ASTVผู้จัดการรายวัน - บอร์ดแบงก์ชาติห่วงเศรษฐกิจชะลอตัว แนะรัฐเร่งโครงสร้างพื้นฐานเช่นระบบน้ำ และให้ทำตามกฎหมาย คาดเม็ดเงินโครงการส่งผลต่อเศรษฐกิจปีหน้า "ดร.โกร่ง" ทิ้งทวนประชุมนัดสุดท้ายอ้างที่ผ่านมาทำด้วยความหวังดี ปลื้มแบงก์ชาติขาดทุนลดลง 1.2 แสนล้านบาท ทำให้ตอนนี้ส่วนของทุนลดลงเหลือ 6.8 แสนล้านบาท
เมื่อวานนี้ (25 ก.ค.) เวลา 09.00-12.30 น.คณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย (กกธ.) หรือบอร์ดแบงก์ชาติ ได้ประชุมวาระปกติทุกวันพฤหัสบดีสุดท้ายของเดือน ถือเป็นการประชุมนัดสุดท้ายของ นายวีรพงษ์ รามางกูร ในฐานะประธานบอร์ดแบงก์ชาติ ซึ่งจะพ้นวาระในสิ้นเดือนก.ค.นี้ เพราะอายุครบ 70 ปีบริบูรณ์ตามตามพ.ร.บ.ธปท.ฉบับปัจจุบันระบุไว้
และการประชุมครั้งนี้มีการรับประทานอาหารเที่ยงร่วมกันของกรรมการในบอร์ดแบงก์ชาติด้วย
นายวีรพงษ์ กล่าวภายหลังจากการประชุมว่า การประชุมครั้งนี้เป็นนัดสุดท้ายในฐานะที่ผมเป็นประธานบอร์ดแบงก์ชาติ แต่ก็ไม่ได้ฝากอะไรไว้ในที่ประชุมและผู้บริหารธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ส่วนการแก้ไขปัญหาขาดทุนของธปท. ทางคณะทำงานจัดทำแผนปรับปรุงฐานะการเงินของ ธปท. (ทผง.) กำลังดำเนินการอยู่ต่อไป เพราะการขาดทุนยังมีอยู่
แต่ล่าสุดสถานการณ์เริ่มดีขึ้นจากเดิมที่ส่วนของทุนติดลบ 8 แสนล้านบาท ลดลง 1.2 แสนล้านบาท จนขณะนี้ส่วนของทุนติดลบเหลือ 6.8 แสนล้านบาท แต่ยังไม่น่าพอใจและต้องแก้ไขปัญหาต่อไป
“กระบวนการการแก้ไขปัญหาขาดทุนธปท.จะเสร็จภายในกี่ปียังบอกไม่ได้แล้วแต่สถานการณ์ ถ้าสถานการณ์สกุลเงินหลักของโลกอย่างเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเทียบเงินบาท ธปท.ก็ขาดทุนน้อยลงและปลอดภัยยิ่งขึ้น ซึ่งสถานการณ์ข้างหน้าน่าจะเป็นเช่นนี้อยู่ เพราะดอลลาร์ค่อยๆ แข็งขึ้นจากสถานการณ์เศรษฐกิจสหรัฐเริ่มฟื้นตัวในตอนนี้
ทำให้การขาดทุนของธปท.ลดลงไปด้วย”ประธานบอร์ดแบงก์ชาติกล่าวพร้อมทั้งส่ายหัวที่ตอบคำถามนักข่าวว่าการขาดทุนเกิดจากดูแลการทำงานของประธานบอร์ดแบงก์ชาติด้วยหรือไม่
ประธานบอร์ดแบงก์ชาติกล่าวถึงภาวะเศรษฐกิจไทยว่ามีความเป็นห่วงเศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัวในขณะนี้ เพราะการส่งออกชะลอตัวลง ดังนั้นเห็นว่ารัฐบาลควรเร่งการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานให้เกิดขึ้นโดยเร็ว เช่น โครงการบริหารจัดการน้ำ ที่ควรเร่งจัดทำประชาวิจารณ์ต่างๆ ให้สอดคล้องกับบทบัญญัติของกฎหมาย อย่างไรก็ตาม เห็นว่าการลงทุนโครงการต่างๆ
ของรัฐจะยังไม่ช่วยเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ เพราะกว่าเม็ดเงินจะออกน่าจะเป็นปีหน้า และมองว่าครึ่งหลังเศรษฐกิจไทยน่าจะลดลง เพราะมาตรการต่างๆ ที่รัฐบาลพูดยังไม่มีอะไร
นายศิริ การเจริญดี ในฐานะกรรมการบอร์ดแบงก์ชาติ กล่าวว่า ประธานบอร์ดแบงก์ชาติไม่ได้ฝากอะไรไว้ในที่ประชุม เพียงแต่ได้พูดในที่ประชุมว่าทำมาด้วยความหวังดี ผมก็เป็นคนอย่างนี้ไปที่ไหนก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แต่อยู่ภายใต้ความปราถนาดีโดยแท้จริง
สำหรับเรื่องภาวะเศรษฐกิจไทยเห็นชะลอตัวช่วง 6-7 เดือนแล้ว แต่สภาพการเงินขณะนี้ตอบสนองได้ดีพอควรให้คนเกิดความเชื่อมั่น และการกระตุ้นเศรษฐกิจก็ไม่ใช่นโยบายการเงินเพียงตัวเดียง แต่ต้องผสมผสานหลายนโยบายร่วมกัน ซึ่งขณะนี้การดำเนินนโยบายการเงินค่อนข้างสมดุลดี ส่วนนโยบายด้านอื่นๆ ก็ต้องพยายามจูนให้ไปด้วยกัน โดยต้นต่อที่สำคัญที่ให้เศรษฐกิจไทยชะลอชัดเจน คือ ภาคส่งออก ส่วนการลงทุนและการบริโภคลดลงเป็นผลพ่วงกัน จึงต้องเป็นกระบวนการจูงกันไป ฉะนั้นโครงการรัฐมีอะไรก็ต้องทำให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นและช่วยผสมผสานกันไป
“นโยบายการเงินตั้งแท่นไว้แล้ว ทุกอย่างพร้อมที่จะไปข้างหน้า จะหาเงินก็มี ดอกเบี้ยก็ไม่สูง ฉะนั้น อย่างอื่นก็ต้องผสมผสาน เพื่อให้ทุกอย่างเดินด้วยกันเป็นอย่างดีและไม่มีปัญหา จึงต้องบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพ แม้การกระตุ้นส่วนไหนที่หายไปก็ต้องพยายามเอาส่วนอื่นมาสวมให้ทัน และเม็ดเงินที่ตั้งไว้ในงบประมาณก็ต้องทำให้ได้ตามแผนหรือเป้าหมายที่วางไว้ ซึ่งรัฐวิสาหกิจก็ต้องทำเช่นเดียวกัน”นายศิริกล่าว.
เมื่อวานนี้ (25 ก.ค.) เวลา 09.00-12.30 น.คณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย (กกธ.) หรือบอร์ดแบงก์ชาติ ได้ประชุมวาระปกติทุกวันพฤหัสบดีสุดท้ายของเดือน ถือเป็นการประชุมนัดสุดท้ายของ นายวีรพงษ์ รามางกูร ในฐานะประธานบอร์ดแบงก์ชาติ ซึ่งจะพ้นวาระในสิ้นเดือนก.ค.นี้ เพราะอายุครบ 70 ปีบริบูรณ์ตามตามพ.ร.บ.ธปท.ฉบับปัจจุบันระบุไว้
และการประชุมครั้งนี้มีการรับประทานอาหารเที่ยงร่วมกันของกรรมการในบอร์ดแบงก์ชาติด้วย
นายวีรพงษ์ กล่าวภายหลังจากการประชุมว่า การประชุมครั้งนี้เป็นนัดสุดท้ายในฐานะที่ผมเป็นประธานบอร์ดแบงก์ชาติ แต่ก็ไม่ได้ฝากอะไรไว้ในที่ประชุมและผู้บริหารธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ส่วนการแก้ไขปัญหาขาดทุนของธปท. ทางคณะทำงานจัดทำแผนปรับปรุงฐานะการเงินของ ธปท. (ทผง.) กำลังดำเนินการอยู่ต่อไป เพราะการขาดทุนยังมีอยู่
แต่ล่าสุดสถานการณ์เริ่มดีขึ้นจากเดิมที่ส่วนของทุนติดลบ 8 แสนล้านบาท ลดลง 1.2 แสนล้านบาท จนขณะนี้ส่วนของทุนติดลบเหลือ 6.8 แสนล้านบาท แต่ยังไม่น่าพอใจและต้องแก้ไขปัญหาต่อไป
“กระบวนการการแก้ไขปัญหาขาดทุนธปท.จะเสร็จภายในกี่ปียังบอกไม่ได้แล้วแต่สถานการณ์ ถ้าสถานการณ์สกุลเงินหลักของโลกอย่างเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเทียบเงินบาท ธปท.ก็ขาดทุนน้อยลงและปลอดภัยยิ่งขึ้น ซึ่งสถานการณ์ข้างหน้าน่าจะเป็นเช่นนี้อยู่ เพราะดอลลาร์ค่อยๆ แข็งขึ้นจากสถานการณ์เศรษฐกิจสหรัฐเริ่มฟื้นตัวในตอนนี้
ทำให้การขาดทุนของธปท.ลดลงไปด้วย”ประธานบอร์ดแบงก์ชาติกล่าวพร้อมทั้งส่ายหัวที่ตอบคำถามนักข่าวว่าการขาดทุนเกิดจากดูแลการทำงานของประธานบอร์ดแบงก์ชาติด้วยหรือไม่
ประธานบอร์ดแบงก์ชาติกล่าวถึงภาวะเศรษฐกิจไทยว่ามีความเป็นห่วงเศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัวในขณะนี้ เพราะการส่งออกชะลอตัวลง ดังนั้นเห็นว่ารัฐบาลควรเร่งการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานให้เกิดขึ้นโดยเร็ว เช่น โครงการบริหารจัดการน้ำ ที่ควรเร่งจัดทำประชาวิจารณ์ต่างๆ ให้สอดคล้องกับบทบัญญัติของกฎหมาย อย่างไรก็ตาม เห็นว่าการลงทุนโครงการต่างๆ
ของรัฐจะยังไม่ช่วยเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ เพราะกว่าเม็ดเงินจะออกน่าจะเป็นปีหน้า และมองว่าครึ่งหลังเศรษฐกิจไทยน่าจะลดลง เพราะมาตรการต่างๆ ที่รัฐบาลพูดยังไม่มีอะไร
นายศิริ การเจริญดี ในฐานะกรรมการบอร์ดแบงก์ชาติ กล่าวว่า ประธานบอร์ดแบงก์ชาติไม่ได้ฝากอะไรไว้ในที่ประชุม เพียงแต่ได้พูดในที่ประชุมว่าทำมาด้วยความหวังดี ผมก็เป็นคนอย่างนี้ไปที่ไหนก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แต่อยู่ภายใต้ความปราถนาดีโดยแท้จริง
สำหรับเรื่องภาวะเศรษฐกิจไทยเห็นชะลอตัวช่วง 6-7 เดือนแล้ว แต่สภาพการเงินขณะนี้ตอบสนองได้ดีพอควรให้คนเกิดความเชื่อมั่น และการกระตุ้นเศรษฐกิจก็ไม่ใช่นโยบายการเงินเพียงตัวเดียง แต่ต้องผสมผสานหลายนโยบายร่วมกัน ซึ่งขณะนี้การดำเนินนโยบายการเงินค่อนข้างสมดุลดี ส่วนนโยบายด้านอื่นๆ ก็ต้องพยายามจูนให้ไปด้วยกัน โดยต้นต่อที่สำคัญที่ให้เศรษฐกิจไทยชะลอชัดเจน คือ ภาคส่งออก ส่วนการลงทุนและการบริโภคลดลงเป็นผลพ่วงกัน จึงต้องเป็นกระบวนการจูงกันไป ฉะนั้นโครงการรัฐมีอะไรก็ต้องทำให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นและช่วยผสมผสานกันไป
“นโยบายการเงินตั้งแท่นไว้แล้ว ทุกอย่างพร้อมที่จะไปข้างหน้า จะหาเงินก็มี ดอกเบี้ยก็ไม่สูง ฉะนั้น อย่างอื่นก็ต้องผสมผสาน เพื่อให้ทุกอย่างเดินด้วยกันเป็นอย่างดีและไม่มีปัญหา จึงต้องบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพ แม้การกระตุ้นส่วนไหนที่หายไปก็ต้องพยายามเอาส่วนอื่นมาสวมให้ทัน และเม็ดเงินที่ตั้งไว้ในงบประมาณก็ต้องทำให้ได้ตามแผนหรือเป้าหมายที่วางไว้ ซึ่งรัฐวิสาหกิจก็ต้องทำเช่นเดียวกัน”นายศิริกล่าว.
