ประธานบริหารกลุ่มบริษัทยูนิลีเวอร์ประเทศไทย และอินโดจีน ชี้ชัดเศรษฐกิจไทยยังคงฉายแสงเหมือน Bright Future เผยนโยบายธุรกิจเน้นให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อม หวังผลยอดขายทั่วโลกเพิ่มขึ้น 2 เท่าเป็น 8 หมื่นล้านยูโรในปี 2563 ล่าสุดเตรียมลงทุนเพิ่ม 500 ล้านยูโรผุดโรงงานแห่งที่สองในพม่าภายในปี 2556
นายบาวเค่อ ราวเออร์ส ประธานบริหารกลุ่มบริษัทยูนิลีเวอร์ประเทศไทย และอินโดจีน เปิดเผยถึงภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยในช่วงครึ่งปีหลังว่า แม้ GDP ของประเทศไทยจะลดลงมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี 2556 และยังคงมีความผันผวนอยู่บ้างอันเนื่องมาจากการได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจของประเทศจีน สหรัฐอเมริกา และยุโรป แต่ก็ถือเป็นเพียงผลกระทบชั่วคราว เพราะในภาพรวมแล้วถือว่าเป็นภาวะที่ค่อนข้างนิ่งและอยู่ตัว ทั้งยังมีสัญญาณที่ดีและเป็นช่วงขาขึ้นเสมือน Bright Future ทำให้ผลประกอบการของเราเป็นไปตามเป้าหมายในทุกด้าน เช่นเดียวกับการลงทุนในประเทศพม่าหลังจากเพิ่งเปิดบริษัทและโรงงานผลิตซุปไก่คนอร์มาแล้ว จะมีการลงทุนเพิ่มอีกประมาณ 500 ล้านยูโรเพื่อขยายโรงงานแห่งที่ 2 ภายในสิ้นปี 2556 นี้
ยูนิลีเวอร์ได้ริเริ่ม “แผนการดำรงชีวิตอย่างยั่งยืน” (Sustainable Living Plan) ในการดำเนินธุรกิจทั่วโลกมาตั้งแต่ปี 2553 โดยมีเป้าหมายสำคัญคือ การขยายธุรกิจทั่วโลกให้เติบโตขึ้นเป็น 2 เท่าจากยอดขายทั่วโลก 4 หมื่นล้านยูโร เป็น 8 หมื่นล้านยูโร ขณะเดียวกันต้องลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมลงครึ่งหนึ่งภายในปี 2563 และมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคในการใช้ผลิตภัณฑ์เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้บริโภคได้มีส่วนร่วมในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมด้วย
“สิ่งที่ยูนิลีเวอร์พยายามดำเนินงานอย่างต่อเนื่องคือลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจ รวมทั้งพยายามสร้างสรรค์นวัตกรรมที่ทำให้ผู้บริโภคที่ใช้สินค้าของเรา หรือเป็นผู้จัดหาวัตถุดิบ บริการขนส่ง และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องได้เปลี่ยนพฤติกรรม หรือมีส่วนร่วมในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน โดยปัจจุบันยูนิลีเวอร์มีการนำเครื่องจักรใหม่ที่สามารถลดก๊าซเรือนกระจกการผลิตสินค้าประเภทต่างๆ ได้ปีละ 4% นอกจากนี้ยังมีเป้าหมายเปลี่ยนตู้แช่ไอศกรีมทั้งหมดเป็นตู้ที่ไม่ได้ใช้สารเคมีที่ก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจกภายในปี 2558 โดยในปี 2555 ยูนิลีเวอร์มีการเพิ่มประสิทธิภาพและลดความถี่ในการขนส่งเพื่อลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 994,840 กิโลกรัม”
ในส่วนของนวัตกรรมด้านผลิตภัณฑ์ยังมีการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ซักผ้าแบบเข้มข้น และผลิตภัณฑ์ปรับผ้านุ่มสูตรน้ำเดียวที่ช่วยลดการใช้น้ำในการซักล้างได้ถึง 3,120 ลิตร หรือเทียบเท่ากับน้ำดื่มสะอาดขนาด 1.5 ลิตร เป็นจำนวน 2,080 ขวด นอกจากนี้ยังมีการออกแบบบรรจุภัณฑ์ใหม่เพื่อช่วยลดการใช้เยื่อกระดาษเทียบเท่ากับการรักษาต้นไม้ได้ถึงปีละ 1.2 แสนตัน
“ขณะที่เรากำลังลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยังไม่ได้มีผลด้านยอดขายอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของเราที่ต้องการทำให้ผู้บริโภครู้สึกว่าเราเป็นองค์กรที่ให้ความสำคัญต่อสิ่งแวดล้อมผ่านผลิตภัณฑ์ของเรา จึงทำให้ผลประกอบการของเรายังคงเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องและเป็นไปตามเป้าหมายมาโดยตลอด และคาดว่าในอนาคตเมื่อผู้บริโภครับรู้ถึงวัตถุประสงค์ของเราจะทำให้ยอดขายเราเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้อย่างแน่นอน”