ASTVผู้จัดการออนไลน์ - “เณรคำ” เจอหนัก ดีเอสไอทำเรื่องให้สำนักพุทธฯ ดำเนินการถอนพาสปอร์ต พร้อมประสานฝรั่งเศสกดดันให้ส่งตัวพระอื้อฉาวกลับไทย ขณะที่ขอ ปปง.อายัดทรัพย์สินทันที ชี้ 8 ฐานความผิด พร้อมอายัดรถหรูเณรคำ 9 คันตรวจสอบเข้าข่ายเลี่ยงภาษี
ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เมื่อเวลา 09.30 น.วันนี้ (9 ก.ค.) นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผอ.สำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) นายภิญโญ จอมผา นักสืบสวนสอบสวนสำนักงาน ปปง. นพ.วรวีร์ ไวยวุฒิ ผอ.สำนักตรวจพิสูจน์ทางชีววิทยา สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ พร้อมด้วยตัวแทนสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) และกองปราบปราม ร่วมประชุมเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลที่แต่ละหน่วยงานรวบรวมได้ และกำหนดแนวทางการปฏิบัติงารร่วมกัน กรณีการตรวจสอบพฤติกรรมและเส้นทางการเงินของหลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก หรือพระวิระพล สุขผล โดยใช้เวลาในการประชุมประมาณ 1 ชม.
อธิบดีดีเอสไอแถลงหลังการประชุมว่า หลังจากที่ พ.ต.ท.ญาณพล ยั่งยืน รองอธิบดีดีเอสไอ และ พ.ต.ท.พงษ์อินทร์ อินทรขาว ผู้บัญชาการสำนักคดีความมั่นคง ดีเอสไอ ได้เสนอให้ตนอนุมัติให้กรณีการกระทำผิดของหลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก หรือพระวิระพล สุขผล เป็นคดีพิเศษ ทั้งนี้อธิบดีดีเอสไอได้ใช้อำนาจตามกฎหมาย คือ พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษอนุมัติให้กรณีดังกล่าวเป็นคดีพิเศษแล้ว จากการประชุมทั้ง 5 หน่วยงานที่ได้มีการหารือถึงผลดำเนินการในช่วงที่ผ่านมา
โดยทั้ง 5 หน่วยงานได้เห็นพ่องกันว่าในขณะนี้เราพบการกระทำของหลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก ที่เข้าข่ายการกระทำความผิดตามกฎหมาย ทั้งหมด 8 ฐานความผิด โดยฐานความผิดที่ 1 ซึ่งเราใช้เป็นฐานความผิดหลักในการอนุมัติเป็นคดีพิเศษ คือ การใช้สื่อสารสนเทศหรือเว็บไซต์ โฆษณาข้อความเป็นเท็จ อันก่อให้เกิดความเสียหายต่อสาธารณชนตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 ที่มีการอวดอ้างว่าไปเข้าเฝ้าพระอินทร์ และพระอินทร์มอบหมายให้สร้างพระแก้วมรกตองค์ใหญ่ด้วยทอง 9,000 กก.และอะไรอีกต่างๆ นานา ซึ่งจากการวิเคราะห์ของฝ่ายวิเคราะห์ทางคดีเราพบว่าความผิดสำเร็จลงแล้ว และไม่ต้องไปหาหลักฐานพยานจากที่ไหนแล้ว เนื่องจากทั้งหมดได้ปรากฏบนเว็บไซต์แล้ว เราจึงอนุมัติกรณีดังกล่าวเป็นคดีพิเศษ
ส่วนความผิดที่ 2 ที่เข้าข่าย คือ กระทำชำเราเด็กหญิง รวมไปถึงการพรากผู้เยาว์ ซึ่งเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา 277 และ 317 วรรคสาม
ความผิดที่ 3 น่าเชื่อว่าเข้าข่ายหลีกเลี่ยงภาษีศุลกากรกรณีรถหรู ซึ่งขณะนี้เรามีรถต้องสงสัยอยู่ 9 คัน อาทิ รถบีเอมดับเบิลยู รถมินิคูเปอร์ และนิสสันฟิเซโร่ และเป็นรถต้องสงสัยอยู่ 3 คันใน จ.ศรีสะเกษ ทั้งนี้มีการซื้อรถเบนซ์หรูจาก จ.อุบลราชธานีอีก 6 คัน และน่าจะมีการนำออกต่างประเทศซึ่งเข้าข่ายเป็นการหลีกเลี่ยงภาษีศุลกากร
ความผิดที่ 4คือ กรณีเสพยาเสพติดให้โทษ
ความผิดที่ 5 คือ การแสดงและใช้หลักฐานวุฒิการศึกษาเป็นเท็จ ที่อ้างว่าจบปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยสันติภาพโลก
ความผิดที่ 6 คือ ฆ่าคนตายโดยประมาท กรณีขับรถชนคนตาย
ความผิดที่ 7 คือ ความผิดฐานฟอกเงิน กรณีเบียดบังเงินที่ได้จากการบริจาคไปซื้อทรัพย์สินต่างๆ ทั้งบ้าน รถยนต์ ที่ดิน เครื่องงบิน และการใช้ใจอย่างสุรุ่ยสุร่าย รวมถึงการที่อาจจะมีการนำเงินไปฝากที่ต่างประเทศ
และความผิดที่ 8 ซึ่งไม่ใช่ความผิดทางโลกแต่เป็นความผิดทางธรรมตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ คือ การอวดอุตริ อภินิหารต่างๆ
อย่างไรก็ตาม ทั้ง 8 ฐานความผิดนั้น ดีเอสไอจะรับผิดชอบดำเนินคดีทั้งหมด รวมไปถึงกรณียาเสพติดด้วย ซึ่งเมื่อเช้านี้ ตนได้โทรศัพท์หารือกับ พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ซึ่งทาง พล.ต.อ.พงศพัศบอกว่า เรื่องยาเสพติดทาง ป.ป.ส.จะช่วยตรวจสอบและจะส่งข้อมูลทั้งหมดเพื่อให้ดีเอสไอดำเนินคดี ทั้งนี้จะมีการประสานงานไปที่กองปราบว่าทางกองปราบได้มีการดำเนินคดีทั้ง 8 ฐานความผิดไว้บ้างหรือไม่ ถ้ามีการดำเนินคดีไว้ เราก็จะประสานขอให้ส่งผลการสอบสวนมารวมที่ดีเอสไอทั้งหมด
นายธาริตกล่าวต่อว่า จากการดำเนินคดีที่พบความผิดที่แน่นอนแล้ว คือ ความผิดแรกเรื่องการใช้เครื่องมือสารสนเทศหรือเว็บไซต์โฆษณาข้อความอันเป็นเท็จ และทางดีเอสไอได้หารือกับสำนักพระพุทธศาสนาแล้ว ซึ่งบ่ายวันนี้จะมีหนังสือจากอธิบดีดีเอสไอถึง ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และในฐานะเลขาธิการมหาเถรสมาคม แจ้งถึงผลการดำเนินคดีที่พบการกระทำความผิดแล้วเพื่อร้องขอให้ทาง พศ. และมหาเถรสมาคม ดำเนินการให้หลวงปู่เณรคำพ้นจากการเป็นสงฆ์ ซึ่งจะมีผลภายในวันพรุ่งนี้ และทางดีเอสไอจะขอให้ทาง พศ.ดำเนินการถอนพาสปอร์ต หรือหนังสือเดินทางจากกระทรวงการต่างประเทศทันที และเมื่อมีการถอนพาสปอร์ตแล้วเราก็จะประสานกับทางฝรั่งเศสเพื่อให้ถือว่าหลวงปู่เณรคำเป็นบุคคลที่อยู่โดยไม่มีหนังสือเดินทาง ซึ่งทางประเทศฝรั่งเศสก็จะมีการผลักดันกลับประเทศไทย ทำนองเดียวกันกับต่างประเทศที่ดำเนินการกับเรา โดยวิธีนี้ไม่ใช่วิธีการส่งผู้ร้ายข้ามแดนแต่เป็นวิธีการผลักดันเพราะได้มีการเพิกถอนหนังสือเดินทาง
อธิบดีดีเอสไอกล่าวต่อว่า ภายในวันพรุ่งนี้ (10 ก.ค.) ดีเอสไอจะดำเนินการไปตรวจดีเอนเอ โดยสถาบันนิติวิทยาศาสตร์เป็นหลัก และทาง พศ.ก็จะส่งเจ้าหน้าที่ร่วมด้วย ซึ่งดีเอ็นเอที่จะตรวจนั้นมี 2 กลุ่ม กลุ่มแรกคือเด็กชายอายุ 11 ปี ซึ่งทางดีเอสไอได้ประสานไปยังแม่ซึ่งกล่าวอ้างว่าได้ตั้งครรภ์กับหลวงปู่เณรคำ และยินยอมให้เราตรวจบุตรชายเพื่อพิสูจน์ความเป็นพ่อ แต่เนื่องจากตัวหลวงปู่เณรคำอยู่ต่างประเทศนั้น ทางสถาบันนิติวิทย์ระบุว่าสามารถตรวจดีเอ็นเอจากพ่อแม่ของหลวงปู่เณรคำได้ และจะได้ผล 99 เปอร์เซ็นต์ภายในวันเดียว ทั้งนี้ ตนอยากเรียกร้องผ่านสื่อถึงพ่อแม่ของหลวงปู่เณรคำยินยอมให้เราตรวจโดยสมัครใจ
ทั้งนี้ จากการหารือกับ ผอ.พศ.แล้วนั้น เราจะไม่ปล่อยเรื่องนี้เป็นเหมือนไฟไหม้ฟาง แล้วจะทำเฉพาะเรื่องหลวงปู่เณรคำ แต่จะถือโอกาสดำเนินการจัดสัมมนาหรือจัดเวิร์กชอป เพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการทำนองนี้เกิดกับประเทศไทยอีก เพราะจะนำมาซึ่งความเสื่อมเสียต่อพระพุทธศาสนา ร่วมไปถึงประเด็นปัญหาอุปสรรคต่างๆ ที่ทางดีเอสไอและพศ.ได้รับ ก็จะถือโอกาสจัดสัมมนาระดับชาติ โดยจะกราบเรียนพระมหาเถรชั้นผู้ใหญ่ต่างๆ มาให้ความเห็น ซึ่งจะนำไปสู่การแก่กฎหมายหรือระเบียบข้อบังคับต่างๆ เพื่อไม่ให้เหตุการซ้ำรอย เพราะฉะนั้นโมเดลหลวงปู่เณรคำนั้นก็จะถูกขยายผลต่อไป
นายธาริตกล่าวต่อว่า วันนี้เราจะส่งหนังสือแจ้งไปยังเลขาฯ ปปง.เพื่อขออายัดทรัพย์สินของหลวงปู่เณรคำทันที ทั้งบัญชีธนาคาร ทรัพย์สินที่ดิน รถยนต์ และทรัพย์สินอื่นๆ ซึ่งทางดีเอสไอจะแจ้งไปทาง ปปง.ด้วยว่าดีเอสไอได้รับเป็นคดีพิเศษแล้วและพบกระกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และการฉ้อโกงทั้งฉ้อโกงธรรมดาและฉ้อโกงประชาชน จึงขอให้ทาง ปปง.ใช้อำนาจทางแพ่งในการอายัดทรัพย์สินทั้งหมดของหลวงปู่เณรคำ ส่วนการดำเนินคดีอาญานั้นทางดีเอสไอจะดำเนินคดีฐานฟอกเงิน
นายนพรัตน์กล่าวว่า เมื่อทางดีเอสไอส่งข้อมูลชี้ความผิดมาแล้ว ทาง พศ.ก็จะดำเนินการประสานงานกับฝ่ายปกครองของสงฆ์เพื่อดำเนินการต่อ ส่วนเรื่องการถอนพาสปอร์ตนั้น เมื่อเราพบว่าพระภิกษุรูปใดกระทำความผิด เนื่องจากการขออนุญาตออกหนังสือเดินทางหรือการเดินทางไปต่างประเทศจะต้องขออนุญาตผ่านศูนย์ควบคุมพระภิกษุ สามเณรไปต่างประเทศ ซึ่งจัดตั้งโดยมหาเถรสมาคม เพราะฉะนั้น ทาง พศ.ก็จะนำข้อมูลที่ได้จากการประชุมนำรายงานต่อศูนย์ควบคุมพระภิกษุ สามเณรไปต่างประเทศ เพื่อขออนุญาตในการเพิกถอน โดยตนจะเป็นคนเซ็นหนังสือไปขออนุญาตและจะดำเนินการแจ้งไปยังกระทรวงการต่างประเทศเพื่อขอเพิกถอนพาสปอร์ตตามที่เคยมีพระภิกษุสงฆ์หลายรูปที่กระทำความผิดเราก็ได้ดำเนินการเพิกถอนพาสปอร์ตแล้วเช่นกัน
เมื่อถามว่าพาสปอร์ตของหลวงปู่เณรคำมีกี่เล่ม ผอ.พศ.กล่าวว่า พระภิกษุทั่วไปที่ได้รับอนุญาตให้เดินทางไปต่างประเทศนั้น ทางศูนย์ควบคุมจะเป็นผู้กำหนด ซึ่งปกติก็จะเป็นหนังสือเดินทางปกติธรรมดาเหมือนบุคคลทั่วไป แต่ถ้าเป็นพระภิกษุที่ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติศาสนกิจจะเป็นทำนองข้าราชการ เช่น พระธรรมทูต ที่จะอนุญาตให้ใช้หนังสือเดินทางทางราชการ
นพ.วรวีร์กล่าวว่า ในกรณีการตรวจพิสูจน์กรณีของความสัมพันธ์บิดา มารดา และบุตรนั้นซึ่งผู้ที่เราสงสัยว่าเป็นบิดาไม่อยู่เราสามารถตรวจญาติลำดับรองลงไปคือปู่หรือย่า ซึ่งวิธีนี้เชื่อมั่นได้ถึง 99.99 เปอร์เซ็นต์ แม้ว่าจะใช่หรือไม่ก็ตาม โดยวิธีการตรวจจะใช้เนื้อเยื่อที่กระพุ้งแก้มในการตรวจซึ่งจะไม่เป็นอันตรายต่อผู้ถูกเก็บข้อมูลในการตรวจและจะใช้เวลาในการตรวจภายใน 24 ชม.ก็สามารถระบุความสัมพันธ์ได้