล้างผิดคิดล้มรัฐธรรมนูญ หยุดเงินกู้ผลาญชาติ หยุดอำนาจฉ้อฉล”ครั้งที่ 57 ที่สวนเบญจสิริ เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ในวันนั้น“สุเทพ”ออกโรงเรียกร้องให้ประชาชนลุกขึ้นมาแสดงพลัง เพื่อต่อต้านกฎหมายนิรโทษกรรมอย่างสุดลิ่ม จนได้รับเสียงปรบมือเกรียวกราวจากแฟนคลับ
สมทบด้วย“ลูกคู่”อย่าง“สาทิตย์ วงศ์หนองเตย”ที่บอกให้ประชาชนเก็บกระเป๋าแล้วเดินทางเข้ามาในกทม. เพื่อร่วมเวทีผ่าความจริงของพรรคประชาธิปัตย์ ที่จะจัดต่อเนื่องไปจนถึงวันที่ 7 ส.ค. ซึ่งเป็นวันดีเดย์ ที่จะมีการนำ ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมของ "วรชัย เหมะ" ส.ส.เพื่อไทย เข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร
ฟังน้ำเสียงในวันนั้น เป็นใครก็ต้องนึกว่างานนี้ “ค่ายสีฟ้า”เอาแน่ คงลงมาลุยการเมืองข้างถนนเต็มตัว และคงมี แกนนำม็อบ คนใหม่ชื่อ “เทพเทือก”แน่ๆ
แต่ไม่ทันไร อารมณ์ก็ต้องค้างเติ่งกันเป็บแถบ เมื่อถอดรหัสคำปราศรัยของ “สุเทพ”ล่าสุดบนเวทีผ่าความจริง ที่ลานสกายวอล์ก ช่องนนทรี เมื่อวันที่ 31 ก.ค.ที่ผ่านมา ที่แม้จะย้ำขึงขัง คำรามเสียงดังว่า พร้อมจะเป็นแกนนำ ถอดสูทเป่านกหวีดสู้ แต่ขอเป็นตอนที่ ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ผ่านวาระ 3 ไปแล้ว
**มามุกนี้เล่นเอากองชียร์ มึนไปทั้งบางสลิ่ม
เพราะหากไล่เรียงตามลำดับกระบวนการออกกฎหมาย การที่ไม่ออกมาคัดค้านในตอนนี้ ก็เท่ากับเคลียร์รันเวย์ให้กฎหมายนิรโทษฯฉบับ “เดอะเงาะ”รับหลักการ วาระที่ 1 ในวันที่ 7 ส.ค.นี้ ส่วนวาระ 2 ชั้นแปรญัตติ ในกรรมาธิการ ก็คงใช้เวลาไม่เนิ่นนาน เนื่องจากกฎหมายมีอยู่แค่ 7 มาตรา สั้นๆ ก่อนจะมีการพิจารณาใน วาระ 3 ก็เท่ากับผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎร เป็นที่เรียบร้อย เตรียมส่งต่อให้วุฒิสภาเป็น “ตรายาง”ประทับรับรอง เตรียมประกาศใช้เป็นกฎหมาย
ถึงวันนั้นจริง บรรดาพวกที่มีชนักปักหลัง ทั้งแกนนำ มือฆ่า มือเผา รวมทั้ง “ทักษิณ ชินวัตร” ที่หลบหนีคดีอยู่เมืองนอก ก็จะเห็นแสงรำไรๆ ปลายทางอุโมงค์แห่งการฟอกขาวไปแล้ว
หากต้องการขัดขวาง แต่ลุกมาสู้ในตอนนั้น ก็คงสายเกินแก้
จับอาการ “เทพเทือก”ที่เวทีช่องนนทรี ดูเป็นคนละคนกับที่สวนเบญจสิริ จากคนที่งัดนกหวีดมาเตรียมเป่าปรี๊ดดดดด ไม่กี่วันต่อมากลับยัดใส่กระเป๋าไว้เหมือนเดิม
ทำให้ดูเหมือน “ค่ายสีฟ้า”จะยังไม่กล้ารีบออกมาเปิดเกมข้างถนน แน่นอนเรื่องความไม่พร้อมของการจัดการมวลชน เพราะเอาเข้าจริง “เวทีผ่าความจริง”ก็เริ่มได้ไม่นาน สื่อในมืออย่าง “บลูสกายทีวี”เรตติ้งไม่ได้พุ่งปรึ๊ด สมกับทุนที่ลงไป สรุปยังไม่พร้อมจะมีม็อบของตัวเองอย่างเป็นเรื่องเป็นราว
โครงสร้างยังไม่ปึ้ก ทิศทางลม ยังไม่เป็นใจ
หรือบ้างก็ว่ามี “ใบสั่ง”สายตรงมาถึง “เทพเทือก”สั่งเบรกเกมนอกสภาหนนี้ออกไปก่อน ก็ดูจะมีน้ำหนักพอสมควร ที่ทำให้นักการเมืองจอมเก๋ายอมเสียฟอร์ม กลับลำในไม่กี่วัน
ทำให้ที่ประเมินกันว่า วันที่ 7 ส.ค.นี้ การเมืองจะเดือดปุดๆ ก็คงลดดีกรีลงไปเยอะ จะเหลือก็เพียง “ม็อบนางเลิ้ง”ที่ประกาศคัดค้านกฎหมายล้างผิดอย่างหัวชนฝา และมีการออกกำหนดการคร่าวๆ จัดกิจกรรมต่อเนื่องถึงวันดังกล่าว แต่ยังอุบรายละเอียด รูปแบบ-สถานที่ เอาไว้แบบไม่มีหลุด
มองตามเนื้อผ้า ลำพังฐานเดิมของ อพส. รวมกับแนวร่วมใหม่ที่เข้ามาเสริมในนาม “6 เสนาธิการร่วม”ดูจะไร้พลังที่เป็นกอบเป็นกำ จะไปหวังยืมมือ“หน้ากากขาว”ให้มาร่วมชุมนุมเป็นเนื้อเดียวกัน ก็ไม่แน่นอน ยากจะประเมินกำลังพล
ทำให้เห็นภาพลางๆ ของการชุมนุมของ “ม็อบ อพส.ภาค 2” ในวันที่ 4 ส.ค. หรือแม้แต่วันที่ 7 ส.ค. แล้วว่า อาจม้วนเสื่อกลับบ้านเหมือนกับภาคแรก และอาจจะไม่ต้องถึงขนาดมีความรุนแรงเหมือนที่ “เสธ.อ้าย” โดนมาก่อนด้วยซ้ำ เพราะมวลชนและตัวดึงดูดให้ม็อบมีพลกำลังพอจะต่อกรกับกฎหมายที่รัฐบาลใช้นั้น ไม่มี
โอกาสจะเขย่าให้รัฐบาลเปลี่ยนใจเลื่อนการพิจารณากฎหมายดังกล่าวออกไปเหมือนเมื่อครั้งกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ออกมาคัดค้านการพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยความปรองดองแห่งชาติ ฉบับของ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคมาตุภูมิ นั้นเป็นไปได้ยาก
ยิ่งมี พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ออกมาสกัดกั้นอีกแรง เรียกว่าการยับยั้งทำได้ลำบากเหลือเกิน !!
**หากเข้าอีหรอบที่ “เดอะเทือก”ลั่นวาจาเอาไว้ว่า จะควักนกหวีดออกมาเป่าหลังจากผ่านวาระ 3 ไปแล้ว ก็ส่อแววว่า การชุมนุมของ “กองทัพประชาชน”จะโดดเดี่ยว เหี่ยวปลาย และไม่หวือหวาอะไรเลย
การประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ใน 3 เขต ที่มีพื้นที่อยู่ในวงรอบทำเนียบรัฐบาล และรัฐสภา ประกอบด้วย เขตพระนคร เขตดุสิต และเขตป้อมปราบศัตรูพ่าย โดยมีกรอบระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 1–10 ส.ค. ถือว่าไม่ผิดตามที่คาดการณ์กันไว้ก่อนหน้านี้ว่า ที่สุดแล้วรัฐบาลจะต้องจัดอาวุธหนักมาข่มให้ประชาชนที่เตรียมจะแพ็กกระเป๋าเข้ากรุง เกิดอาการชั่งใจ มาดีหรือไม่มาดี ???
ยิ่งมวลชนที่เคยโดนพิษสงกฎหมายฉบับนี้เมื่อครั้งการชุมนุมของ“เสธ.อ้าย”เมื่อปีกลาย บางรายยังอยู่ในอาการขวัญผวา อาจจะยังแหยงๆ กระบองและแก๊สน้ำตากันอยู่ บางทีอาจทำให้เปลี่ยนใจนอนอยู่บ้านเฉยๆ ได้
ว่ากันตามสภาพที่หน่วยงานด้านความมั่นคงประเมินจำนวนผู้ชุมนุมของ อพส. น่าจะอยู่ที่ราวๆ หลัก 5 พันคนถึงหนึ่งหมื่นคนนั้น ถือว่าเป็นจำนวนที่น้อยกว่าเมื่อครั้ง “เสธ.อ้าย”ถือธงนำมาก สืบเนื่องจากครั้งนี้มีการมองกันว่า “พล.ร.อ.ชัย สุวรรณภาพ”ประธาน อพส.ในหมวกใบใหม่ “เสนาธิการ่วม กองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ”ยังมีแรงดึงดูดมวลชนได้น้อยกว่า
ด้วยเพราะชื่อเสียงเรียงนามไม่เป็นที่คุ้นหู ขณะที่ความล้มเหลวจากการชุมนุมครั้งที่แล้ว ทำให้ประชาชนหลายคนไม่มั่นใจว่า การออกมาสู้ครั้งนี้จะได้อะไรติดไม้ติดมือกลับไปบ้าง มิหนำซ้ำ ยังมีสิทธิเจ็บตัวฟรีๆ อีกด้วย
ขณะที่การปิดบังรูปแบบการชุมนุม สถานที่การชุมนุม รวมถึงจุดมุ่งหมายในการออกมา ที่ไม่มีความชัดเจนในครั้งนี้ ทำให้มวลชนหลายคนมองไม่เห็นทิศทาง และมองไม่เห็นทางสำเร็จไปถึงฝั่งฝัน
**การออกมาแบบไร้จุดมุ่งหมายที่ชัดเจน จึงอาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ตัดสินใจไม่มาเข้าร่วม !!
แต่การที่รัฐบาลชิงประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ เป็นระยะเวลาถึง 10 วัน นั่นเป็นเพราะกังวลว่า หากมีฝ่ายการเมืองเข้าร่วม โดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ ตัวเลขข้างต้นที่มีการประเมินกันอาจคูณเป็น 2-3 เท่าตัวได้
ตามตรรกะที่ “จับกัง 1”ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.แรงงาน เกริ่นๆเอาไว้ แค่ในพื้นที่กรุงเทพพมหานคร หาก “ค่ายสีฟ้า”จะเป่านกหวีดกรีธาทัพจริงๆ แค่ไอแค๊กเดียวมวลชนก็แห่กันมาเป็นโขยง
**ตามคิวก็เลยต้องล้อมคอกกันไว้ก่อน !!
แต่หากสุดท้ายแล้วปรากฏว่าไร้เงา “ค่ายสีฟ้า”มาร่วมแจม ม็อบของทหารแก่ภาค 2 ก็ไม่ต่างอะไรกับการก่อไฟกลางพายุฝน กฎหมายที่มีอยู่ในมือฝ่ายรัฐย่อม “เอาอยู่”ได้ไม่ยาก
ยิ่งในยุคที่มีผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) ที่พี่ให้ อย่าง “บิ๊กแจ๊ด”พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ที่จัดอยู่ในประเภท“สายเหยี่ยว”ด้วยแล้ว เมื่อได้อำนาจจากกฎหมายฉบับดังกล่าวเสริมเข้าไป ก็มีสิทธิส่อแววว่า“ม็อบนางเลิ้ง”อาจจะถูกกระบองนวดจนหลังแอ่นไปเหมือนกับครั้ง“เสธ.อ้าย”
**ลำพังม็อบมวลชนคนนางเลิ้งอย่างเดียว จึงไม่น่าจะคณามือ “ตำรวจมะเขือเทศ”
หมากกระดานนี้เลยถูกเบนเป้าไปที่ปัจจัยสำคัญอย่าง “ค่ายสีฟ้า”ทันทีว่า สุดท้ายจะถอดสูท ลบภาพผู้ดียึดถือระบบรัฐสภา ออกมาเล่นข้างถนนหรือไม่
หากออกมา ฟืนที่ “กองทัพประชาชน”สุมอยู่ก็อาจลุกโชนสู้สายฝนได้เหมือนกัน !!
คิวนี้เลยได้วัดใจ “ค่ายสีฟ้า”ว่าจะเลิกเหนียมอาย แล้วเรามาฟัดกันนอกสภาหรือไม่ ก็อย่างที่ “จับกัง 1”วิเคราะห์เอาไว้ก่อนหน้า สมัยก่อนมีแต่หลบๆ ซ่อนๆ อยู่ข้างหลัง อาศัยเอาคนมาเติม แต่ถ้าครั้งนี้เล่นเปิดหน้า โอกาสที่การเมืองที่จะเดินสู่จุดแหลมคน มันก็มีสูง
**ครั้งนี้จึงเป็นบทพิสูจน์ความจริงใจครั้งสำคัญ !!
โดยเฉพาะท่าทีขึงขังของ “เทพเทือก”นายสุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำคนสำคัญของประชาธิปัตย์ บนเวทีผ่าความจริงเรื่อง “หยุดกฎหมายล้างผิดคิดล้มรัฐธรรมนูญ หยุดเงินกู้ผลาญชาติ หยุดอำนาจฉ้อฉล”ครั้งที่ 57 ที่สวนเบญจสิริ เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ในวันนั้น“สุเทพ”ออกโรงเรียกร้องให้ประชาชนลุกขึ้นมาแสดงพลัง เพื่อต่อต้านกฎหมายนิรโทษกรรมอย่างสุดลิ่ม จนได้รับเสียงปรบมือเกรียวกราวจากแฟนคลับ
สมทบด้วย“ลูกคู่”อย่าง“สาทิตย์ วงศ์หนองเตย”ที่บอกให้ประชาชนเก็บกระเป๋าแล้วเดินทางเข้ามาในกทม. เพื่อร่วมเวทีผ่าความจริงของพรรคประชาธิปัตย์ ที่จะจัดต่อเนื่องไปจนถึงวันที่ 7 ส.ค. ซึ่งเป็นวันดีเดย์ ที่จะมีการนำ ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมของ "วรชัย เหมะ" ส.ส.เพื่อไทย เข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร
ฟังน้ำเสียงในวันนั้น เป็นใครก็ต้องนึกว่างานนี้ “ค่ายสีฟ้า”เอาแน่ คงลงมาลุยการเมืองข้างถนนเต็มตัว และคงมี แกนนำม็อบ คนใหม่ชื่อ “เทพเทือก”แน่ๆ
แต่ไม่ทันไร อารมณ์ก็ต้องค้างเติ่งกันเป็บแถบ เมื่อถอดรหัสคำปราศรัยของ “สุเทพ”ล่าสุดบนเวทีผ่าความจริง ที่ลานสกายวอล์ก ช่องนนทรี เมื่อวันที่ 31 ก.ค.ที่ผ่านมา ที่แม้จะย้ำขึงขัง คำรามเสียงดังว่า พร้อมจะเป็นแกนนำ ถอดสูทเป่านกหวีดสู้ แต่ขอเป็นตอนที่ ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ผ่านวาระ 3 ไปแล้ว
**มามุกนี้เล่นเอากองชียร์ มึนไปทั้งบางสลิ่ม
เพราะหากไล่เรียงตามลำดับกระบวนการออกกฎหมาย การที่ไม่ออกมาคัดค้านในตอนนี้ ก็เท่ากับเคลียร์รันเวย์ให้กฎหมายนิรโทษฯฉบับ “เดอะเงาะ”รับหลักการ วาระที่ 1 ในวันที่ 7 ส.ค.นี้ ส่วนวาระ 2 ชั้นแปรญัตติ ในกรรมาธิการ ก็คงใช้เวลาไม่เนิ่นนาน เนื่องจากกฎหมายมีอยู่แค่ 7 มาตรา สั้นๆ ก่อนจะมีการพิจารณาใน วาระ 3 ก็เท่ากับผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎร เป็นที่เรียบร้อย เตรียมส่งต่อให้วุฒิสภาเป็น “ตรายาง”ประทับรับรอง เตรียมประกาศใช้เป็นกฎหมาย
ถึงวันนั้นจริง บรรดาพวกที่มีชนักปักหลัง ทั้งแกนนำ มือฆ่า มือเผา รวมทั้ง “ทักษิณ ชินวัตร” ที่หลบหนีคดีอยู่เมืองนอก ก็จะเห็นแสงรำไรๆ ปลายทางอุโมงค์แห่งการฟอกขาวไปแล้ว
หากต้องการขัดขวาง แต่ลุกมาสู้ในตอนนั้น ก็คงสายเกินแก้
จับอาการ “เทพเทือก”ที่เวทีช่องนนทรี ดูเป็นคนละคนกับที่สวนเบญจสิริ จากคนที่งัดนกหวีดมาเตรียมเป่าปรี๊ดดดดด ไม่กี่วันต่อมากลับยัดใส่กระเป๋าไว้เหมือนเดิม
ทำให้ดูเหมือน “ค่ายสีฟ้า”จะยังไม่กล้ารีบออกมาเปิดเกมข้างถนน แน่นอนเรื่องความไม่พร้อมของการจัดการมวลชน เพราะเอาเข้าจริง “เวทีผ่าความจริง”ก็เริ่มได้ไม่นาน สื่อในมืออย่าง “บลูสกายทีวี”เรตติ้งไม่ได้พุ่งปรึ๊ด สมกับทุนที่ลงไป สรุปยังไม่พร้อมจะมีม็อบของตัวเองอย่างเป็นเรื่องเป็นราว
โครงสร้างยังไม่ปึ้ก ทิศทางลม ยังไม่เป็นใจ
หรือบ้างก็ว่ามี “ใบสั่ง”สายตรงมาถึง “เทพเทือก”สั่งเบรกเกมนอกสภาหนนี้ออกไปก่อน ก็ดูจะมีน้ำหนักพอสมควร ที่ทำให้นักการเมืองจอมเก๋ายอมเสียฟอร์ม กลับลำในไม่กี่วัน
ทำให้ที่ประเมินกันว่า วันที่ 7 ส.ค.นี้ การเมืองจะเดือดปุดๆ ก็คงลดดีกรีลงไปเยอะ จะเหลือก็เพียง “ม็อบนางเลิ้ง”ที่ประกาศคัดค้านกฎหมายล้างผิดอย่างหัวชนฝา และมีการออกกำหนดการคร่าวๆ จัดกิจกรรมต่อเนื่องถึงวันดังกล่าว แต่ยังอุบรายละเอียด รูปแบบ-สถานที่ เอาไว้แบบไม่มีหลุด
มองตามเนื้อผ้า ลำพังฐานเดิมของ อพส. รวมกับแนวร่วมใหม่ที่เข้ามาเสริมในนาม “6 เสนาธิการร่วม”ดูจะไร้พลังที่เป็นกอบเป็นกำ จะไปหวังยืมมือ“หน้ากากขาว”ให้มาร่วมชุมนุมเป็นเนื้อเดียวกัน ก็ไม่แน่นอน ยากจะประเมินกำลังพล
ทำให้เห็นภาพลางๆ ของการชุมนุมของ “ม็อบ อพส.ภาค 2” ในวันที่ 4 ส.ค. หรือแม้แต่วันที่ 7 ส.ค. แล้วว่า อาจม้วนเสื่อกลับบ้านเหมือนกับภาคแรก และอาจจะไม่ต้องถึงขนาดมีความรุนแรงเหมือนที่ “เสธ.อ้าย” โดนมาก่อนด้วยซ้ำ เพราะมวลชนและตัวดึงดูดให้ม็อบมีพลกำลังพอจะต่อกรกับกฎหมายที่รัฐบาลใช้นั้น ไม่มี
โอกาสจะเขย่าให้รัฐบาลเปลี่ยนใจเลื่อนการพิจารณากฎหมายดังกล่าวออกไปเหมือนเมื่อครั้งกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ออกมาคัดค้านการพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยความปรองดองแห่งชาติ ฉบับของ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคมาตุภูมิ นั้นเป็นไปได้ยาก
ยิ่งมี พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ออกมาสกัดกั้นอีกแรง เรียกว่าการยับยั้งทำได้ลำบากเหลือเกิน !!
**หากเข้าอีหรอบที่ “เดอะเทือก”ลั่นวาจาเอาไว้ว่า จะควักนกหวีดออกมาเป่าหลังจากผ่านวาระ 3 ไปแล้ว ก็ส่อแววว่า การชุมนุมของ “กองทัพประชาชน”จะโดดเดี่ยว เหี่ยวปลาย และไม่หวือหวาอะไรเลย