“องอาจ” ย้ำ พ.ร.บ.กู้ 2 ล้านล้าน ขัดกฏหมายชัด ชี้ไม่เหมือนทำไทยเข้มแข็ง ระบุแผนระบายข้าว “นิวัฒน์ธำรง” ไม่ต่างยุค “บุญทรง” รอดูขายจีทูจีเหมือนเดิมหรือไม่ แนะจัดการของค้างสต๊อกโปร่งใส
วันนี้ (7 ก.ค.) ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และประธาน ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่นายคณิต ณ นคร ประธานกรรมการปฏิรูปกฎหมาย (คปก.) ออกมาระบุร่าง พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่ง พ.ศ. ... (ร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท) ขัดรัฐธรรมนูญว่า พรรคประชาธิปัตย์ยืนยันว่าการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อวางรากฐานของประเทศ ในหลักการไม่มีใครคัดค้าน แต่พรรคมองว่ารัฐบาลกำลังดำเนินการกู้เงิน 2 ล้านล้านบาทไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่โปร่งใส และไม่ชอบมาพากล คือ 1. ร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาทให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน โดยนำเงินไปใช้จ่ายได้โดยไม่ต้องกู้เงินต่อ และไม่ต้องนำเงินส่งเข้าคลังตามกฎหมาย ถือเป็นการขัดต่อหลักการที่เกี่ยวข้องกับการเงินการคลัง และวินัยงบประมาณตามรัฐธรรมนูญหมวด 8 ที่บัญญัติเรื่องการเงิน การคลังและงบประมาณในมาตรา 166-มาตรา 170 2.คณะรัฐมนตรี (ครม.) เสนอร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินต่อ โดยไม่เป็นไปตามบทบัญญัติของมาตรา 169 ของรัฐธรรมนูญ
นายองอาจกล่าวว่า การดำเนินการของรัฐบาลในการกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ไม่เหมือนที่พรรคประชาธิปัตย์เคยออก พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน เพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 (โครงการไทยเข้มแข็ง) ซึ่งขณะนั้นพรรคประชาธิปัตย์สามารถดำเนินการได้ เพราะศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยที่ 11/2552 เมื่อวันที่ 3 มิ.ย. 2552 ระบุในตอนท้ายว่า การตรา พ.ร.ก.ดังกล่าวตราขึ้นเพื่อประโยชน์ และเพื่อรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 184 วรรค 1 และเป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นเร่งด่วน อันมิอาจหลีกเลี่ยงได้ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 184 วรรค 2 ดังนั้น พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาทจึงเป็นคนละประเด็นกับ พ.ร.ก.ดังกล่าว เพราะฉะนั้นรัฐบาลไม่สามารถยกเรื่องนี้มาเทียบเคียงกันได้ว่า ทำไมสมัยพรรคประชาธิปัตย์ทำได้สมัยรัฐบาลพรรคเพื่อไทยทำไม่ได้
“ผมคิดว่าจะทำได้หรือไม่ได้นั้น เมื่อการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาทเสร็จสิ้นก่อนที่จะนำขึ้นทูลเกล้าฯ ลงพระปรมาภิไธย ส.ส.ฝ่ายค้านมีสิทธิที่จะยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยได้อีกครั้งว่าเป็นไปตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญหรือไม่ หรือขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ ผมจึงขอฝากไปยังรัฐบาลว่าอย่าเบี่ยงเบนประเด็นเพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องของข้อกฎหมาย” นายองอาจกล่าว
นายองอาจยังกล่าวถึงโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลว่า ขณะนี้รัฐบาลกำลังพยายามเร่งระบายข้าวที่ค้างสต๊อกอยู่ ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์มองว่า ปัญหาใหญ่ของโครงการจำนำข้าวคือ ข้าวที่ค้างสต๊อกมา 2 ปีและยังไม่สามารถระบายออกได้ จึงเป็นการชี้ให้เห็นว่าข้าวที่ยิ่งเก็บไว้นานยิ่งเพิ่มปัญหา คือ 1. ข้าวเสื่อมคุณภาพลงเรื่อยๆ ตามระยะเวลาที่เก็บไว้ 2. ราคาข้าวจะต่ำลงเรื่อยๆเมื่อนำออกขาย และ 3. ค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาจะเพิ่มมากขึ้น เพราะฉะนั้นเมื่อเปรียบเทียบดูแผนการระบายข้าวของนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ กับแผนการระบายข้าวของนายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รองนายกฯ และรมว.พาณิชย์ เมื่อนำแผนการระบายข้าวของทั้ง 2 รมต.เปรียบเทียบกันพบว่า ไม่มีการกำหนดรายละเอียด และไม่มีความแตกต่างกัน โดยในสมัยนายนิวัฒน์ธำรงระบุว่าการขายข้าวจะขายให้ผู้ส่งออกข้าว ขายข้าวให้พ่อค้าไทยที่มีคำสั่งซื้อข้าวนึ่งจากต่างประเทศ ขายระบบจีทูจี และเร่งระบายข้าวผ่านตลาดเอเฟตซึ่งไม่มีความแตกต่างกัน
นายองอาจกล่าวอีกว่า ปัญหาที่ค้างอยู่ในสมัยนายบุญทรง ไม่ได้ระบุว่าจะดำเนินการแก้ไข แต่ รมว.พาณิชย์คนใหม่กลับเน้นการขายข้าวแบบจีทูจี ซึ่งสิ่งที่ประชาชนสงสัยคือนายนิวัฒน์ธำรง จะดำเนินการขายข้าวแบบจีทูจีเหมือนสมัยนายบุญทรง หรือไม่ ทั้งนี้ ตนกลัวว่าถ้าใช้แผนการระบายข้าวแบบเดิมจะถูกครหา ถูกนินทาในเรื่องการทุจริต ทำให้เกิดความไม่เชื่อมั่นต่อประเทศไทย ตนจึงฝากนายนิวัฒน์ธำรง พิจารณาเรื่องการพิจารณาระบายข้าวว่าดำเนินการมาเมื่อในอดีตนายบุญทรง หรือไม่ รวมถึงฝากนายนิวัฒน์ธำรง ดำเนินการจัดการข้าวค้างสต๊อก ระบายข้าวอย่างโปร่งใส เป็นธรรมและเปิดเผยด้วย