“ยูนิลีเวอร์” ปรับแผนตลาดกลุ่มแฮร์แคร์ หลังพบสัญญาณตลาดอืดครึ่งปีหลัง ชูแผนทำเร็วไม่ช้า ออกสินค้าใหม่ พร้อมปั้นแบรนด์”เทรซาเม่” ลุยกลุ่มบิวตี้พรีเมียม เติบเต็มพอร์ตโฟลิโอ
นางสุทิพา ปัญญามหาทรัพย์ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาการตลาด ผลิตภัณฑ์เส้นผมและทันตผลิตภัณฑ์ บริษัท ยูนิลีเวอร์ ไทย เทรดดิ้ง จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมของตลาดผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมหรือแฮร์แคร์ ( Hair Care) ช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้เติบโตเพีย 5.5% เท่านั้น หรือมีมูลค่ารวม 5 เดือนแรกเพียง 6,648 ล้านบาท โดยกลุ่มแชมพูเพื่อความงามหรือบิวตี้แชมพูเติบโตประมาณ 4.2% หรือในช่วง 5
เดือนแรกมีมูลค่า 4,186 ล้านบาท จากทั้งปีที่คาดว่ากลุ่มบิวตี้จะมีมูลค่ารวม 10,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม คาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังนี้ ตลาดรวมแชมพูจะมีการแข่งขันที่รุนแรงมากยิ่งขึ้น ทั้งในด้านการออกโปรโมชั่นลดราคา การออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ และการทำบีโลว์เดอะไลน์ต่างๆเพื่อกระตุ้นตลาด และคาดว่าทั้งปีนี้ตลาดรวมแฮร์แคร์ น่าจะมีการเติบโตเพียง 4-5% เท่านั้น หรือมีมูลค่ารวมประมาณ 15,955 ล้านบาท จากปีที่แล้วที่มีมูลค่าตลาดรวมกว่า 14,000 ล้านบาท
เนื่องจากว่า ในช่วงนี้ตลาดรวมแฮร์แคร์ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม-มิถุนายน เป็นต้นมา ตลาดรวมเริ่มอืดแล้ว ยอดขายรวมในตลาดไม่ค่อยโตเท่าใด หลังจากที่ สองเดือนแรกตลาดรวมโต 7-8% เพราะกำลังซื้อของผู้บริโภคเริ่มลดลง เพราะค่าครองชีพสูงขึ้นและผลกระทบจากโครงการรถคันแรกด้วย และอัตราการใช้แชมพูของคนไทยก็เรียกว่าอิ่มตัวแล้ว มีแต่กลุ่มคอนดิชันเนอร์เท่านั้นที่ยังมีการเติบโตบ้าง
นางสุทิพากล่าวต่อว่า ยูนิลีเวอร์จึงต้องปรับแผนการตลาดในช่วงครึ่งปีหลังนี้ใหม่ โดยจะต้องมุ่งทำการตลาดเชิงรุกและทำให้เร็วขึ้น รวมทั้งการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆต่อเนื่อง และการเล่นโปรโมชันราคาเช่นเดียวกับที่คู่แข่งทำเพื่อรักษาฐานตลาดเอาไว้ ขณะเดียวกันก็จะหันมาเน้นในตลาดพรีเมียมมากขึ้นด้วย
เนื่องจากต้องการสร้างความคุ้มค่าในการใช้จ่ายเงินของผู้บริโภคในภาวะที่เศรษฐกิจไม่ค่อยดี และเป็นการเสริมความแข็งแกร่งให้กับพอร์ตโฟลิโอของบริษัทฯด้วย
ล่าสุดได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์แบรนด์ “เทรซาเม่” (TRESemme) ลงตลาดเมืองไทยอย่างเป็นทางการ หลังจากที่เริ่มทดลองวางตลาดมาแบบยังไม่จริงจังมาปีเศษแล้ว ซึ่งเป็นแบรนด์ใหม่ล่าสุดของยูนิลีเวอร์ หลังจากที่บริษัทแม่ที่ต่างประเทศได้เข้าซื้อกิจการแบรดน์นี้จากบริษัท ALBERTO CULVER จากอเมริกา เมื่อปีที่แล้ว
และไทยถือเป็นประเทศในลำดับต้นๆในอาเซียนที่นำแบรนด์นี้เข้ามาจำหน่ายนอกอเมริกา และคาดว่าในอนาคตยูนิลีเวอร์ก็มีแผนที่จะนำแบรนด์ใหม่ๆเข้าทำตลาดแฮร์แคร์ในไทยเพิ่มอีก
การนำแบรนด์นี้เข้าทำตลาดเพื่อเติมเต็มในทุกเซ็กเมนต์ โดยจะเจาะตลาดกลุ่มบิวตี้ระดับไฮเอนด์หรือพรีเมียม กลุ่มผู้หญิงอายุ 21-29 ปี จากเดิมที่มีแบรนด์เคลียร์จับกลุ่มพรีเมียมแต่เห็นเป็นกลุ่มขจัดรังแคไม่ใช่กลุ่มบิวตี้ ส่วนบิวตี้ระดับกลางคือแบรนด์โดฟ และกลุ่มบิวตี้ระดับแมสคือแบรนด์ซันซิลทำตลาดอยู่แล้ว
สำหรับแผนรุกตลาดของเทรซาเม่นี้ มีการปรับแพกเกจจิ้งใหม่ให้ทันสมัย พร้อมออกสูตรใหม่คือ สปลิทรีคัฟเวอรี่ที่แก้ปัญหาผมแตกปลาย รวมทั้งการออกขนาดใหม่เพื่อให้มีความหลากหลาย คือ ขนาด 190 มล. ราคา 79 บาท จากเดิมเป็นขนาดใหญ่ขวดปั๊ม ขนาด 400 และ 600 มล. ราคา 139 และ 159 บาท และออกสินค้าใหม่เป็นเซรั่มบำรุงผม ขนาด 97 มล. ราคา 299 บาท และสปลิทรีคัฟเวอรี่มาส์ก ขนาด 180 มล. ราคา 179 บาท
กลยุทธ์จะแจกสินค้าตัวอย่างกว่า 50,000 ชิ้น ออกหนังโฆษณาชุดใหม่ มีสื่อสนับสนุนทั้งออนไลน์และกิจกรรมต่างๆและชิงโชคไปอเมริกาด้วย
นอกจากนั้นได้ขยายช่องทางการจำหน่ายใหม่ๆเพิ่มขึ้นอีกคือ ซูเปอร์มาร์เก็ตและไฮเปอร์มาร์เก็ตต่างจังหวัดและขยายเข้าช่องทางคอนวีเนียนสโตร์เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงสินค้าได้สะดวกด้วย จากเดิมที่เน้นวางขายในซูเปอร์มาร์เก็ตเป็นหลัก
นางสุทิพา ปัญญามหาทรัพย์ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาการตลาด ผลิตภัณฑ์เส้นผมและทันตผลิตภัณฑ์ บริษัท ยูนิลีเวอร์ ไทย เทรดดิ้ง จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมของตลาดผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมหรือแฮร์แคร์ ( Hair Care) ช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้เติบโตเพีย 5.5% เท่านั้น หรือมีมูลค่ารวม 5 เดือนแรกเพียง 6,648 ล้านบาท โดยกลุ่มแชมพูเพื่อความงามหรือบิวตี้แชมพูเติบโตประมาณ 4.2% หรือในช่วง 5
เดือนแรกมีมูลค่า 4,186 ล้านบาท จากทั้งปีที่คาดว่ากลุ่มบิวตี้จะมีมูลค่ารวม 10,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม คาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังนี้ ตลาดรวมแชมพูจะมีการแข่งขันที่รุนแรงมากยิ่งขึ้น ทั้งในด้านการออกโปรโมชั่นลดราคา การออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ และการทำบีโลว์เดอะไลน์ต่างๆเพื่อกระตุ้นตลาด และคาดว่าทั้งปีนี้ตลาดรวมแฮร์แคร์ น่าจะมีการเติบโตเพียง 4-5% เท่านั้น หรือมีมูลค่ารวมประมาณ 15,955 ล้านบาท จากปีที่แล้วที่มีมูลค่าตลาดรวมกว่า 14,000 ล้านบาท
เนื่องจากว่า ในช่วงนี้ตลาดรวมแฮร์แคร์ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม-มิถุนายน เป็นต้นมา ตลาดรวมเริ่มอืดแล้ว ยอดขายรวมในตลาดไม่ค่อยโตเท่าใด หลังจากที่ สองเดือนแรกตลาดรวมโต 7-8% เพราะกำลังซื้อของผู้บริโภคเริ่มลดลง เพราะค่าครองชีพสูงขึ้นและผลกระทบจากโครงการรถคันแรกด้วย และอัตราการใช้แชมพูของคนไทยก็เรียกว่าอิ่มตัวแล้ว มีแต่กลุ่มคอนดิชันเนอร์เท่านั้นที่ยังมีการเติบโตบ้าง
นางสุทิพากล่าวต่อว่า ยูนิลีเวอร์จึงต้องปรับแผนการตลาดในช่วงครึ่งปีหลังนี้ใหม่ โดยจะต้องมุ่งทำการตลาดเชิงรุกและทำให้เร็วขึ้น รวมทั้งการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆต่อเนื่อง และการเล่นโปรโมชันราคาเช่นเดียวกับที่คู่แข่งทำเพื่อรักษาฐานตลาดเอาไว้ ขณะเดียวกันก็จะหันมาเน้นในตลาดพรีเมียมมากขึ้นด้วย
เนื่องจากต้องการสร้างความคุ้มค่าในการใช้จ่ายเงินของผู้บริโภคในภาวะที่เศรษฐกิจไม่ค่อยดี และเป็นการเสริมความแข็งแกร่งให้กับพอร์ตโฟลิโอของบริษัทฯด้วย
ล่าสุดได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์แบรนด์ “เทรซาเม่” (TRESemme) ลงตลาดเมืองไทยอย่างเป็นทางการ หลังจากที่เริ่มทดลองวางตลาดมาแบบยังไม่จริงจังมาปีเศษแล้ว ซึ่งเป็นแบรนด์ใหม่ล่าสุดของยูนิลีเวอร์ หลังจากที่บริษัทแม่ที่ต่างประเทศได้เข้าซื้อกิจการแบรดน์นี้จากบริษัท ALBERTO CULVER จากอเมริกา เมื่อปีที่แล้ว
และไทยถือเป็นประเทศในลำดับต้นๆในอาเซียนที่นำแบรนด์นี้เข้ามาจำหน่ายนอกอเมริกา และคาดว่าในอนาคตยูนิลีเวอร์ก็มีแผนที่จะนำแบรนด์ใหม่ๆเข้าทำตลาดแฮร์แคร์ในไทยเพิ่มอีก
การนำแบรนด์นี้เข้าทำตลาดเพื่อเติมเต็มในทุกเซ็กเมนต์ โดยจะเจาะตลาดกลุ่มบิวตี้ระดับไฮเอนด์หรือพรีเมียม กลุ่มผู้หญิงอายุ 21-29 ปี จากเดิมที่มีแบรนด์เคลียร์จับกลุ่มพรีเมียมแต่เห็นเป็นกลุ่มขจัดรังแคไม่ใช่กลุ่มบิวตี้ ส่วนบิวตี้ระดับกลางคือแบรนด์โดฟ และกลุ่มบิวตี้ระดับแมสคือแบรนด์ซันซิลทำตลาดอยู่แล้ว
สำหรับแผนรุกตลาดของเทรซาเม่นี้ มีการปรับแพกเกจจิ้งใหม่ให้ทันสมัย พร้อมออกสูตรใหม่คือ สปลิทรีคัฟเวอรี่ที่แก้ปัญหาผมแตกปลาย รวมทั้งการออกขนาดใหม่เพื่อให้มีความหลากหลาย คือ ขนาด 190 มล. ราคา 79 บาท จากเดิมเป็นขนาดใหญ่ขวดปั๊ม ขนาด 400 และ 600 มล. ราคา 139 และ 159 บาท และออกสินค้าใหม่เป็นเซรั่มบำรุงผม ขนาด 97 มล. ราคา 299 บาท และสปลิทรีคัฟเวอรี่มาส์ก ขนาด 180 มล. ราคา 179 บาท
กลยุทธ์จะแจกสินค้าตัวอย่างกว่า 50,000 ชิ้น ออกหนังโฆษณาชุดใหม่ มีสื่อสนับสนุนทั้งออนไลน์และกิจกรรมต่างๆและชิงโชคไปอเมริกาด้วย
นอกจากนั้นได้ขยายช่องทางการจำหน่ายใหม่ๆเพิ่มขึ้นอีกคือ ซูเปอร์มาร์เก็ตและไฮเปอร์มาร์เก็ตต่างจังหวัดและขยายเข้าช่องทางคอนวีเนียนสโตร์เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงสินค้าได้สะดวกด้วย จากเดิมที่เน้นวางขายในซูเปอร์มาร์เก็ตเป็นหลัก