วานนี้(8 ก.ค.56)นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการกลั่นกรองให้ความเห็นคดีเกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำ 3.5 เเสนล้านบาท เปิดเผยว่า ได้มีการประชุมคณะกรรมการฯ พิจารณาคำพิพากษาของศาลปกครองกลาง และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาเสนอความคิดเห็น ซึ่งมีความเห็นแตกต่างจากศาลปกครอง ที่วางแนวทางไว้ ก็จะให้ส่งความเห็นไปยังอัยการสูงสุด เพราะเป็นผู้ทำคดีให้ ซึ่งอัยการ ก็จะประมวลความเห็น เพื่อเสนอกลับไปยังปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ว่า อัยการเห็นว่าควรจะอุทธรณ์หรือไม่ นอกจากนี้ ในโครงการบางส่วนที่จะเข้าไปทำ จะต้องมีการทำการศึกษาและวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ซึ่งขณะนี้ การทำสัญญาอยู่ระหว่างการยกร่างสัญญา โดยจะใช้เวลาประมาณ 3 เดือน และตรงนี้ สามารถเขียนในสัญญาได้ว่า จะให้หน่วยงานของรัฐเป็นผู้ศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม ซึ่งสามารถปรับแก้ในตัวของสัญญาได้
นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่า โครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้าน ที่ศาลปกครองมีคำสั่งออกมาก็ไม่สามารถทัดทานการทุจริตคอรัปชั่นของโครงการนี้ได้ เพราะรัฐบาลเดินหน้ากู้เงิน ซึ่งเจตนาไม่ต้องการ เขื่อน อ่างเก็บน้ำ หรือทางน้ำไหล แต่ต้องการกู้เงินมาเพื่อหาส่วนต่างคอมมิชชั่นให้ได้ และการออกมาชี้แจงว่าที่ต้องทำแบบ ดีไซน์ แอนด์ บิวด์ คือออกแบบไป สร้างไป เอาอะไรมาคิดว่า ออกแบบไปสร้างไปด้วย ประชาชนเขาจะพอใจ หรือ ยินยอม ทั้งยังบอกว่าจะสร้างเขื่อนได้เสร็จภายใน 5 ปี
ทั้ง ๆ ที่เขื่อนหนึ่งจะใช้เวลาสร้าง 10 ถึง 12 ปี ซึ่งตนอยากจะบอกว่า ต่อให้สร้างไป ศึกษาผลกระทบไป 10-12 ปีก็ยังสร้างไม่เสร็จ อีกทั้งในเรื่องของการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม ที่ระบุว่า จะสามารถดำเนินการได้ในช่วงของการออกแบบและก่อสร้าง ซึ่งเป็นไปไม่ได้ และไม่มีประเทศไหน ที่ใช้วิธีการสร้างแบบนี้ กับโครงการที่มีขนาดใหญ่และมีผลกระทบกับประเทศมากมายมหาศาล จึงขอแนะนำให้รัฐบาลตามขั้นตอนที่บัญญัติไว้ในกฎหมาย
นายวรวิทย์ ชัยลิปมนตรี ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารออมสิน จะไม่ได้รับผลกระทบใดๆ หากโครงการบริหารจัดการน้ำต้องล่าช้าลง เนื่องจากศาลปกครองกลาง มีคำสั่งรับฟังความคิดเห็นประชาชนและผู้มีส่วนได้เสีย และต้องมีการจัดทำรายงานผลกระทบด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อม เพราะธนาคารออมสิน ไม่ได้เป็นผู้ปล่อยกู้ให้กับภาคเอกชนโดยตรง แต่เป็นการปล่อยกู้ผ่านกระทรวงการคลัง ซึ่งหากยังไม่มีความคืบหน้าในการก่อสร้างโครงการ ธนาคารออมสิน จะไม่ได้ใช้วงเงินดังกล่าว จึงไม่ส่งผลต่อภาระหนี้จากอัตราดอกเบี้ยแต่อย่างใด
ทั้งนี้ โครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาทนั้น ธนาคารออมสิน รับผิดชอบการปล่อยกู้วงเงิน 1.2 แสนล้านบาท ส่วนที่เหลือเป็นของธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงเทพ และธนาคารกสิกรไทย
อีกด้านกรณีร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยถึงกรณีที่นายคณิต ณ นคร ประธาน คปก. ระบุว่าร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาทขัดรัฐธรรมนูญว่า การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อวางรากฐานของประเทศ ในหลักการไม่มีใครคัดค้าน แต่พรรคมองว่ารัฐบาลกำลังดำเนินการกู้เงิน 2 ล้านล้านบาทไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่โปร่งใส และไม่ชอบมาพากล คือ
1.ร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาทให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน โดยนำเงินไปใช้จ่ายได้โดยไม่ต้องกู้เงินต่อ และไม่ต้องนำเงินส่งเข้าคลังตามกฎหมาย ถือเป็นการขัดต่อหลักการที่เกี่ยวข้องกับการเงินการคลัง และวินัยงบประมาณตามรัฐธรรมนูญ หมวด 8 ที่บัญญัติเรื่องการเงิน การคลัง และงบประมาณ ในมาตรา 166 และมาตรา 170
2. ครม.เสนอร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินต่อ โดยไม่เป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ มาตรา 169
นายองอาจ กล่าวว่า การดำเนินการของรัฐบาลในการกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ไม่เหมือนที่พรรคประชาธิปัตย์เคยออก พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน เพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 (โครงการไทยเข้มแข็ง) ซึ่งขณะนั้นพรรคสามารถดำเนินการได้ เพราะศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยที่ 11/2552 เมื่อวันที่ 3 มิ.ย.52 ระบุในตอนท้ายว่า การตรา พ.ร.ก.ดังกล่าว ตราขึ้นเพื่อประโยชน์และเพื่อรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 184 วรรค 1 และเป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นเร่งด่วน อันมิอาจหลีกเลี่ยงได้ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 184 วรรค 2
ดังนั้น พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาทจึงเป็นคนละประเด็นกับ พ.ร.ก.ดังกล่าว เพราะฉะนั้นรัฐบาลไม่สามารถยกเรื่องนี้มาเทียบเคียงกันได้ว่า ทำไมสมัยพรรคประชาธิปัตย์ทำได้สมัยรัฐบาลพรรคเพื่อไทยทำไม่ได้
“ผมคิดว่าจะทำได้หรือไม่ได้นั้น เมื่อการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาทเสร็จสิ้นก่อนที่จะนำขึ้นทูลเกล้าฯลงพระปรมาภิไธย ส.ส.ฝ่ายค้านมีสิทธิที่จะยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยได้อีกครั้งว่า เป็นไปตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญหรือไม่ หรือขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ ผมจึงขอฝากไปยังรัฐบาลว่าอย่าเบี่ยงเบนประเด็นเพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องของข้อกฎหมาย”
นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ ระบุ พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้าน ไม่ชอบด้วยกฎหมายตามรัฐธรรมนูญ และก็อาจขัดตาม ม. 169 พร้อมระบุร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้าน กับ พ.ร.ก.ไทยเข้มแข็ง เป็นคนละประเด็นยกมาเทียบเคียงกันไม่ได้ ว่า ไม่เหนือความคาดหมาย ที่พรรคประชาธิปัตย์ จะออกมากินตามน้ำในเรื่องนี้ ซึ่งน่าสงสัยว่า พรรคประชาธิปัตย์ รู้ได้อย่างไรว่าพ.ร.บ.นี้จะขัดรัฐธรรมนูญ มีใครกระซิบมาหรือไม่ เพราะเลขากฤษฎีกา ก็ออกมายืนยันแล้วว่า ทำกันมาได้หลายสิบปีแล้ว ประชาธิปัตย์ก็ทำ
ขอย้ำว่าเงินกู้ 2 ล้านล้าน ไม่ใช่เงินแผ่นดิน ตามมาตรา 169 ของรัฐธรรมนูญ เพราะความหมายของเงินแผ่นดินตามมาตรา 169 นั้น คือ เงินที่เก็บเข้าคลังแล้วนำไปใช้ แต่การกู้เงิน คือ กู้เงินเพื่อการลงทุน ดังนั้น การกู้เงินมาจึงไม่อยู่ในความหมาย มาตรา 169 และต้องถือว่า พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาทนั้น เหนือชั้นกว่า ดีกว่า พ.ร.ก. ไทยเข้มแข็ง เพราะ พ.ร.บ.สามารถตรวจสอบได้เต็มที่ โดยฝ่ายนิติบัญญัติ ผ่าน 2 สภา 6 วาระ เจตนาสุจริต พรรคประชาธิปัตย์ รู้ได้อย่างไรว่าจะทุจริต โครงการยังไม่เกิด ยังไม่มีการจัดซื้อจัดจ้าง โครงการนี้ถือเป็นงานสำคัญของการพัฒนาชาติ ฝ่ายค้านอยากเสนอแนะ อยากให้มีการป้องกันอย่างไรก็ไปว่ากันในสภา โครงการนี้จะปฏิรูปโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งครั้งใหญ่ของประเทศ ถ้าใช้งบประมาณปกติ งบก็ไม่เพียงพอ และการทำงานจะไม่ต่อเนื่อง
“อายุโครงการตั้ง 7 ปี พรรคประชาธิปัตย์ไม่คิดจะมาเป็นรัฐบาลบ้างหรือ ทำไมถึงขวางการพัฒนาประเทศแบบสุดลิ่มทิ่มประตู หรือเพราะพรรคประชาธิปัตย์มีแต่พวกหัวหมอ จึงจ้องหาเทคนิคข้อกฎหมาย มาขัดขวางการทำงานของคนอื่น เคยถามประชาชนบ้างหรือไม่ว่า เขาจำอะไรในโครงการไทยเข้มแข็งพรรคประชาธิปัตย์ได้บ้าง นอกจากเช็คช่วยชาติ ร้องเพลงชาติเสียเงิน ซื้อเสาธงยักษ์ สร้างโรงพักได้แต่ตอ ทุจริตครุภัณฑ์อาชีวะ ตู้หยอดน้ำพลังแสงอาทิตย์ ที่คิดใหม่ขึ้นมาบ้างก็เห็นแค่ เป่าแซ็กซ์แทนตะโกนในโรงหนังเท่านั้นเอง” นายอนุสรณ์กล่าว
นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่า โครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้าน ที่ศาลปกครองมีคำสั่งออกมาก็ไม่สามารถทัดทานการทุจริตคอรัปชั่นของโครงการนี้ได้ เพราะรัฐบาลเดินหน้ากู้เงิน ซึ่งเจตนาไม่ต้องการ เขื่อน อ่างเก็บน้ำ หรือทางน้ำไหล แต่ต้องการกู้เงินมาเพื่อหาส่วนต่างคอมมิชชั่นให้ได้ และการออกมาชี้แจงว่าที่ต้องทำแบบ ดีไซน์ แอนด์ บิวด์ คือออกแบบไป สร้างไป เอาอะไรมาคิดว่า ออกแบบไปสร้างไปด้วย ประชาชนเขาจะพอใจ หรือ ยินยอม ทั้งยังบอกว่าจะสร้างเขื่อนได้เสร็จภายใน 5 ปี
ทั้ง ๆ ที่เขื่อนหนึ่งจะใช้เวลาสร้าง 10 ถึง 12 ปี ซึ่งตนอยากจะบอกว่า ต่อให้สร้างไป ศึกษาผลกระทบไป 10-12 ปีก็ยังสร้างไม่เสร็จ อีกทั้งในเรื่องของการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม ที่ระบุว่า จะสามารถดำเนินการได้ในช่วงของการออกแบบและก่อสร้าง ซึ่งเป็นไปไม่ได้ และไม่มีประเทศไหน ที่ใช้วิธีการสร้างแบบนี้ กับโครงการที่มีขนาดใหญ่และมีผลกระทบกับประเทศมากมายมหาศาล จึงขอแนะนำให้รัฐบาลตามขั้นตอนที่บัญญัติไว้ในกฎหมาย
นายวรวิทย์ ชัยลิปมนตรี ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารออมสิน จะไม่ได้รับผลกระทบใดๆ หากโครงการบริหารจัดการน้ำต้องล่าช้าลง เนื่องจากศาลปกครองกลาง มีคำสั่งรับฟังความคิดเห็นประชาชนและผู้มีส่วนได้เสีย และต้องมีการจัดทำรายงานผลกระทบด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อม เพราะธนาคารออมสิน ไม่ได้เป็นผู้ปล่อยกู้ให้กับภาคเอกชนโดยตรง แต่เป็นการปล่อยกู้ผ่านกระทรวงการคลัง ซึ่งหากยังไม่มีความคืบหน้าในการก่อสร้างโครงการ ธนาคารออมสิน จะไม่ได้ใช้วงเงินดังกล่าว จึงไม่ส่งผลต่อภาระหนี้จากอัตราดอกเบี้ยแต่อย่างใด
ทั้งนี้ โครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาทนั้น ธนาคารออมสิน รับผิดชอบการปล่อยกู้วงเงิน 1.2 แสนล้านบาท ส่วนที่เหลือเป็นของธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงเทพ และธนาคารกสิกรไทย
อีกด้านกรณีร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยถึงกรณีที่นายคณิต ณ นคร ประธาน คปก. ระบุว่าร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาทขัดรัฐธรรมนูญว่า การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อวางรากฐานของประเทศ ในหลักการไม่มีใครคัดค้าน แต่พรรคมองว่ารัฐบาลกำลังดำเนินการกู้เงิน 2 ล้านล้านบาทไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่โปร่งใส และไม่ชอบมาพากล คือ
1.ร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาทให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน โดยนำเงินไปใช้จ่ายได้โดยไม่ต้องกู้เงินต่อ และไม่ต้องนำเงินส่งเข้าคลังตามกฎหมาย ถือเป็นการขัดต่อหลักการที่เกี่ยวข้องกับการเงินการคลัง และวินัยงบประมาณตามรัฐธรรมนูญ หมวด 8 ที่บัญญัติเรื่องการเงิน การคลัง และงบประมาณ ในมาตรา 166 และมาตรา 170
2. ครม.เสนอร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินต่อ โดยไม่เป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ มาตรา 169
นายองอาจ กล่าวว่า การดำเนินการของรัฐบาลในการกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ไม่เหมือนที่พรรคประชาธิปัตย์เคยออก พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน เพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 (โครงการไทยเข้มแข็ง) ซึ่งขณะนั้นพรรคสามารถดำเนินการได้ เพราะศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยที่ 11/2552 เมื่อวันที่ 3 มิ.ย.52 ระบุในตอนท้ายว่า การตรา พ.ร.ก.ดังกล่าว ตราขึ้นเพื่อประโยชน์และเพื่อรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 184 วรรค 1 และเป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นเร่งด่วน อันมิอาจหลีกเลี่ยงได้ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 184 วรรค 2
ดังนั้น พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาทจึงเป็นคนละประเด็นกับ พ.ร.ก.ดังกล่าว เพราะฉะนั้นรัฐบาลไม่สามารถยกเรื่องนี้มาเทียบเคียงกันได้ว่า ทำไมสมัยพรรคประชาธิปัตย์ทำได้สมัยรัฐบาลพรรคเพื่อไทยทำไม่ได้
“ผมคิดว่าจะทำได้หรือไม่ได้นั้น เมื่อการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาทเสร็จสิ้นก่อนที่จะนำขึ้นทูลเกล้าฯลงพระปรมาภิไธย ส.ส.ฝ่ายค้านมีสิทธิที่จะยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยได้อีกครั้งว่า เป็นไปตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญหรือไม่ หรือขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ ผมจึงขอฝากไปยังรัฐบาลว่าอย่าเบี่ยงเบนประเด็นเพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องของข้อกฎหมาย”
นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ ระบุ พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้าน ไม่ชอบด้วยกฎหมายตามรัฐธรรมนูญ และก็อาจขัดตาม ม. 169 พร้อมระบุร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้าน กับ พ.ร.ก.ไทยเข้มแข็ง เป็นคนละประเด็นยกมาเทียบเคียงกันไม่ได้ ว่า ไม่เหนือความคาดหมาย ที่พรรคประชาธิปัตย์ จะออกมากินตามน้ำในเรื่องนี้ ซึ่งน่าสงสัยว่า พรรคประชาธิปัตย์ รู้ได้อย่างไรว่าพ.ร.บ.นี้จะขัดรัฐธรรมนูญ มีใครกระซิบมาหรือไม่ เพราะเลขากฤษฎีกา ก็ออกมายืนยันแล้วว่า ทำกันมาได้หลายสิบปีแล้ว ประชาธิปัตย์ก็ทำ
ขอย้ำว่าเงินกู้ 2 ล้านล้าน ไม่ใช่เงินแผ่นดิน ตามมาตรา 169 ของรัฐธรรมนูญ เพราะความหมายของเงินแผ่นดินตามมาตรา 169 นั้น คือ เงินที่เก็บเข้าคลังแล้วนำไปใช้ แต่การกู้เงิน คือ กู้เงินเพื่อการลงทุน ดังนั้น การกู้เงินมาจึงไม่อยู่ในความหมาย มาตรา 169 และต้องถือว่า พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาทนั้น เหนือชั้นกว่า ดีกว่า พ.ร.ก. ไทยเข้มแข็ง เพราะ พ.ร.บ.สามารถตรวจสอบได้เต็มที่ โดยฝ่ายนิติบัญญัติ ผ่าน 2 สภา 6 วาระ เจตนาสุจริต พรรคประชาธิปัตย์ รู้ได้อย่างไรว่าจะทุจริต โครงการยังไม่เกิด ยังไม่มีการจัดซื้อจัดจ้าง โครงการนี้ถือเป็นงานสำคัญของการพัฒนาชาติ ฝ่ายค้านอยากเสนอแนะ อยากให้มีการป้องกันอย่างไรก็ไปว่ากันในสภา โครงการนี้จะปฏิรูปโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งครั้งใหญ่ของประเทศ ถ้าใช้งบประมาณปกติ งบก็ไม่เพียงพอ และการทำงานจะไม่ต่อเนื่อง
“อายุโครงการตั้ง 7 ปี พรรคประชาธิปัตย์ไม่คิดจะมาเป็นรัฐบาลบ้างหรือ ทำไมถึงขวางการพัฒนาประเทศแบบสุดลิ่มทิ่มประตู หรือเพราะพรรคประชาธิปัตย์มีแต่พวกหัวหมอ จึงจ้องหาเทคนิคข้อกฎหมาย มาขัดขวางการทำงานของคนอื่น เคยถามประชาชนบ้างหรือไม่ว่า เขาจำอะไรในโครงการไทยเข้มแข็งพรรคประชาธิปัตย์ได้บ้าง นอกจากเช็คช่วยชาติ ร้องเพลงชาติเสียเงิน ซื้อเสาธงยักษ์ สร้างโรงพักได้แต่ตอ ทุจริตครุภัณฑ์อาชีวะ ตู้หยอดน้ำพลังแสงอาทิตย์ ที่คิดใหม่ขึ้นมาบ้างก็เห็นแค่ เป่าแซ็กซ์แทนตะโกนในโรงหนังเท่านั้นเอง” นายอนุสรณ์กล่าว