อีกไม่กี่วันก็จะเปิดสมัยประชุมสภาแล้วครับ รัฐบาลกำลังคิดหนักจะเอาร่างกฎหมายใดเข้าสภาก่อน ร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ซึ่งมองเห็นอนาคตอยู่แล้วว่า ยากที่จะผ่านด่านสำคัญคือ ศาลรัฐธรรมนูญ เพราะร่าง พ.ร.บ.เหล่านี้ล้วนแล้วแต่ขัดรัฐธรรมนูญทั้งสิ้น บรรดา ส.ส.ฝ่ายค้าน และวุฒิสมาชิกส่วนหนึ่งล้วนมีความตั้งใจอยู่แล้วว่า ผ่านวาระที่ 3 ของรัฐสภาไปเมื่อไร เป็นต้องร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญทั้งสิ้น
มี พ.ร.ก.ฉบับหนึ่งคือ พ.ร.ก.กู้เงิน 3.5 แสนล้านบาท เป็นปัญหาอยู่ขณะนี้
เมื่อรัฐบาลออกเป็น พ.ร.ก.ฝ่ายค้านก็ยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาว่า ร่าง พ.ร.ก.ดังกล่าวขัดกฎหมายหรือไม่ เพราะการกู้เงิน 3.5 แสนล้านบาทมาป้องกันหรือแก้ปัญหาอุทกภัยนั้น ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน รัฐบาลสามารถที่จะตั้งเป็นงบประมาณผ่าน เป็น พ.ร.บ.งบประมาณปกติก็ได้ การใช้จ่ายเงินจะได้มีการตรวจสอบจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้วเห็นว่า รัฐบาลคือฝ่ายบริหารมีอำนาจออก พ.ร.ก.ดังกล่าว ทั้งนี้ศาลพิจารณาแต่เพียงว่า พ.ร.ก.ดังกล่าวขัดหรือไม่ขัดรัฐธรรมนูญ ความจำเป็นเร่งด่วนหรือไม่ ใครจะไปรู้ดีกว่ารัฐบาลที่เป็นฝ่ายบริหาร
พ.ร.ก.ประกาศใช้ไปปีครึ่ง รัฐบาลใช้จ่ายเงินไปเกือบ 2 หมื่นล้าน ตาม พ.ร.ก.ดังกล่าว รัฐบาลจะต้องกู้เงินเพื่อมาทำโครงการต่างๆ ภายในสิ้นเดือนมิถุนายน 2556 รัฐบาลเพิ่งจัดการประมูลโครงการต่างๆ เสร็จกลางเดือนมิถุนายน 2556 มีบริษัทแห่งหนึ่งของเกาหลีได้งานชิ้นเบ้อเริ่มไป บริษัทแห่งนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผู้ซึ่งกำกับดูแลรัฐบาลหุ่นนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไปเยือนมาแล้ว ถ่ายรูปหราให้สังคมเห็นมาแล้ว
นายปลอดประสพ สุรัสวดี เคยพูดอย่างหน้าด้านๆ มาแล้วก่อนผลการประมูลจะออกมาว่า ใครที่คิดว่าบริษัทเกาหลีจะได้รับงานชิ้นใหญ่นั้น บ้าคิดไปเอง
หลังการประมูล นายศรีสุวรรณ จรรยา ผู้นำองค์กรเอกชนแห่งหนึ่งยื่นฟ้องต่อศาลปกครองว่า โครงการป้องกันอุทกภัยต่างๆ ของรัฐบาลไม่ได้ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญกำหนด
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นจริงตามฟ้อง ไล่ให้รัฐบาลไปปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ นั่นก็คือ จะต้องทำประชาพิจารณ์ถามประชาชนที่ได้รับผลกระทบก่อนว่า เห็นด้วยหรือไม่อย่างไร ถามหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมก่อนว่า เห็นด้วยหรือไม่อย่างไร ซึ่งจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยเป็นปีครึ่งปี
แต่ พ.ร.ก.ให้อำนาจรัฐบาลกู้เงิน 3.5 แสนล้านบาทภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2556
รัฐบาลแก้ปัญหาด้วยการให้รองปลัดกระทรวงการคลัง ทำหนังสือสัญญากับสถาบันการเงิน เป็นหนังสือว่าจะกู้ แล้วยังมีหน้ามาคุยอีกว่า ทำหนังสือสัญญาว่าจะกู้นั้น ไม่ได้เสียหายแต่อย่างใด เพราะยังไม่ได้เบิกเงินมาใช้ ไม่มีภาระดอกเบี้ย
จากนี้ไปก็จะดำเนินการทำประชาพิจารณ์ แต่กระนั้นก็เกี่ยงกันอยู่ว่า จะอุทธรณ์คำพิพากษาศาลปกครองกลางหรือไม่ จะให้เอกชนที่ประมูลงานได้เป็นฝ่ายทำประชาพิจารณ์หรือรัฐบาลจะเป็นฝ่ายทำดี
ทั้งหลายทั้งปวงนี้ล้วนแล้วแต่สะท้อนให้เห็นว่า รัฐบาลหุ่นนางสาวยิ่งลักษณ์ไม่ได้มีความสามารถในการบริหารบ้านเมือง โครงการแก้ปัญหาน้ำท่วมหรือป้องกันอุทกภัยนี้ สักแต่ว่ากำหนดขึ้นมาเพื่อที่จะมีงบประมาณ 3.5 แสนล้านบาท ใช้จ่ายโดยไม่ผ่านการตรวจสอบจากสภาผู้แทนราษฎร ไม่ต้องใช้ราคากลางในการจัดซื้อจัดจ้าง สะดวกต่อการที่จะเขมือบ เอื้อต่อการที่จะให้พวกพ้องได้งานเพื่อที่จะได้นำมาแบ่งปันกันให้อิ่มหนำสำราญ
แต่จะทำได้หรือ กฎหมายกำหนดให้กู้ยืมกันให้เสร็จสมบูรณ์ในวันที่ 30 มิถุนายน 2556 แต่รัฐบาลเมื่อกู้ไม่เสร็จสมบูรณ์ทำสัญญาว่าจะกู้เอาไว้ ถามว่า นี่เป็นการชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ พ.ร.ก.กู้ 3.5 แสนล้านบาทตกไปตั้งแต่วันที่ 30 มิถุนายน 2556 นั่นแล้วใช่หรือไม่
เรื่องนี้คงลำบากทนายสุวัตร อภัยภักดิ์ หรือผู้นำองค์กรเอกชน คุณศรีสุวรรณ จรรยา ที่ทำให้รัฐบาลสะอื้นมาแล้วจะต้องนำไปพิจารณาและร้องต่อศาลแล้วล่ะครับ
สถาบันการเงินนั่นก็เหมือนกัน มีด้วยหรือครับ สัญญาว่าจะกู้ นั่นใช้ได้ หรือเวลาที่จะมอบเงินกู้จะต้องทำสัญญากู้ยืมกันอีกครั้ง ซึ่งนี่ก็ย่อมแสดงให้เห็นชัดเจนว่า ภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2556 ยังไม่มีการกู้ยืมเงิน 3 แสนกว่าล้านบาทนั่น ซึ่งก็แสดงว่า การกู้ยืมเงินตาม พ.ร.ก.ไม่เสร็จสมบูรณ์ และซึ่งแสดงว่า พ.ร.ก.ห่วยๆ นั้นตกไปแล้ว
ยังจะเดินหน้าทำประชาพิจารณ์เรื่องน้ำไปหาพระแสงอันใด ยังจะต้องเสียค่าใช้จ่ายไปกับโครงการที่รัฐบาลยังไม่พร้อมที่จะทำ (แต่พร้อมที่จะเขมือบ) นี้ไปทำไมอีก
รัฐบาลนี้มักจะทำในสิ่งที่ขัดต่อตัวบทกฎหมายเสมอ แล้วก็อ้างว่ามีเสียงข้างมาก หรือไม่ก็อ้างความเดือดร้อนของประชาชน เป็นต้น โครงการกู้เงิน 3.5 แสนล้านบาท ก็อาศัยเหตุการณ์น้ำท่วมหรืออุทกภัยเมื่อปี 2554 ออก พ.ร.ก.เมื่อต้นปี 2555 ใครค้านก็บอกว่า ถ้าหากน้ำท่วมจะรับผิดชอบหรือไม่
จนศาลรัฐธรรมนูญก็ต้องผ่านให้ ผ่านไปปี 2555 และปี 2556 รัฐบาลซึ่งอ้างความรีบด่วนยังดำเนินการไปไม่ถึงไหนเลย
จนวันนี้หมดเวลาที่จะต้องกู้เงินไปแล้ว ยังทะลึ่งจะเดินหน้าโครงการต่ออีก
มี พ.ร.ก.ฉบับหนึ่งคือ พ.ร.ก.กู้เงิน 3.5 แสนล้านบาท เป็นปัญหาอยู่ขณะนี้
เมื่อรัฐบาลออกเป็น พ.ร.ก.ฝ่ายค้านก็ยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาว่า ร่าง พ.ร.ก.ดังกล่าวขัดกฎหมายหรือไม่ เพราะการกู้เงิน 3.5 แสนล้านบาทมาป้องกันหรือแก้ปัญหาอุทกภัยนั้น ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน รัฐบาลสามารถที่จะตั้งเป็นงบประมาณผ่าน เป็น พ.ร.บ.งบประมาณปกติก็ได้ การใช้จ่ายเงินจะได้มีการตรวจสอบจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้วเห็นว่า รัฐบาลคือฝ่ายบริหารมีอำนาจออก พ.ร.ก.ดังกล่าว ทั้งนี้ศาลพิจารณาแต่เพียงว่า พ.ร.ก.ดังกล่าวขัดหรือไม่ขัดรัฐธรรมนูญ ความจำเป็นเร่งด่วนหรือไม่ ใครจะไปรู้ดีกว่ารัฐบาลที่เป็นฝ่ายบริหาร
พ.ร.ก.ประกาศใช้ไปปีครึ่ง รัฐบาลใช้จ่ายเงินไปเกือบ 2 หมื่นล้าน ตาม พ.ร.ก.ดังกล่าว รัฐบาลจะต้องกู้เงินเพื่อมาทำโครงการต่างๆ ภายในสิ้นเดือนมิถุนายน 2556 รัฐบาลเพิ่งจัดการประมูลโครงการต่างๆ เสร็จกลางเดือนมิถุนายน 2556 มีบริษัทแห่งหนึ่งของเกาหลีได้งานชิ้นเบ้อเริ่มไป บริษัทแห่งนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผู้ซึ่งกำกับดูแลรัฐบาลหุ่นนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไปเยือนมาแล้ว ถ่ายรูปหราให้สังคมเห็นมาแล้ว
นายปลอดประสพ สุรัสวดี เคยพูดอย่างหน้าด้านๆ มาแล้วก่อนผลการประมูลจะออกมาว่า ใครที่คิดว่าบริษัทเกาหลีจะได้รับงานชิ้นใหญ่นั้น บ้าคิดไปเอง
หลังการประมูล นายศรีสุวรรณ จรรยา ผู้นำองค์กรเอกชนแห่งหนึ่งยื่นฟ้องต่อศาลปกครองว่า โครงการป้องกันอุทกภัยต่างๆ ของรัฐบาลไม่ได้ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญกำหนด
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นจริงตามฟ้อง ไล่ให้รัฐบาลไปปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ นั่นก็คือ จะต้องทำประชาพิจารณ์ถามประชาชนที่ได้รับผลกระทบก่อนว่า เห็นด้วยหรือไม่อย่างไร ถามหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมก่อนว่า เห็นด้วยหรือไม่อย่างไร ซึ่งจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยเป็นปีครึ่งปี
แต่ พ.ร.ก.ให้อำนาจรัฐบาลกู้เงิน 3.5 แสนล้านบาทภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2556
รัฐบาลแก้ปัญหาด้วยการให้รองปลัดกระทรวงการคลัง ทำหนังสือสัญญากับสถาบันการเงิน เป็นหนังสือว่าจะกู้ แล้วยังมีหน้ามาคุยอีกว่า ทำหนังสือสัญญาว่าจะกู้นั้น ไม่ได้เสียหายแต่อย่างใด เพราะยังไม่ได้เบิกเงินมาใช้ ไม่มีภาระดอกเบี้ย
จากนี้ไปก็จะดำเนินการทำประชาพิจารณ์ แต่กระนั้นก็เกี่ยงกันอยู่ว่า จะอุทธรณ์คำพิพากษาศาลปกครองกลางหรือไม่ จะให้เอกชนที่ประมูลงานได้เป็นฝ่ายทำประชาพิจารณ์หรือรัฐบาลจะเป็นฝ่ายทำดี
ทั้งหลายทั้งปวงนี้ล้วนแล้วแต่สะท้อนให้เห็นว่า รัฐบาลหุ่นนางสาวยิ่งลักษณ์ไม่ได้มีความสามารถในการบริหารบ้านเมือง โครงการแก้ปัญหาน้ำท่วมหรือป้องกันอุทกภัยนี้ สักแต่ว่ากำหนดขึ้นมาเพื่อที่จะมีงบประมาณ 3.5 แสนล้านบาท ใช้จ่ายโดยไม่ผ่านการตรวจสอบจากสภาผู้แทนราษฎร ไม่ต้องใช้ราคากลางในการจัดซื้อจัดจ้าง สะดวกต่อการที่จะเขมือบ เอื้อต่อการที่จะให้พวกพ้องได้งานเพื่อที่จะได้นำมาแบ่งปันกันให้อิ่มหนำสำราญ
แต่จะทำได้หรือ กฎหมายกำหนดให้กู้ยืมกันให้เสร็จสมบูรณ์ในวันที่ 30 มิถุนายน 2556 แต่รัฐบาลเมื่อกู้ไม่เสร็จสมบูรณ์ทำสัญญาว่าจะกู้เอาไว้ ถามว่า นี่เป็นการชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ พ.ร.ก.กู้ 3.5 แสนล้านบาทตกไปตั้งแต่วันที่ 30 มิถุนายน 2556 นั่นแล้วใช่หรือไม่
เรื่องนี้คงลำบากทนายสุวัตร อภัยภักดิ์ หรือผู้นำองค์กรเอกชน คุณศรีสุวรรณ จรรยา ที่ทำให้รัฐบาลสะอื้นมาแล้วจะต้องนำไปพิจารณาและร้องต่อศาลแล้วล่ะครับ
สถาบันการเงินนั่นก็เหมือนกัน มีด้วยหรือครับ สัญญาว่าจะกู้ นั่นใช้ได้ หรือเวลาที่จะมอบเงินกู้จะต้องทำสัญญากู้ยืมกันอีกครั้ง ซึ่งนี่ก็ย่อมแสดงให้เห็นชัดเจนว่า ภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2556 ยังไม่มีการกู้ยืมเงิน 3 แสนกว่าล้านบาทนั่น ซึ่งก็แสดงว่า การกู้ยืมเงินตาม พ.ร.ก.ไม่เสร็จสมบูรณ์ และซึ่งแสดงว่า พ.ร.ก.ห่วยๆ นั้นตกไปแล้ว
ยังจะเดินหน้าทำประชาพิจารณ์เรื่องน้ำไปหาพระแสงอันใด ยังจะต้องเสียค่าใช้จ่ายไปกับโครงการที่รัฐบาลยังไม่พร้อมที่จะทำ (แต่พร้อมที่จะเขมือบ) นี้ไปทำไมอีก
รัฐบาลนี้มักจะทำในสิ่งที่ขัดต่อตัวบทกฎหมายเสมอ แล้วก็อ้างว่ามีเสียงข้างมาก หรือไม่ก็อ้างความเดือดร้อนของประชาชน เป็นต้น โครงการกู้เงิน 3.5 แสนล้านบาท ก็อาศัยเหตุการณ์น้ำท่วมหรืออุทกภัยเมื่อปี 2554 ออก พ.ร.ก.เมื่อต้นปี 2555 ใครค้านก็บอกว่า ถ้าหากน้ำท่วมจะรับผิดชอบหรือไม่
จนศาลรัฐธรรมนูญก็ต้องผ่านให้ ผ่านไปปี 2555 และปี 2556 รัฐบาลซึ่งอ้างความรีบด่วนยังดำเนินการไปไม่ถึงไหนเลย
จนวันนี้หมดเวลาที่จะต้องกู้เงินไปแล้ว ยังทะลึ่งจะเดินหน้าโครงการต่ออีก