ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-แม้จะยังไม่โดนจับสึก เพราะเร่ร่อนเป็นสัมภเวสีหนีคดีเหมือนนักโทษชายทักษิณ ชินวัตรอยู่ที่ต่างประเทศ โดยบินร่อนจากฝรั่งเศสเข้าสหรัฐอเมริกา แต่ถึงตอนนี้คงสามารถใช้คำว่า นายวิรพล สุขผล หรือไอ้คำได้อย่างเต็มปากเต็มคำสำหรับหลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก อดีตประธานสงฆ์ที่พำนักสงฆ์ขันติธรรม อำเภอกันทรารมย์ จังหวัดศรีสะเกษ
ทั้งนี้ เนื่องจากทั้งผลการสืบสวนสอบสวนของทั้งกรมสอบสวนคดีพิเศษและสารพัดข้อมูลที่ปรากฏออกมา วันนี้นอกจากเณรคำจะต้องปาราชิกขาดจากความเป็นพระแล้ว ยังจะต้องโทษตามอาญาแผ่นดินในหลากหลายคดีด้วยกัน
หรือพูดง่ายๆ ว่า นอกจากต้องถูกจับสึกแล้วยังจะต้องติดคุดติดตารางอีกต่างหาก
จะมีก็แต่ลูกศิษย์ โดยเฉพาะศิษย์เองคือนายสุขุม วงประสิทธิซึ่งได้รับปริญญาลวงโลกจากมหาวิทยาลัยสันติภาพโลก ที่ยังคงดันทุรังเข้าข้างพระอาจารย์ของตัวเองอย่างหน้ามืดตามัว เฉกเช่นเดียวกับเจ้าคณะผู้ปกครองที่ทำงานอย่างเชื่องช้าราวกับดอกบัวที่ขึ้นอยู่ใต้โคลนตน ฉันใดก็ฉันนั้น
เปิดตัว “พ่อทูนหัว” เณรคำ งุ่มงามเชื่องช้าจนน่าสงสัย
หลังจากดำรงตนเป็น “พระเตมีย์ใบ้” ไม่มีปฏิกิริยากับเณรคำมาได้ระยะหนึ่งจนถูกตั้งข้อสังเกตถึงความไม่ชอบมาพากลว่าทำไมคณะสงฆ์ผู้ปกครองถึงไม่เร่งรีบจัดการเณรคำให้พ้นไปจากผ้าเหลืองเสียที แถมยังโบ้ยกันไปมาโดยเฉพาะเจ้าคณะผู้ปกครองจังหวัดศรีสะเกษและอุบลราชธานี
ทั้งๆ ที่พ.ร.บ.คณะสงฆ์กำหนดไว้ชัดเจนว่า หากมีเรื่องการกระทำผิดของสงฆ์ การพิจารณาก็จะเป็นไปตามลำดับชั้นการปกครอง โดยให้ผู้บังคับบัญชาใกล้ชิดเป็นผู้สอบข้อเท็จจริง เช่น เจ้าคณะอำเภอ ต้องพิจารณาแล้วส่งเรื่องมายังเจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะภาค และเจ้าคณะใหญ่หนต่างๆพิจารณาตามลำดับชั้น จากนั้นแจ้งมายังมหาเถรสมาคม(มส.)ให้รับทราบเรื่องที่เกิดขึ้น
กระทั่งถึงวันนี้ แม้บรรดาเจ้าคณะผู้ปกครองจะมีความเคลื่อนไหวเกิดขึ้นให้เห็นเป็นรูปธรรมบ้าง แต่ทำไปทำมาแทนที่จะจัดการให้รวดเร็ว กลับดำเนินการอย่างเชื่องช้า
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม2556 ที่ผ่านมาก็ได้มีความเคลื่อนไหวจากเจ้าคณะจังหวัดอุบลราชธานีและเจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษซึ่งเป็นสองคณะสงฆ์ผู้ปกครองของเณรคำโดยตรง
พระราชธรรมโกศล(สวัสดิ์ ตามสีวัน) เจ้าอาวาสวัดใต้พระเจ้าใหญ่องค์ตื้อ ในฐานะเจ้าคณะจังหวัดอุบลราชธานี ระบุว่า ในเบื้องต้นคณะกรรมการวัดใต้ฯ ได้สอบประวัติความเป็นมาของหลวงปู่เณรคำโดยสรุปว่า หลวงปู่เณรคำได้เข้าบวชโดยมีอุปัชฌาย์และเข้ามาขอสังกัดวัดใต้ฯ จริง ก่อนย้ายไปสำนักสงฆ์ขันติธรรมตั้งแต่ปี 2549 ส่วนเรื่องการพิจารณาขับออกจากวัดนั้น คณะกรรมการเห็นว่า ควรขับออกจากวัด เนื่องจากเห็นว่าไม่อยู่วัดเป็นหลักแหล่งเพราะการที่พระจะไปจำวัดที่ใดก็ตามจะต้องบอกลาไปได้เพียง 7 วันถึง 1 เดือน เว้นแต่เจ็บป่วย แต่หลวงปู่เณรคำหายจากวัดไปตลอด ไม่ได้อยู่ในโอวาทและไม่มาลา ขาดการติดต่อ
คำถามที่เกิดขึ้นมีอยู่ว่า การขับออกจากวัดแก้ปัญหาอะไรหรือไม่ และถ้าจะว่าไปแล้วก็ไม่เห็นจะเกี่ยวกับพฤติกรรมอันเหลวแหลกของเณรคำแต่ประการใด เพราะการพ้นจากสังกัดวัดใต้พระเจ้าใหญ่องค์ตื้อ ก็ทำให้เณรคำเป็นเพียงพระเร่ร่อนไม่มีสังกัดเท่านั้น
ขณะเดียวกันยังสะท้อนถึงความรับผิดชอบของคณะสงฆ์จังหวัดอุบลราชธานีอีกต่างหาก เพราะประหนึ่งว่า ต้องการปัดเณรคำให้พ้นไปจากสังกัดของตนเองเท่านั้นเป็นพอ
ยิ่งเพื่อได้อ่านความคิดเห็นเกี่ยวกับคดีร้องเรียนต่างๆ ก็ยิ่งเห็นร่องรอยที่ชวนให้ค้างคาใจหนักเข้าไปอีก เพราะเจ้าคณะจังหวัดอุบลราชธานีระบุชัดเจนว่า ต้องให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่บ้านและคณะสงฆ์ในการพิจารณาเรื่องพระธรรมวินัยต่อไป
แล้วคณะสงฆ์จังหวัดอุบลราชธานีไม่ใช่เจ้าคณะผู้ปกครองที่มีอำนาจเต็มในการพิจารณาเรื่องพระธรรมวินัยหรอกหรือ
ส่วนเรื่องรับบริจาครถจากเณรคำ พระราชธรรมโกศลชี้แจงว่า “เรื่องมันเกิดตั้งแต่ปี2553 อาตมาไปกิจนิมนต์และพบกับเณรคำและนางสุนันทาเจ้าของดอกบัวคู่ แลเห็นตนใช้รถยนต์เก่าๆ เณรคำจึงเอ่ยกับนางสุนันทาให้ถวายรถให้อาตมาเป็นรถฟอร์จูนเนอร์ เครื่อง 2,500 โดยโอนเป็นชื่ออาตมา แต่ใช้ได้เพียง 6 เดือนเห็นว่าไม่สะดวกกับกิจนิมนต์จึงนำไปเทิร์นเอารถคันใหม่มาใช้ อย่างไรก็ตามหาก ปปง. จะมาตรวจสอบหรือยึดรถไปตนก็ยินดีให้ความร่วมมือเพราะไม่ได้ยึดติดในวัตถุแต่อย่างใด”
เฉกเช่นเดียวกับคณะสงฆ์จังหวัดศรีสะเกษที่มีมติไปในทำนองเดียวกัน โดยพระครูวิสุทธิญาณ เจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ ระบุว่า ขณะนี้พระวิรพลไม่สามารถติดต่อได้และอยู่ยังต่างประเทศ คณะสงฆ์เห็นว่า กรณีดังกล่าวเป็นความเสื่อมต่อพระศาสนา จึงได้ลงมติเบื้องต้นว่า ให้ขับพระวิรพลออกจากหมู่สงฆ์จังหวัดศรีสะเกษนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
คำถามที่เกิดขึ้นก็เป็นไปตามที่เคยตั้งเอาไว้กับคณะสงฆ์จังหวัดอุบลราชธานีก่อนหน้านี้ว่า แล้วมาตรการขับออกจากวัดแก้ปัญหาอะไรหรือไม่ ทำไมถึงไม่ตั้งอธิกรณ์สอบสวนเรื่องที่เณรคำทำผิดกฎหมายทั้งทางโลกและทางธรรมจนปรากฏหลักฐานให้เห็นชัดแจ้งในขณะนี้
ขณะที่พระธรรมฐิติญาณ เจ้าคณะภาค 10 ซึ่งเป็นเจ้าคณะผู้ปกครองของเณรคำก็ดูเหมือนจะมีท่าทีที่ไม่ต่างจากคณะสงฆ์ของทั้งสองจังหวัดเท่าใดนัก
“เมื่อวันที่ 8 ก.ค.ที่ผ่านมา คณะสงฆ์ศรีสะเกษได้เข้ามาหารือกับอาตมาเกี่ยวกับกรณีหลวงปู่เณรคำว่าจะให้ดำเนินการเช่นไร อาตมาจึงได้ให้แนวทางไปว่าหากเห็นว่าหลวงปู่เณรคำกระทำความผิดก็ต้องว่ากันตามความผิด หากทำถูกต้องว่ากันไปตามถูก โดยยึดความถูกต้องเป็นหลัก ส่วนกระบวนการพิจารณาให้คณะสงฆ์ศรีสะเกษและอุบลราชธานี ว่ากันไปตามกระบวนการโดยไม่ได้กำหนดวันที่ต้องดำเนินการเสร็จ แต่ก็กำชับว่าให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้
“ตอนนี้กระบวนการพิจารณายังติดที่หลวงปู่เณรคำอยู่ที่ต่างประเทศ มีเพียงอีกฝั่งให้ข้อมูลอยู่เพียงด้านเดียว เป็นเพียงข้อกล่าวหา หากจะฟันธงว่าผิดหรือถูกก็ลำบากเหมือนกัน ซึ่งเรื่องการสึก หากตัดสินไปแล้ว แก้คืนไม่ได้ ต้องทำให้รอบคอบ”เจ้าคณะภาค 10 ธรรมยุตกล่าวในเชิงออกตัวให้เณรคำ
ดังนั้น เมื่อพิจารณาท่าทีอันเชื่องช้าของคณะสงฆ์แล้วก็ไม่น่าแปลกใจที่ พ.ต.ท.พงศ์อินทร์ อินทรขาว ผบ.สำนักคดีความมั่นคง กรมสอบสวนคดีพิเศษจะแสดงความเห็นอย่างตรงไปตรงมาว่า “เรื่องของหลวงปู่เณรคำเกิดขึ้นมาตั้งแต่ปี 2553 แต่คณะสงฆ์ยังไม่ได้ดำเนินการอย่างจริงจัง เวลาที่ผ่านมาจึงเกิดความเสียหายมากขึ้น”
ถึงตรงนี้ คำถามที่คณะสงฆ์จะต้องตอบก็คือ ความเชื่องช้าและมาตรการที่เกิดขึ้นเป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ หรือมีเงื่อนงำจากปริศนาธรรมที่ว่า “แจกจริง รัยจริง” ที่โลกทอดสายตามองคณะสงฆ์ผู้ปกครองของเณรคำในขณะนี้
เพราะจากข้อมูลล่าสุดเรื่องบ้านพักตากอากาศสุดหรูของเณรคำได้ทำให้หลายคนปะติดปะต่อเรื่องราวได้ไม่ยาก เนื่องเพราะบ้านหลังนี้เณรคำใช้เป็นบ้านพักตากอากาศและมีไว้สำหรับรองรับพระผู้ใหญ่จากเมืองไทยที่เดินทางไปที่นั้น และมีไว้สำหรับรองรับแขกระดับวีไอพี หรือโยมระดับวีไอพี
แถมลูกศิษย์คนสำคัญของเณรคำคือ พระครูภาวนาวรธรรมวิเทศ หรือหลวงพ่อปานขาว พระชาวลาว สัญชาติฝรั่งเศส ที่เป็นเจ้าอาวาสวัดโพธิญาณซึ่งเป็นหนึ่งในคณะสงฆ์กลุ่มแรกๆ ที่เคลื่อนไหวรับรองความประพฤติของเณรคำยังมีความใกล้ชิดกับเจ้าคณะผู้ปกครองระดับสมเด็จพระราชาคณะรูปหนึ่งอีกต่างหาก
อึ๊บเด็ก รถหรูอื้อ ต้องปาราชิก ติดคุก
ในทางกลับกัน ขณะที่การจัดการของคณะสงฆ์เป็นไปอย่างเชื่องช้า การตรวจสอบพฤติกรรมของฝ่ายอาณาจักรก็ขับเคลื่อนอย่างรวดเร็วเป็นเนื้อเป็นหนังมัดเณรคำจนดิ้นไม่หลุด โดยเฉพาะผลการสืบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ที่ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อมูลกับภรรยาของไอ้คำที่จังหวีดศรีสะเกษ จนมั่นใจว่ามีหลักฐานเกี่ยวกับการเสพเมถุนของไอ้คำชัดเจน เนื่องจากปรากฏสลิปการโอนเงินค่าเช่าบ้านและค่าเลี้ยงดูบุตรมาให้เมีย
“ขณะนี้ดีเอสไอมีหลักฐานที่จะดำเนินคดีกับพระเณรคำ โดยจะเริ่มจากการกระทำผิดกฎหมายอาญามาตรา 277 ชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกิน 15 ปี แม้หญิงจะให้ความยินยอมแต่ก็เป็นความผิด ซึ่งมีระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 4-20 ปี”
พ.ต.ท.พงศ์อินทร์ อินทรขาว ผบ.สำนักคดีความมั่นคง กรมสอบสวนคดีพิเศษให้ข้อมูลหลงได้ข้อเท็จจริงจากหนึ่งในแปดของผู้หญิงที่มีความสัมพันธ์ทางเพศกับไอ้คำตั้งแต่อายุ 14 ปี จนกระทั่งมีลูกด้วยกัน 1 คน ซึ่งปัจจุบันลูกของเณรคำมีอายุ 11 ปีแล้ว
ทั้งนี้ เมียของเณรคำยังแฉด้วยว่า การเสพเมถุนในคราบผ้าเหลืองของเณรคำเป็นไปอย่างมัวเมา โดยเฉลี่ยมีเซ็กซ์เดือนละ 10 ครั้ง บางครั้งก็ในรีสอร์ท บางครั้งก็ในสำนักสงฆ์ป่าช้าบ้านยาง จังหวัดศรีสะเกษ แถมถ้าหน้ามืดจัดในรถที่ขับมารับก็ยังมี
“หลังหนูกลับมาอยู่บ้านกับยาย เณรคำเริ่มหายไปไม่สามารถติดต่อได้ การเจรจาขอค่าเลี้ยงดูลูกต้องผ่านลูกศิษย์เท่านั้น และเณรคำก็ให้ลูกศิษย์ชื่อเสถียรเป็นตำรวจทางหลวงโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารให้เดือนละ 5,000 บาทหรือ 10,000 บาทบ้าง แต่มาระยะหลังไม่ยอมส่ง สาเหตุที่หนูต้องเปิดเผยเรื่องนี้เนื่องจากมีกลุ่มลูกศิษย์มากล่าวหาว่าหนูมีลูกกับน้องชายของเณรคำ ซึ่งไม่เป็นความจริง”เมียของไอ้คำให้ข้อมูล
ส่วนภาพที่ปรากฏนอนคู่กับหญิงสาวที่เผยแพร่ว่อนเน็ตซึ่งลูกศิษย์โบ้ยว่ามีการตัดต่อภาพนั้น น.ส.มาลัย นาคทอง นักวิชาการคอมพิวเตอร์ สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กล่าวถึงผลการตรวจสอบภาพคล้ายหลวงปู่เณรคำนอนหนุนหมอนกับสีกาว่า สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ได้ตรวจสอบภาพชายขณะนอนหลับหนุนหมอนมีหน้าบุคคลเสี้ยวเดียวอยู่ใกล้ พบว่า 1. การวิเคราะห์ด้วยตาไม่พบเม็ดสีผิดปรกติ 2. ดูการสะท้อนของแสงในทางเดียวกัน และวิเคราะห์ข้อมูลจากภาพซึ่งจะบันทึกข้อมลของกล้อง รุ่น ยี่ห้อ วันเวลาที่ถ่ายภาพ แต่กรณีภาพดังกล่าวตรวจไม่พบข้อมูลข้างต้นเป็นไปได้ว่าอาจจะมีการบันทึกซ้ำๆ 4. วิเคราะห์เม็ดสีของภาพไม่พบอาจมีการเออเรอร์ ผลสรุปว่าภาพแล้วไม่พบการตัดต่อหรือแก้ไขแต่อย่างใด
สรุปก็คือ กรณีนี้ไอ้คำปาราชิกเห็นๆ
ขณะเดียวกันก็มีรายงานข่าวจากดีเอสไอเพิ่มเติมด้วยว่า จากการสอบปากคำพยานซึ่งเคยเป็นลูกศิษย์ใกล้ชิดได้ให้การกับชุดสอบสวนว่า เณรคำมีพฤติกรมที่ไม่เหมาะสมหลายอย่าง ทั้งการดื่มสุรา ดูหนังโป๊ ยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิงและเกี่ยวข้องกับยาเสพติด
อย่างไรก็ตาม นอกจากเรื่องการเสพเมถุนทั้งๆ ที่อยู่ในผ้าเหลืองแล้ว จากการตรวจสอบของดีเอสไอ พระอาจารย์ของลูกศิษย์ที่ยังหน้ามืดตามัวยังมีพฤติกรรมเกี่ยวกับการฉ้อโกงและยักยอกทรัพย์ที่ชาวบ้านบริจาคทำบุญทำทานเข้ากระเป๋าส่วนตัวอีกต่างหาก
พ.ต.ท.พงษ์อินทร์ให้ข้อมูลว่า จากการตรวจสอบบุคคลที่เกี่ยวข้องกับพระวิรพลทำให้พบบัญชีธนาคารต้องสงสัยมากถึง 41 บัญชีจากหลายธนาคาร แบ่งเป็นธนาคารกรุงศรีอยุธยา 4 บัญชี นาคารกสิกรไทย 2 บัญชี ธนาคารกรุงเทพ 8 บัญชี ธนาคารไทยพาณิชย์ 27 บัญชี รวมทั้งมีทรัพย์สิน อาทิ บ้าน 2 หลังคือบ้านเลขที่ 999/10 บ้านทรายมูล จังหวัดอุบลราชธานี และบ้านเลขที่ 103/1 อำเภอน้ำเกลี้ยง จังหวัดศรีสะเกษ
นอกจากนี้ ไอ้คำยังมีรถหรูอยู่ในความครอบครองถึง 22 คัน โดยเป็นชื่อของไอ้คำเองจำนวน 21 คัน ส่วนอีก 1 คันเป็นชื่อลูกศิษย์ ซึ่งเมื่อคิดสะระตะแล้วรถหรูของไอ้คำมีมูลค่ารวมทั้งสิ้นประมาณ 95 ล้าน 2 แสน 3 หมื่น 2 พันบาท และในเบื้องต้นดีเอสไอเชื่อว่ารถทั้งหมดน่าจะหลีกเลี่ยงภาษี
สุดท้ายเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2556 ที่ประชุม 5 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องซึ่งประกอบด้วย นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผอ.สำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) นายภิญโญ จอมผา นักสืบสวนสอบสวนสำนักงาน ปปง. นพ.วรวีร์ ไวยวุฒิ ผอ.สำนักตรวจพิสูจน์ทางชีววิทยา สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ พร้อมด้วยตัวแทนสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) และกองปราบปราม ได้เห็นพ้องต้องกันว่า พบไอ้คำเข้าข้ายการกระทำผิดกฎหมายทั้งหมด 8 ฐานความผิดด้วยกันคือ
ฐานความผิดที่ 1 การใช้สื่อสารสนเทศหรือเว็บไซต์ โฆษณาข้อความเป็นเท็จ อันก่อให้เกิดความเสียหายต่อสาธารณชนตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 ที่มีการอวดอ้างว่าไปเข้าเฝ้าพระอินทร์ และพระอินทร์มอบหมายให้สร้างพระแก้วมรกตองค์ใหญ่ด้วยทอง 9,000 กก. ซึ่งจากการวิเคราะห์ของฝ่ายวิเคราะห์ทางคดีเราพบว่าความผิดสำเร็จลงแล้ว และไม่ต้องไปหาหลักฐานพยานจากที่ไหนแล้ว เนื่องจากทั้งหมดได้ปรากฏบนเว็บไซต์แล้ว
ฐานความผิดที่ 2 กระทำชำเราเด็กหญิง รวมไปถึงการพรากผู้เยาว์ ซึ่งเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา 277 และ 317 วรรคสาม
ฐานความผิดที่ 3 น่าเชื่อว่าเข้าข่ายหลีกเลี่ยงภาษีศุลกากรกรณีรถหรู ซึ่งขณะนี้เรามีรถต้องสงสัยอยู่ 9 คัน อาทิ รถบีเอมดับเบิลยู รถมินิคูเปอร์ และนิสสันฟิเซโร่ และเป็นรถต้องสงสัยอยู่ 3 คันใน จ.ศรีสะเกษ ทั้งนี้มีการซื้อรถเบนซ์หรูจาก จ.อุบลราชธานีอีก 6 คัน และน่าจะมีการนำออกต่างประเทศซึ่งเข้าข่ายเป็นการหลีกเลี่ยงภาษีศุลกากร
ฐานความผิดที่ 4 กรณีเสพยาเสพติดให้โทษ
ฐานความผิดที่ 5 การแสดงและใช้หลักฐานวุฒิการศึกษาเป็นเท็จ ที่อ้างว่าจบปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยสันติภาพโลก
ฐานความผิดที่ 6 ฆ่าคนตายโดยประมาท กรณีขับรถชนคนตาย
ฐานความผิดที่ 7 ความผิดฐานฟอกเงิน กรณีเบียดบังเงินที่ได้จากการบริจาคไปซื้อทรัพย์สินต่างๆ ทั้งบ้าน รถยนต์ ที่ดิน เครื่องงบิน และการใช้ใจอย่างสุรุ่ยสุร่าย รวมถึงการที่อาจจะมีการนำเงินไปฝากที่ต่างประเทศ
และฐานความผิดที่ 8 ซึ่งไม่ใช่ความผิดทางโลกแต่เป็นความผิดทางธรรมตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ คือ การอวดอุตริ อภินิหารต่างๆ
กัปตันเจ็ตแฉหมดเปลือก
“เณรคำ” สุดหรู
และที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือ การส่งต่อข้อความจาเฟซบุ๊ก ซึ่งอ้างว่าเป็นข้อความของผู้ที่ใช้เฟซบุ๊กชื่อว่า “ปิยะ ตรีกาลนนท์” อดีตนักบินชื่อดัง ซึ่งปัจจุบันเป็นประธานกรรมการบริหารบริษัท บางกอกเอวิเอชั่น เซ็นเตอร์ จำกัดหรือบีอีซี โดยใช้หัวข้อว่า “ข้อเท็จจริงเณรคำ”
“เณรคำเฉียดเข้ามาในชีวิตผม เมื่อประมาณสามปีได้แล้วครับ ตอนนั้นมีรุ่นพี่ที่เคารพกันแนะนำให้ผมเข้าไปพบ เพราะเณรคำอยากใช้บริการเครื่องบินเช่าเหมาลำ ผมก็ทำหน้าที่จัดหาเครื่องบินเจ็ตแบบ 7 ที่นั่ง จากแหล่งต่าง ๆ ให้ท่านอยู่หลายเที่ยว ซึ่งปกติจะเป็นเส้นทางเดิม ๆ คือ กรุงเทพ อุบลฯ ไป-กลับ โดยปกติจะเรียกเก็บค่าใช้จ่ายก่อนเดินทาง ซึ่งก็ได้รับค่าบริการเป็นเงินสด ๆเสมอ (กรุงเทพฯ อุบลฯ ไป-กลับ ประมาณสามแสนบาท) แต่มาพักหลัง คนของเณรคำให้ผมนั่งเครื่องไปกับพระด้วย เพื่อสอบถามเรื่องการมีเครื่องบินเจ็ตไว้ใช้เองส่วนตัว ผมก็ให้คำแนะนำไปในเรื่องของราคา เช่น ถ้าเป็นลำใหม่ป้ายแดง เป็นแบบ 7 ที่นั่ง แบบนี้ก็ต้องมีประมาณ 5-700 ล้านบาท แต่ถ้าเป็นมือสอง ก็เริ่มต้นที่ร้อยกว่าล้าน เณรคำคุยกับผมหลายครั้ง ซึ่งถ้าไม่เป็นบนเครื่อง ก็จะเป็นที่โรงพยาบาลกรุงเทพ ซึ่งตอนหลังถึงเข้าใจได้ว่า ทำไมต้องโรงพยาบาลกรุงเทพ
“เพราะพระเวลามากรุงเทพ จะจำวัดตามโรงแรมไม่ได้ เณรคำเลยเปิดโรงพยาบาลนอน จะสะดวกกว่า ผมยืนยันว่าสะดวกกว่าวัดมากจริง ๆ ครับ เพราะเณรคำเล่นปิดทั้งชั้น ทุกครั้งที่ผมไปพบจริง ๆ ผมว่าคนที่โรงพยาบาลกรุงเทพ คงมีเรื่องเม้าท์ มากกว่าผมเยอะ เพราะการปิดชั้นวีไอพีคงไม่ธรรมดา สังเกตจากพยาบาลที่นั่น จะให้การเคารพเณรคำเป็นพิเศษจริง ๆ
“ส่วนเรื่องเวลาจะมา จะไป ของเณรคำ ที่ผมเห็นกับตาตัวเอง มักจะมีรถที่ล้อมหน้า ล้อมหลัง อยู่พอสมควร ที่แน่ ๆ คือเณรคำนั่ง Maybach ซึ่งราคาถ้าเสียภาษีถูกต้องก็ต้องมี 50 ล้านบาทแน่นอน (ผมก็สงสัยว่าทำไมไม่ใช้โรลสลอยซ์ ถูกกว่าอีก) และจะมีรถที่เณรคำบอกผมว่าเป็นรถสำรองอีกสองคันเสมอ คือ Benz S500 และ BMW X6 ทั้งสามคันเป็นป้ายแดงหมด (หลัง ๆ ผมสงสัยเอาเองว่า รถคงจดทะเบียนไม่ได้เพราะอาจจะเป็นประเภทสีเทา ๆ )”
ข้อความในเฟซบุ๊กยังระบุอีกว่า “เรื่องการพูดจาของเณรคำ จะเป็นอะไรที่เวลาพูดกับผม ผมประหลาดใจในเกือบทุกเรื่อง เช่นเณรคำบอกว่าเรื่องรถที่เห็นยังน้อย ปกติอยู่ที่วัดมีมินิสองคัน คันหนึ่งเปิดประทุนเอาไว้ขับเล่นในวัด และให้คนขับเอาเงินไปเข้าธนาคาร มีเรือยอชท์อีกต่างหาก และที่ประหลาดสุด ๆ คือของในย่ามเณรคำ เพราะผมเป็นคนถือขึ้นเครื่อง มันหนักมาก เคยถามเณรคำว่าทำไมหนักจังท่าน เณรคำรีบยกมาที่ตักและเปิดโชว์ผมทันที ผมเห็นกับตาตัวเองจึงเชื่อ เพราะในนั้นมีเงินสดที่เป็นเงินดอลลาร์ ปึกละร้อยใบอยู่เต็มย่าม และแต่ละใบเป็นธนบัตรใบละร้อยดอลลาร์อีกต่างหาก ยังไม่พอเณรคำบอกว่าที่หนักไม่ใช่เงิน เป็นทองคำแท่งที่ก้นย่ามมากกว่า อันนี้ผมเห็นไม่ชัด ไม่กล้าพูด เพราะทุกสิ่งที่ผมพูด ต้องเป็นข้อเท็จจริงเท่านั้น เผื่อเณรคำจะมาฟ้องผมทีหลัง หรือสรยุทธเอาไปออกอากาศ 555
“ยังไม่หมดครับ เณรคำคุยเรื่องซื้อเครื่องบินว่า เราอยากได้ใหม่ ๆ เรามีเช็คของแบงก์ในอเมริกา ว่าแล้วก็หยิบสมุดเช็คขึ้นมาอวดสองเล่ม เล่มแรกอธิบายให้ผมฟังว่าเล่มนี้เซ็นวงเงินน้อย ๆ คนอเมริกันใช้กันเยอะ แต่เล่มที่สองนี่สิ เณรคำภูมิใจนำเสนอมาก เพราะเล่มนี้เซ็นได้เป็นหลักสิบล้านดอลลาร์ได้เลย แถมพิมพ์ชื่อเณรคำที่เช็คทุกใบด้วย บอกว่าธนาคารในอเมริกาทำพิเศษให้ เพราะเรามีเงินฝากอยู่ที่นั่นเยอะมาก และแล้วเรื่องเครื่องบินก็ต้องมาสะดุดเพราะผมเอง เณรคำเลือกเครื่องอยู่หลายรุ่น และ เหมือนจะเลือกที่ถูกใจได้แล้ว แต่ให้ผมรับปากว่าต้องไปรับเครื่องจากอเมริกาด้วยกัน เพราะอยากจะท่องเที่ยวตอนขากลับด้วย เพราะเครื่องต้องแวะเติมน้ำมันประมาณ 4-5 จุดกว่าจะถึงไทย เณรคำบอกว่าดี วางแผนมาเลยว่าจะแวะที่ไหนดี แถมยังมีให้แวะนอกเส้นทางด้วยเพราะไม่เคยไป และอยากไป”
อย่างไรก็ตาม หลังจากให้ข้อมูลผ่านเฟซบุ๊กแล้ว กัปตันปิยะได้เดินทางเข้าพบ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ เพื่อให้ปากคำในวันที่ 9 กรกฎาคม 2556 โดยกล่าวก่อนให้ปากคำกับพนักงานสอบสวนดีว่า ที่ตนตัดสินใจโพสต์ข้อความดังกล่าว ไม่ได้มีเจตนาที่จะเป็นข่าว แต่ต้องการทำตัวเป็นพลเมืองดี ให้ข้อมูลกับทางเจ้าหน้าที่ และยืนยันว่า สิ่งที่ได้เขียนไปในเฟซบุ๊ก พยายามเขียนให้รัดกุมเป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น
ทั้งนี้ สำหรับกรณีที่ไอ้คำเข้าพักที่โรงพยาบาลกรุงเทพนั้น จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงของสื่อหลายสำนักได้รับคำตอบว่า ไอ้คำเข้ามาพักที่ชั้นวีไอพีของโรงพยาบาลกรุงเทพจริง แต่ไม่ได้เหมาทั้งชั้นเพราะโรงพยาบาลจำเป็นจะต้องกันห้องไว้ให้ผู้ป่วยรายอื่นด้วย โดยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ไอ้คำเดินทางเข้ามาพักที่โรงพยาบาลกรุงเทพ 4-5 ครั้งและจะเปิดห้องสำหรับคนไข้วีไอพี 3 ห้องเพื่อเข้าพัก เป็นห้องที่ไอ้คำพักเอง 1 ห้อง ส่วนอีก 2 ห้องจะให้ญาติโยมที่ติดตามมาเข้าพัก เสียค่าใช้จ่ายค่าห้องพักวันละกว่า 1 หมื่นบาท
ส่วนข้ออ้างที่แสบสันของไอ้คำในการหาเหตุเข้าพักที่โรงพยาบาลกรุงเทพก็คือ ลูกศิษย์จะแจ้งกับโรงพยาบาลว่าไอ้คำรู้สึกอ่อนเพลียและต้องการพักผ่อน ซึ่งการเดินทางเข้าพักนั้นไม่แน่นอน บางครั้งจะเข้าพักเพียงแค่ 5-6 ชั่วโมง บางครั้งก็เข้าพักแบบค้างคืน อย่างไรก็ตาม หลังจากกลางปี 2555 เป็นต้นมา ไอ้คำยังไม่ได้เดินทางเข้าพักที่โรงพยาบาลกรุงเทพเลย
พฤติกรรมความหรูของไอ้คำสอดคล้องกับภาพและข้อมูลที่เป็นผลจากการที่กองปราบปรามได้ลงพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานีเพื่อเข้าตรวจค้นบ้านพัก 3 หลังที่เกี่ยวข้องกับไอ้คำ ซึ่งพบว่า บ้านของนายรัตน์และนายสุดใจ สุขผล บิดาและมารดาของไอ้คำตกแต่งอย่างหรูหราด้วยเฟอร์นิเจอร์หลุยส์และโคมไฟแชนเดอเลียร์ แถมในบ้านที่อ้างว่าปลูกสร้างเพื่อใช้เป็นที่ทำการของมูลนิธิฯ ยังเจอตู้เซฟขนาดใหญ่ที่สร้างติดไว้กับผนังอาคาร ซึ่งเป็นเรื่องผิดปกติวิสัยสำหรับพระสงฆ์เป็นอย่างยิ่ง
ดังนั้น ถึงวันนี้คงไม่ต้องถามแล้วว่า ชาตินี้จะเป็นชาติสุดท้าย ไอ้คำจะกลับมาเกิดอีกหรือไม่ เพราะเมื่อเทียบกับพฤติกรรมของเหล่าพระฉาวในอดีต ไม่ว่าจะเป็นพระยันตระ สมีนิกร เณรแอ ฯลฯ เณรคำคือครองแชมป์ที่สุดแห่งพระที่เหลวแหลกในประเทศไทยไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว