ชาติ บ้านเมืองเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ บุญบารมีที่สั่งสมตกทอดกันมาจากบรรพชนนับหลายร้อยปี ย่อมมีพลานุภาพที่จะปกป้องคุ้มครองประเทศชาติบ้านเมือง ให้พ้นจากสิ่งชั่วร้ายที่มากล้ำกราย ไม่ว่าจะมาในรูปแบบลัทธิใดๆ ผมเชื่อของผมเช่นนี้จริงๆ และเชื่อในเรื่องเวรเรื่องกรรม ที่จะเป็นไปตามพุทธวจน ที่ว่า “กมฺมุนา วตฺติ โลโก” คือสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม กรรมที่หมายถึงการกระทำทั้งชั่วและดีนั่นแหละ
ผมขึ้นต้นบทความวันนี้ประหนึ่งจะเทศนาธรรม เพราะพักนี้เริ่มเห็นสัจธรรมที่เกิดขึ้นและเป็นไปในบ้านนี้เมืองนี้อย่างกระจะกระจ่างยิ่งขึ้นเรื่อยๆ และยิ่งเชื่อมั่นว่าอธรรมไม่มีทางชนะธรรมได้อย่างแน่นอน
ครั้งก่อนผมปรารภว่า ขบวนการหน้ากากขาว หรือหน้ากาก วี ช่างมาได้อย่างพอเหมาะพอเจาะกับภาวะการอ่อนระโหยโรยแรงของการเมืองภาคประชาชนที่ถูกแบ่งแยกแตกพลัดกระจัดกระจายเป็นเสี่ยงๆ หน้ากากกลายเป็นสัญลักษณ์เอกภาพ ที่ทุกสีทุกฝ่ายที่รักบ้านรักเมือง มารวมตัวกันได้อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งประจวบเหมาะกับขาลงของระบอบทักษิณที่กำลังกระเหี้ยนกระหือรือเร่งระดมจะกลืนกินบ้านเมืองแบบลัดขั้นตอน เพราะรู้ตัวว่าเวลาเริ่มหดสั้นเหลือน้อยลงทุกทีแล้ว
การใช้อำนาจรัฐทุจริตคิดมิชอบต่อบ้านเมืองของระบอบทักษิณ เริ่มถูกจับได้ไล่ทันและถูกเปิดโปงแฉโพยเป็นลำดับ ไม่ว่าจะเป็นโครงการจำนำข้าวที่สูญเสียเงินแผ่นดินไปนับหลายแสนล้าน โดยชาวนาได้ประโยชน์เพียงหยิบมือเดียว แต่เม็ดเงินส่วนใหญ่ถูกฉ้อฉลไปเป็นประโยชน์ของนายทุนและฝ่ายการเมือง และยังส่งผลให้ระบบการผลิตการค้าข้าวของประเทศไทยเสียหายยับเยินอย่างไม่ควรจะเป็น และไม่ว่าจะโครงการเงินกู้ 3.5 แสนล้านเพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัย ที่เอ็นจีโอประเทศเกาหลีออกมาแฉข้อมูลบริษัท เค วอเตอร์ ที่รัฐบาลจะเลือกเป็นคู่สัญญาแบบไม่โปร่งใส โดยมีหลักฐานภาพถ่ายระบุว่าทักษิณไปพบเจรจาล่วงหน้ากับบริษัท เค วอเตอร์ ก่อนการประมูล ซึ่งทำให้เป็นที่เคลือบแคลงว่าจะมีการทุจริตโดยจ้างบริษัทที่ไม่มีสถานะความ น่าเชื่อถือแม้แต่ในประเทศเกาหลีเอง แถมต่อมาศาลปกครองยังได้วินิจฉัยสั่งให้ไปจัดทำประชาพิจารณ์และศึกษาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมก่อนเซ็นสัญญา แต่กระทรวงการคลังก็ยังดันทุรังให้รองปลัดกระทรวงที่เพิ่งตั้งมารับจ๊อบนี้ โดยเฉพาะ เซ็นกู้เงิน 3.5 แสนล้านอย่างลุกลี้ลุกลน
ยังไม่นับเรื่องเงินกู้อีก 2.2 ล้านล้านบาท ที่ใช้เสียงข้างมากในสภาลากถูโดยไม่รับฟังคำท้วงติงของฝ่ายค้านและวุฒิสมาชิกบางส่วน ซึ่งสาธารณชนก็ไม่เชื่อใจว่า อภิมหาเมกะโปรเจกต์ทางคมนาคม ที่คนไทยต้องแบกรับภาระหนี้สินไปอีก 50 ปีข้างหน้านี้ จะมีการทุจริตอย่างมโหฬารพันลึกปานใด
และล่าสุดคือการปรับ ครม.เป็นครั้งที่ 5 ของรัฐบาลหุ่นเชิดนี้ ซึ่งก็ยิ่งตอกย้ำให้เห็นการตั้งรัฐมนตรีแบบต่างตอบแทน และตั้งคนเพื่อสนองผลประโยชน์ของทักษิณมากกว่าประโยชน์ของบ้านเมือง แถมยังตั้งแบบตามใจชอบไม่คำนึงถึงความรู้ความสามารถ จนผู้คนต่างร้องยี้กันทั้งเมือง
เรื่องต่างๆ เหล่านั้นล้วนกำลังมะรุมมะตุ้มต้อนรัฐบาลหุ่นเชิดของระบอบทักษิณให้ถอยร่นเข้าสู่มุมอับเข้าไปทุกขณะ
แล้วพลันระเบิดลูกใหญ่ก็ระเบิดตูมเข้าใส่ทักษิณ ชินวัตรแบบไม่ทันตั้งตัว ซึ่งจะเป็นเพราะความประมาทเลินเล่อ หรือเวรกรรมตามทันก็ตามทีเถิด คลิปเสียงการสนทนา ณ มุมหนึ่งของสนามบินในต่างประเทศ ซึ่งคนส่วนใหญ่ปักใจเชื่อว่าเป็นเสียงสนทนาระหว่างเสียงที่คล้ายทักษิณ กับเสียงที่คล้ายพลเอกยุทธศักดิ์ ซึ่งเนื้อหาได้เปิดเผยแผนการชั่วร้ายและตัวตนของทักษิณ ชินวัตร อย่างล่อนจ้อนหมดเปลือก แทบไม่เหลือหนทางถอยที่จะเฉไฉกะล่อนปลิ้นปล้อนอีกต่อไป ความจริงแท้ที่ปรากฏตามคลิปเสียงนี้ก็คือประเทศไทยถูกควบคุมบงการโดยนักโทษหนีคดีอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีที่เป็นอยู่ เป็นเพียงหุ่นเชิดที่ชักใยโดยอำนาจของทักษิณเพียงคนเดียว อย่างยากจะแถไถปฏิเสธบิดเบือนอีกต่อไปแล้ว
ความคิดมิดีมิร้ายจากคลิปสนทนาดังกล่าว ที่เปิดเผยสู่สาธารณะได้ส่งผลสะเทือนไปในหลายวงการเป็นวงกว้าง ไม่ว่าจะสถาบันองคมนตรี ที่ถูกระบุถึงประธานองคมนตรีและองคมนตรีหลายคน รวมทั้งการพาดพิงไปถึงสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์อย่างไม่เหมาะสม และไม่ว่าจะการวางแผนเอาตัวรอดกลับประเทศแบบไร้ความผิดโดยอาศัยสภากลาโหมและสภาความมั่นคงแห่งชาติที่ทำให้ฝ่ายเสื้อแดงได้รับรู้ว่าทักษิณมุ่งทำอะไร เพื่อตัวเขาเองเท่านั้น ไม่ได้แยแสคนเสื้อแดงอยู่ในสายตาเลย และที่หนักหนาสาหัสที่สุดก็คือวงการทหาร นับตั้งแต่กองบัญชาการทหารสูงสุดจนถึงกองทัพทั้งสามเหล่า ที่เหมือนถูกย่ำยีจนไม่เหลือศักดิ์ศรีให้เชิดหน้าชูตาในสังคมได้อีกแล้ว เพราะถูกตีตราแค่เบี้ยแต่ละตัวในเกมหมากรุกทางการเมืองที่ทักษิณจะเดินเกมตามใจชอบเท่านั้นเอง
ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีการพาดพิงไปถึงบุคคลสำคัญทางการทหารและการเมืองของประเทศพม่าอย่างไม่ให้เกียรติ โดยคำนึงถึงแต่ผลประโยชน์ที่จะเข้าไปกอบโกยในโครงการทวาย ซึ่งส่งผลให้ทางประเทศพม่าไม่พอใจอย่างมาก และย่อมส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอย่างแน่นอน
นับถึงบัดนี้ สถานการณ์บ้านเมืองสุกงอมจนเกินกว่าจะสุกงอมแล้ว คนไทยและชายชาติทหารหาญทุกเหล่าทัพ ยังจะอดทนกล้ำกลืนอีกต่อไปไหวหรือ?
อะไรจะเกิดก็คงต้องเกิด กาลเวลาได้พิสูจน์พฤติกรรมของระบอบทักษิณอย่างเปลือยล่อนจ้อนทั้งเบื้องลึกเบื้องหลังแล้วว่า เป็นเผด็จการร้อยเปอร์เซ็นต์ที่ใช้อำนาจทำทุกอย่างเพื่อประโยชน์ส่วนตัวและพรรคพวกบริวาร โดยไม่เคยหวังดีต่อระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเลย คนเสื้อแดงและบรรดาข้าราชการพลเรือน ทหาร ตำรวจ ล้วนเป็นแค่ข้าทาสต่างตอบแทนที่ทักษิณพร้อมจะหยิบมาใช้หรือเขี่ยทิ้งเมื่อใดก็ได้ เพียงเพื่อสมประโยชน์ที่ตนต้องการเท่านั้นเอง
ไม่ต้องปฏิวัติรัฐประหารให้ฝ่ายทักษิณอ้างเหตุมาต่อต้านหรอกครับ เพียงแค่คนไทยหยิบหน้ากาก วี มาสวมใส่แล้วออกมายืนบนถนนหน้าบ้านใครหน้าบ้านมันให้เต็มบ้านเต็มเมืองทั่วประเทศโดยไม่ต้องเปลืองแรงเดินขบวนให้เสียเวลา และเสียแก๊สน้ำตาจากตำรวจ
หลังจากนั้นเพียงแต่ฝ่ายทหารทุกเหล่าทัพเลือกยืนข้างประชาชนเท่านั้นเองครับ
ประเทศนี้ก็จะกลายเป็นรัฐล้มเหลวที่รัฐบาลปกครองประเทศไม่ได้อีกต่อไป และนี่คือสุญญากาศทางการเมืองที่ดร.ปราโมทย์ นาครทรรพ ได้เคยเสนอแนวคิดในช่วงรณรงค์ “โหวตโน” ไม่เอานักการเมืองและระบบการเมืองที่ล้มเหลวไว้ว่า “เราต้องร่วมกันสร้างให้เกิดสุญญากาศทางการเมือง เพื่อคืนพระราชอำนาจให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อเข้ามาดำเนินการตามระบอบประชาธิปไตยอย่างที่ควรจะเป็น ตามหลักการและแนวทางราชประชาสมาสัย”
ผมเชื่อว่า ถ้าสถานการณ์สุกงอมที่ยิ่งกว่าสุกงอมแล้วของประเทศนี้ ในขณะนี้ จี้ใจและเป็นใจให้คนไทยสวมหน้ากากมายืนรวมกันบนท้องถนนทั่วประเทศได้เมื่อใด
กองทัพหน้ากาก วี โดยประชาชนเพื่อประชาชนจะปฏิวัติจัดระบบการเมืองประเทศไทยใหม่ ให้เป็นระบอบการเมืองการปกครองที่เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขของปวงชนชาวไทยอย่างแท้จริงได้แน่นอนครับ