“เบญจา” จี้กรมศุลกากรเร่งตรวจสินค้าส่งออก 4 พันตู้ หลังมีปัญหาขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มโดยไม่ได้ส่งออกจริงระบาดหนัก พร้อมหาทางอุดช่องโหว่ของระบบและตรวจสอบเข้ม ลั่นเจ้าหน้าที่เอี่ยวทุจริตสั่งฟันไม่เลี้ยง
นางเบญจา หลุยเจริญ รมช.คลัง เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้กรมศุลกากรเร่งตรวจสอบสินค้า 4,000 ตู้คอนเทนเนอร์รอส่งออกเพื่อดูว่ามีการส่งสินค้าไปจริงหรือไม่ หลังจากที่กรณีปัญหาทุจริตภาษีมูลค่าเพิ่มจากการส่งออกกว่า 4 พันล้านบาท แต่ไม่มีสินค้าจริงหรือสินค้าไม่ตรงกับที่แจ้ง โดยพบว่า 95% ส่งออกจากท่าเรือกรุงเทพหรือคลองเตยและอีก 5% ส่งออกจากท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งจากการสุ่มตรวจกลุ่มของเรดไลน์พบว่ามีสินค้าส่งออกไปจริง
“สินค้าที่ส่งออกมีจำนวนมาก เราคงไปห้ามไม่ได้หากไม่ใช่เป็นสินค้าต้องห้ามอย่างหนังควายหรือไม้พยุง ซึ่งหากทำอะไรเข้มงวดเกินไปก็อาจไปขัดหลักสากลได้ และสินค้ามีจำนวนมากขณะที่เจ้าหน้าที่มีน้อยจึงต้องใช้วิธีสุ่มตรวจ ส่วนกรณีปัญหาที่มีการตรวจปล่อยสินค้าไปงายๆ และนำไปสู่การคืนภาษีมูลค่าของกรมสรรพากรโดยไม่ถูกต้องนั้นก็สั่งการให้ตรวจสอบระบบว่ามีช่องโหวที่ใดเพื่อหาทางแก้ไข และมีส่วนเกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่คนใดหรือไม่เพื่อนำไปสู่ขั้นตอนการตรวจสอบข้อเท็จจริงและสอบสวนทางวินัยต่อไป” นางเบญจากล่าว
นอกจากนี้ ได้กำชับให้กรมศุลกากรและกรมสรรพากรรวมถึงกรมสรรพสามิตมีการเชื่อมโยงข้อมูลกันเพื่อปิดรูรั่วหรือช่องโหว่ต่างๆ เพราะการทุจริตนั้นต้องเป็นคนที่มีความเชี่ยวชาญด้านภาษีให้ความร่วมมือด้วยจึงรอดพ้นการตรวจสอบในช่วงที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาในส่วนของการนำเข้ารถยนต์ที่มีการหลบเลี่ยงภาษีนั้นได้แก้ไขไประดับหนึ่งแล้ว โดยการกำหนดให้สามารถขนย้ายออกจากพื้นที่ปลอดภาษีได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น และมีการเชื่อมโยงข้อมูลกับกรมการขนส่งและสมอ.เพื่อตรวจสอบว่ารถที่จดทะเบียนเป็นรุ่นเดียวกับที่นำเข้าจริงเพราะที่ผ่านมามีการแก้ไขรุ่นรถยนต์เพื่อเสียภาษีให้ถูกลง
นางเบญจา กล่าวถึงการจัดเก็บภาษีของกรมสรรพากรว่า ขณะนี้กรมฯมีความเป็นห่วงภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ปรับลดอัตราลงว่าจะกระทบกับรายได้มากกว่าที่ประเมินไว้ จึงกำชับให้ตรวจสอบดูว่า 2 พันรายที่เสียภาษีราใหญ่มีผลกำไรที่จะเสียภาษีกลางปีนี้จริงเท่าไหร่ เพ่อประเมินภาพรวมของภาษีอีกครั้งหนึ่ง ส่วนแผนการปรับลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดานั้นก็จะดำเนินการไปตามเดิมแต่ขอพิจารณารายละเอียดอีกครั้งหนึ่งก่อน โดยหากออกเป็นพระราชกฤษฎีกาก็น่าจะทำได้เร็วและใช้ได้ทันในปีภาษีหน้าอย่างที่ตั้งเป้าหมายไว้.
นางเบญจา หลุยเจริญ รมช.คลัง เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้กรมศุลกากรเร่งตรวจสอบสินค้า 4,000 ตู้คอนเทนเนอร์รอส่งออกเพื่อดูว่ามีการส่งสินค้าไปจริงหรือไม่ หลังจากที่กรณีปัญหาทุจริตภาษีมูลค่าเพิ่มจากการส่งออกกว่า 4 พันล้านบาท แต่ไม่มีสินค้าจริงหรือสินค้าไม่ตรงกับที่แจ้ง โดยพบว่า 95% ส่งออกจากท่าเรือกรุงเทพหรือคลองเตยและอีก 5% ส่งออกจากท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งจากการสุ่มตรวจกลุ่มของเรดไลน์พบว่ามีสินค้าส่งออกไปจริง
“สินค้าที่ส่งออกมีจำนวนมาก เราคงไปห้ามไม่ได้หากไม่ใช่เป็นสินค้าต้องห้ามอย่างหนังควายหรือไม้พยุง ซึ่งหากทำอะไรเข้มงวดเกินไปก็อาจไปขัดหลักสากลได้ และสินค้ามีจำนวนมากขณะที่เจ้าหน้าที่มีน้อยจึงต้องใช้วิธีสุ่มตรวจ ส่วนกรณีปัญหาที่มีการตรวจปล่อยสินค้าไปงายๆ และนำไปสู่การคืนภาษีมูลค่าของกรมสรรพากรโดยไม่ถูกต้องนั้นก็สั่งการให้ตรวจสอบระบบว่ามีช่องโหวที่ใดเพื่อหาทางแก้ไข และมีส่วนเกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่คนใดหรือไม่เพื่อนำไปสู่ขั้นตอนการตรวจสอบข้อเท็จจริงและสอบสวนทางวินัยต่อไป” นางเบญจากล่าว
นอกจากนี้ ได้กำชับให้กรมศุลกากรและกรมสรรพากรรวมถึงกรมสรรพสามิตมีการเชื่อมโยงข้อมูลกันเพื่อปิดรูรั่วหรือช่องโหว่ต่างๆ เพราะการทุจริตนั้นต้องเป็นคนที่มีความเชี่ยวชาญด้านภาษีให้ความร่วมมือด้วยจึงรอดพ้นการตรวจสอบในช่วงที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาในส่วนของการนำเข้ารถยนต์ที่มีการหลบเลี่ยงภาษีนั้นได้แก้ไขไประดับหนึ่งแล้ว โดยการกำหนดให้สามารถขนย้ายออกจากพื้นที่ปลอดภาษีได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น และมีการเชื่อมโยงข้อมูลกับกรมการขนส่งและสมอ.เพื่อตรวจสอบว่ารถที่จดทะเบียนเป็นรุ่นเดียวกับที่นำเข้าจริงเพราะที่ผ่านมามีการแก้ไขรุ่นรถยนต์เพื่อเสียภาษีให้ถูกลง
นางเบญจา กล่าวถึงการจัดเก็บภาษีของกรมสรรพากรว่า ขณะนี้กรมฯมีความเป็นห่วงภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ปรับลดอัตราลงว่าจะกระทบกับรายได้มากกว่าที่ประเมินไว้ จึงกำชับให้ตรวจสอบดูว่า 2 พันรายที่เสียภาษีราใหญ่มีผลกำไรที่จะเสียภาษีกลางปีนี้จริงเท่าไหร่ เพ่อประเมินภาพรวมของภาษีอีกครั้งหนึ่ง ส่วนแผนการปรับลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดานั้นก็จะดำเนินการไปตามเดิมแต่ขอพิจารณารายละเอียดอีกครั้งหนึ่งก่อน โดยหากออกเป็นพระราชกฤษฎีกาก็น่าจะทำได้เร็วและใช้ได้ทันในปีภาษีหน้าอย่างที่ตั้งเป้าหมายไว้.