ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-มาถึงชั่วโมงนี้ ละครที่เรียกได้ว่า “ฮิต” ที่สุดในหมู่วัยรุ่น และยังได้รับความสนใจจากกลุ่มผู้ใหญ่จำนวนไม่น้อย คงหนีไม่พ้น ละครซีรีส์ “ฮอร์โมนส์ วัยว้าวุ่น” ออกอากาศผ่านสถานีโทรทัศน์จานดาวเทียม GMM Z ทางช่อง One ทุกวันเสาร์ 22:00 น. – 22:40 น. ตั้งแต่วันเสาร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2556
ฮอร์โมนส์ฯ เป็นละครสะท้อนชีวิตวัยรุ่นวัยเรียน ที่ไม่เหมือนละครแบบ “กระโปรงบาน ขาสั้น” ทั่วๆ ไป ที่สะท้อนเรื่องราวความรัก มิตรภาพ และปัญหาวัยรุ่น ออกมาเพียงผิวเผิน แต่ฮอร์โมนส์ฯ เป็นเรื่องราวสะท้อนทั้งด้านมืดและด้านสว่างในชีวิตจริงของวัยรุ่นไทยยุคนี้ อย่างทุกซอกทุกมุมในแบบที่ไม่มีใครเคยพูดถึง(เพราะฟรีทีวีมีข้อจำกัดมากกว่า)
ถึงขนาดที่หลายเพจในเฟซบุ๊กสร้างการ์ตูนออกมาเกาะกระแสความแรงของซีรีส์เรื่องนี้ว่า “ฮฮร์โมนส์ วัยว้าวุ่น เป็นการนำเรื่องจริงมาเสนอทั้งหมด ยกเว้นหน้าตา”
ความแรงของละครซีรีส์ชุดนี้วัดได้จากยอดคนดู (view) ในยูทูปที่ทะลุ 1 ล้านวิว เพียงเวลา 1 สัปดาห์ ปัจจุบัน (18 ก.ค.) ยอดวิวของฮอร์โมนฯ ในตอนแรกทะลุไปกว่า 7 ล้านวิว ขณะที่ยอดวิวของฮอร์โมนฯ ตอนล่าสุด ซึ่งเพิ่งโพสต์ไปเพียง 5 วัน ยอดวิวสูงกว่า 2 ล้านวิว เลยทีเดียว
เมื่อรวมทั้ง 8 ตอนเข้าด้วยกัน ยอดวิวรวมกันปาเข้าไปกว่า 40 ล้านวิว ในเวลา 2 เดือนเต็ม (ไม่รวมตอน 0 หรือคลิปแนะนำซีรีส์ฮฮร์โมนฯ) โดยทั้งหมดนี้เป็นการรวบรวมผ่านทาง Official Youtube ของช่อง One เท่านั้น
ขณะที่แฟนเพจในเฟซบุ๊ก Hormones วัยว้าวุ่น ณ วันที่ 18 ก.ค. มีจำนวน Like ทั้งหมด 688,924 Likes และมีคนพูดถึงเรื่องนี้ในเฟซบุ๊กกว่า 1 ล้านครั้ง ไม่นับหัวข้อข่าวกระแสของฮฮร์โมนฯ ในช่องทางอื่น นี่อาจนับเป็นการตลาดแบบ “ไวรัล” โดยที่แกรมมี่ไม่ต้องออกแรงเข็นให้เหนื่อยมาก เพียงแค่สร้าง “คอนเทนต์ดีๆ” ออกมาก็พอ
“จุดเริ่มต้นมาจากผู้บริหารแกรมมี่ต้องการให้ผมทำละครที่เป็น Exclusive Content ป้อนให้กับช่อง One ของแกรมมี่ ซึ่ง Exclusive Content หมายถึงคอนเทนต์แบบที่ไม่สามารถหาดูได้จากช่องทั่วไป” ทรงยศ สุขมากอนันต์ ผู้กำกับและโปรดิวเซอร์ละครชุดฮอร์โมนฯ ซึ่งต้องใช้เวลาเตรียมตัวนานร่วมปี
ทรงยศถือเป็นผู้กำกับแถวหน้าของเมืองไทยแห่งค่าย GTH โดยทรงยศเคยฝากผลงานภาพยนตร์ไว้มากมาย เช่น แฟนฉัน, เด็กหอ, ปิดเทอมใหญ่ หัวใจว้าวุ่น และ ท็อปซีเคร็ต วัยรุ่นพันล้าน ซึ่งโด่งดังและทำเงินแทบทุกเรื่อง
กับความสำเร็จอย่างสูงในวันนี้ของฮอร์โมนฯ ทรงยศยอมรับว่าเขาคาดไม่ถึง แต่สิ่งที่ทำให้เขามีความสุขมากๆ กับผลงานครั้งนี้คือ การที่ฮอร์โมนฯ ตอบโจทย์สำคัญ 2 อย่างให้กับเขา ข้อแรกคือ การทำให้ช่อง One เป็นที่รู้จัก
“ถ้าเรามีคอนเทนต์ที่ดีและพิเศษจริง ต่อให้ช่องทางรับชมจะยากแค่ไหนคนก็จะมาดูเรา ซึ่งนี่คือสิ่งที่ละครเรื่องฮอร์โมนฯ พิสูจน์ให้ผมและผู้บริหารในค่ายแกรมมี่เห็น” ทรงยศกล่าวอย่างมั่นใจ
โจทย์ข้อที่สองของทรงยศ คือการทำให้น้องนักแสดงในสังกัดของ “นาดาว บางกอก” ซึ่งเป็นบริษัทดูแลศิลปินให้กับค่าย GTH มีโอกาสได้พัฒนาฝีมือ เป็นที่รู้จัก และมีชื่อเสียง
“เพราะผมทำ นาดาว บางกอก อยู่ด้วย แต่ระหว่างที่เรายังไม่มีการสร้างหนัง พอผมได้โจทย์ให้สร้างละคร ผมก็มองหาคอนเทนต์ที่จะต่อยอดให้กับน้องๆ กลุ่มนี้ได้ด้วย ซึ่งน้องกลุ่มนี้เป็นวัยรุ่นหมด คล้ายกับตอนทำหนังเรื่อง “ปิดเทอมใหญ่ หัวใจว้าวุ่น” คือเป็นการรวมนักแสดงวัยรุ่นของ GTH ทั้งหมด เพียงแต่ครั้งนั้นผมเล่าเรื่องความรักและความสัมพันธ์ที่โตขึ้น แต่พอมาทำทีวี ผมอยากไปไกลกว่านั้น อยากเสนอไลฟ์สไตล์ชีวิตวัยรุ่นจริงๆ”
คำกล่าวของทรงยศ อีกนัยยังสะท้อนให้เห็นความพยายามของแกรมมี่ในการใช้ “สินทรัพย์” หรือ “ทรัพยากร” ที่เครือมีอยู่มาสร้างสรรค์คอนเทนต์สดใหม่
“จริงๆ แล้วบริษัทเรามี 'ของดี' เยอะมาก” ถกลเกียรติ วีรวรรณ 1 ใน 4 ผู้บริหารแห่งช่อง One เคยกล่าวไว้
หากตามนิยามของ “ไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม” หัวเรือใหญ่แห่งแกรมมี่ “ของดี” น่าจะหมายถึงเรื่องของ “คอนเทนต์” ซึ่งเป็นธุรกิจเก่าแก่ของแกรมมี่ โดยตลอด 30 ปีของแกรมมี่ บริษัทได้ผลิตบุคลากรมากฝีมือในด้านต่างๆ ทั้งผู้กำกับ, ดีเจ, นักร้องนักแสดง และทีมงานในกระบวนการผลิตต่างๆ เอาไว้มากมาย จนเกิดการผลิตคอนเทนต์หลากหลายใน “คลังคอนเทนต์” ขนาดมหาศาลของแกรมมี่
“หลังจากแต่คน แต่ละค่าย ฝึกปรือฝีมือกันอยู่นาน พอมาถึงวันนี้ วันที่ช่อง One เกิดขึ้น ก็น่าจะเป็นโอกาสที่ดีที่พวกเรา ซึ่งอยู่ภายใต้เครือแกรมมี่ด้วยกันจะมารวมตัวกัน” ถกลเกียรติกล่าวในงานเปิด “ช่อง One” เมื่อ 3 เดือนก่อน
เมื่อพิจารณาหลาย “คอนเทนต์” ของช่อง One ช่องทีวีดาวเทียมของค่ายเพลงยักษ์ใหญ่อย่างแกรมมี่ จะยิ่งเห็นชัดถึงการนำ “ของดี” ในคลังคอนเทนต์ของแกรมมี่มาใช้งานอย่างเป็นรูปเป็นร่าง
โดยเฉพาะ “Club Friday เดอะซีรี่ส์” ซึ่งปัจจุบันเป็นซีซันที่ 2 แล้ว ละครซีรีส์ที่สร้างจากหลากหลายเรื่องจริงในทุกมุมมองของความรักที่เคยเล่าสู่กันฟังในทุกค่ำคืนวันศุกร์ ผ่านทางคลื่นวิทยุกรีนเวฟ 106.5FM
จาก “คอนเทนต์” บนหน้าปัดวิทยุ ซึ่งเป็นธุรกิจดั้งเดิมของแกรมมี่ “เอไทม์ มีเดีย” ซึ่งเป็นบริษัทที่ดูแลธุรกิจวิทยุในเครือแกรมมี่ ได้พยายามพัฒนาคอนเทนต์ในช่วง “Club Friday” ซึ่งเป็นช่วงรายการที่เปิดโอกาสให้ผู้ฟังเล่าเรื่องราวความรักในทุกรูปแบบของตัวเอง ออกมาเป็นรูปแบบของมิวสิกวิดีโอ ขณะที่คำปลอบใจโดนๆ จากดีเจจะถูกต่อยอดเป็นหนังสือ
แบรนด์ “Club Friday” ถูกตอกย้ำให้แข็งแรงยิ่งขึ้น เมื่อดีเจ “พี่อ้อย-พี่ฉอด” และรายการวิทยุชื่อนี้ ถูกนำไปกล่าวถึงอยู่หลายครั้งในภาพยนตร์ร้อยล้านของค่าย GTH ที่มีชื่อว่า “ยินดีที่ไม่รู้จัก” ในที่สุด เมื่อแบรนด์เริ่มแข็งแรง เอไทม์ฯ จึงต่อยอดอีกครั้งด้วยการจัดคอนเสิร์ต และผลิตเป็นดีวีดีขาย ครบวงจรของการบริ
หารคอนเทนต์ในกลุ่มธุรกิจวิทยุ
กระทั่งแกรมมี่ต้องการหา “Exclusive Content” มาป้อนช่อง One จึงเป็นโอกาสอีกครั้งที่ “คอนเทนต์” ของ Club Friday จะถูกนำมาสร้างมูลค่าเพิ่มอีกครั้งในรูปแบบของละครซีรีส์ ซึ่ง “สายทิพย์ มนตรีกุล ณ อยุธยา” ผู้บริหารใหญ่จากค่ายเอไทม์ฯ ค่อนข้างมั่นใจกับคอนเทนต์นี้ว่าจะได้รับการติดตาม
ทั้งนี้เนื่องจาก ไม่เพียง “คอนเทนต์” ซึ่งเป็นเรื่องราวความรักจากผู้ฟังที่รายการฯ สั่งสมมานานหลายปี แต่สายทิพย์เชื่อว่าจะมีแฟนคลับจำนวนไม่น้อยที่ก้าวข้ามจากแพลตฟอร์มของ “หน้าปัด” ไปอยู่บน “หน้าจอ” เหมือนเช่นที่เคยได้รับการตอบรับอย่างดีเมื่อครั้งที่นำคอนเทนต์นี้ไปผลิตออกเป็นสื่อในรูปแบบอื่น
นอกจากนี้ ค่ายเอไทม์ฯ ยังส่งละครชุดเรื่องใหม่อย่าง “เลิฟออนแอร์ ไม่บอกรักแต่รักมาก” และรายข่าวบันเทิงอย่าง “สถานีแสนแสบ” ที่นำเอาดีเจสุดแสบของค่ายเอไทม์ฯ มาเป็นผู้ดำเนินรายการ รวมถึงรายการ “Naked Show” ซึ่งเป็นการนำเอา “ของดี” ในแง่ของดีเจฝีปากเอกและมีแฟนคลับล้นหลามอย่าง “น้าเน็ก” มาต่อยอดเป็นรายการใหม่
ขณะเดียวกัน บริษัทผลิตละครและซิทคอมเรตติ้งดีของแกรมมี่ อย่างค่าย “ซีนารีโอ้” และ “เอ็กแซ็กท์” ก็เป็นอีกค่ายที่ได้โอกาสนำเอา “คอนเทนต์” ที่บริษัทสั่งสมมานาน มาสร้างมูลค่าอีกครั้งผ่านทางช่องทางใหม่ อย่างช่อง One
ทั้งนี้ ในเฟสแรก เอ็กแซ็กท์จะนำเอาละครฮิตที่เคยฉายในช่องฟรีทีวีกลับมารีรัน ส่วนซีนารีโอ้ ได้นำเอาซิทคอมชื่อดังอย่าง “เป็นต่อ” มาต่อยอดเป็น “เป็นต่อขั้นเทพ” พร้อมกับเตรียมผลิตรายการใหม่ชื่อ “THE STAR วันนี้” เพื่อเอาใจแฟนคลับเดอะสตาร์ทุกรุ่น
ขณะที่ค่ายหนังในเครือแกรมมี่อย่าง GTH ก็กำลังจะผลิตละครชุดที่มีชื่อว่า “GTH side stories” ซึ่งเป็นการนำเอาหนังดังของ GTH ถึง 8 เรื่อง มาทำภาคต่อในมุมใหม่ ซึ่งจะได้ชมในเดือนสิงหาคมนี้ และละครซีรีส์ชีวิตหลังแต่งงานของ “เสือ” และ “จิ๊บ” ตัวแสดงเอกจากหนังเรื่อง "ATM 2...เออเร่อ...เออรัก" มาให้ชมในช่วงปลายปี
ทั้งหมดนี้คือภาพขยายของการบริหาร “ขุมคอนเทนต์” ของเครือแกรมมี่ที่มีรากฐานมาจากความเชื่อของ “อากู๋” แห่งแกรมมี่ ส่งต่อมาถึงผู้บริหารรุ่นใหม่อย่าง “ฟ้าใหม่” และ “ระฟ้า” ที่ว่า “Content is the King”
ความเชื่อดังกล่าวถูกยืนยันอย่างหนักแน่นด้วย “มูลค่าเพิ่ม” ที่เกิดจากความสามารถในการนำคอนเทนต์ไปต่อยอด ทั้งในแง่รายได้จากการขายกล่องสัญญาณและค่าชมรายการ รวมถึงเม็ดเงินโฆษณา ตลอดจน “มูลค่าของแบรนด์ (Brand Value) ผ่านการนำเสนอบนแพลตฟอร์มต่างๆ ทั้งทีวีดาวเทียม, เคเบิลทีวี, อินเทอร์เน็ต, ยูทูป และมือถือ รวมถึงแพลตฟอร์มใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นอย่าง ทีวีดิจิตอล
ทั้งนี้ “ขุมคอนเทนต์” ที่จะสามารถนำกลับมาสร้างมูลค่าเพิ่มได้นั้น ต้องมาจากคลับประสบการณ์ของบุคลากร รวมถึง “ต้นทุนเดิม” อาทิ คอนเทนต์เรตติ้งดีที่เคยสร้างมา หรือบุคลากรที่มีฝีมือทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ผู้ผลิตคอนเทนต์ (Content Provider) รายอื่นต้องเร่งสร้างตามมาให้ทัน