xs
xsm
sm
md
lg

PTTGCชี้ศก.จีนชะลอไม่กระทบรายได้

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน - พีทีที โกลบอลฯ ปรับกลยุทธ์การตลาดเน้นอาเซียน หลังประเมินเศรษฐกิจจีนชะลอตัว ยันตลาดจีนยังเป็นตลาดส่งออกเม็ดพลาสติกใหญ่สุดของบริษัทฯอยู่คิดเป็น 40-50%ของปริมาณส่งออก คาดครึ่งปีหลังราคาและมาร์จินเม็ดพลาสติกดีต่อเนื่องจากไตรมาส 2 ที่มีมาร์จินถึง 500 เหรียญสหรัฐ/ตัน แย้มการเซ็นสัญญาร่วมทุนกับปิโตรนาส มาเลย์ส่อเลื่อนไปเป็นไตรมาส 1หรือ 2 ปีหน้า

นายอัฒฑวุฒิ หิรัญบูรณะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มผลิตภัณฑ์โพลิเมอร์ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน)(PTTGC) เปิดเผยว่า ในปีนี้ บริษัทฯได้ลดปริมาณการส่งออกเม็ดพลาสติกโพลีเอทิลีน(PE)ไปตลาดจีนลงเหลือ 40-45%เดิมที่เคยส่งออกไปถึง50%ของปริมาณการส่งออกทั้งหมด เนื่องจากบริษัทฯได้คาดการณ์สถานการณ์เศรษฐกิจจีนจะชะลอตัวลงหลังจากเศรษฐกิจในสหภาพยุโรปไม่ดี โดยหันมาทำตลาดในอาเซียนแทน ส่งผลให้ปริมาณการส่งออกเม็ดพลาสติกไปอาเซียนเพิ่มสัดส่วนขึ้นเป็น 30%ของการส่งออกโดยเฉพาะอินโดนีเซียที่มีการทำตลาดเพิ่มมากขึ้น ทำให้เป้าปริมาณขายเม็ดพลาสติกในปีนี้เพิ่มขึ้นทิศทางตามเดียวกับการเติบโตของเศรษฐกิจ(จีดีพี)ที่โตราว 4-5%

"แม้ว่าเศรษฐกิจจีนจะชะลอตัวลง แต่ก็ไม่รุนแรง ซึ่งไม่กระทบยอดขายบริษัทฯ เพราะได้มีการคาดการณ์เอาไว้อยู่แล้ว โดยจีนยังเป็นตลาดสำคัญรองจากตลาดในประเทศที่บริษัททำตลาดอยู่คิดเป็น 50%ของปริมาณการผลิต ขณะเดียวกันก็หันมาทำตลาดอาเซียนมากขึ้น ทำให้รายได้ของบริษัทฯเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ เนื่องจากไตรมาส 2/2556เป็นช่วงที่ความต้องการใช้เม็ดพลาสติกน้อยตามฤดูกาล จึงปิ ดซ่อมบำรุงโรงงานแทน ทำให้ปริมาณเม็ดพลาสติกที่ออกสู่ตลาดลดลงบ้างเล็กน้อย เนื่องจากได้มีการเก็บสต็อกสินค้าไว้อยู่แล้ว "นายอัฒฑวุฒิ กล่าว

นายอัฒฑวุฒิ กล่าวต่อไปว่า ในไตรมาส 2/2556 ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์พลาสติกPEกับวัตถุดิบแนฟธา (สเปรด)อยู่ที่ 500 กว่าเหรียญสหรัฐ/ตันโดยราคาขายเม็ดพลาสติกชนิด HDPE อยู่ที่ 1,460 เหรียญสหรัฐ/ตัน สูงขึ้นไตรมาสก่อน 10 เหรียญสหรัฐ/ตัน ซึ่งโดยทั่วไปไตรมาส 2 ราคาเม็ดพลาสติกจะอ่อนตัวแต่ไตรมาสนี้กลับราคาดี อย่างไรก็ตามเชื่อว่าครึ่งปีหลังนี้ราคาเม็ดพลาสติกน่าจะดีขึ้นต่อเนื่องในไตรมาส 3 /2556 เนื่องจากเป็นช่วงการใช้เม็ดพลาสติก และสเปรดเม็ดพลาสติกน่าจะทรงตัวดีขึ้นในระดับนี้

ส่วนความคืบหน้าการลงทุนร่วมกับพีที เปอร์ตามิน่า ซึ่งเป็นบริษัทน้ำมันแห่งชาติของอินโดนีเซียว่า บริษัทฯน่าจะลงนามสัญญาร่วมทุนได้ในเดือนธันวาคมนี้ หลังจากศึกษากรอบความร่วมมือ และรายละเอียดการลงทุน ตลอดจนการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนดำเนินการก่อสร้างโครงการปิโตรเคมี คอมเพล็กซ์นับตั้งแต่ธุรกิจต้นน้ำไปถึงธุรกิจปลายน้ำ โดยประกอบด้วยโรงกลั่นน้ำมัน โรงโอเลฟินส์ขนาด 1.2 ล้านตัน/ปี โรงงานผลิตเม็ดพลาสติกชนิด PE PP LDPE และ EO/EG รวมทั้งโรงอะโรเมติกส์ด้วย คาดว่าจะใช้เงินลงทุน 4-5 พันล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 1.2 แสนล้านบาท โดยทางพีที เปอร์ตามิน่า จะถือหุ้น 51% และPTTGC ถือหุ้น 49% และเริ่มก่อสร้างได้ในปีถัดไป คาดว่าโครงการดังกล่าวจะดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในปี 2560

สำหรับความคืบหน้าการร่วมทุนในโครงการปิโตรเคมีกับปิโตรนาส ประเทศมาเลเซียนั้น บริษัทฯคาดว่าจะลงนามสัญญาการร่วมลงทุนได้ในไตรมาส 1 หรือไตรมาส 2 ปี 2557 ล่าช้ากว่าเดิมที่เคยตั้งเป้าหมายไว้ในไตรมาส 3/2556 โดยจะร่วมทุนตั้งโรงงานผลิต โพรพิลีนออกไซด์ หรือโพลีออล ในประเทศมาเลเซีย นอกจากนี้ ยังศึกษาความเป็นไปได้ในการตั้งโรงงานผลิตโพลียูรีเทนและโพลีคาร์บอเนตในจีน โดยจะร่วมทุนกับซิโนเปค ของจีนด้วย
กำลังโหลดความคิดเห็น