xs
xsm
sm
md
lg

ประชาธิปไตยสองลู่

เผยแพร่:   โดย: ชัยอนันต์ สมุทวณิช

มีข่าวว่าการรับจำนำข้าวทำให้รัฐต้องสูญเงินไปแสนกว่าล้าน และก็ยังจะมีการทำต่อไป ที่จริงนโยบายประชานิยมนี้มีอยู่ในทุกประเทศ ในญี่ปุ่นเองพรรคการเมืองก็แสวงหาความสนับสนุนจากชาวนาเช่นกัน นโยบายประชานิยมนี้เป็นเรื่องธรรมดาตราบเท่าที่เศรษฐกิจยังคงดีอยู่ แต่ถ้าเศรษฐกิจไม่ดีก็เป็นการซ้ำเติม และไม่เป็นผลดีต่อฐานะทางการคลังของประเทศ​

​ในระบอบประชาธิปไตย การเลือกตั้งจำเป็นต้องมี แต่ในประเทศไทยการเลือกตั้งกลายเป็นการที่ผู้สมัครต่างแข่งขันกันโดยใช้เงินซื้อเสียง เมื่อได้อำนาจเป็นรัฐบาลแล้ว ก็ใช้เงินส่วนตัวน้อยลง เพราะสามารถอาศัยนโยบายและงบประมาณของรัฐหาเสียงล่วงหน้าได้

​ความพยายามที่จะแก้ปัญหาการซื้อสิทธิขายเสียงนี้ทำไม่ได้ หากประชาชนยังยากจน และไม่หวงแหนสิทธิ แต่กลับเห็นว่าการออกเสียงควรได้รับการตอบแทนเป็นตัวเงินหรือผลประโยชน์อื่นๆ นานวันเข้าก็มีการใช้เงินจำนวนมาก และยากที่จะปราบปราม บางแห่งถึงกับซื้อเหมาเป็นหมู่บ้านหรือตำบล

​หากเรายังคงระบบการเลือกตั้งไว้ และหามาตรการต่างๆ มาป้องกันการซื้อสิทธิขายเสียง และนโยบายประชานิยมก็จะทำให้การเลือกตั้งมีความบริสุทธิ์ยุติธรรมขึ้น มาตรการเหล่านี้ได้แก่

​1. มีการให้การศึกษาแก่ประชาชนให้รู้จักหวงแหนสิทธิ

​2. กำหนดบทลงโทษสำหรับผู้ซื้อสิทธิขายเสียงให้หนักยิ่งขึ้น เช่น มีโทษตัดสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 10-20 ปี

​3. กำหนดวิธีการเลือกตั้งเสียใหม่ กล่าวคือ แบ่งประชาชนผู้มีสิทธิออกเสียงเป็นสองกลุ่ม โดยใช้เกณฑ์ด้านรายได้ และการเสียภาษี เช่น กำหนดว่ากลุ่มหนึ่งมีรายได้เดือนละ 15,000 บาท อีกกลุ่มหนึ่งมีรายได้มากกว่านั้น

​ทั้งสองกลุ่มนี้มีสิทธิเลือกตั้งคนละหนึ่งเสียงเท่ากัน แต่ผู้สมัครในกลุ่มแรก ต้องเป็นผู้ซึ่งมีรายได้ 15,000 บาทต่อเดือนหรือต่ำกว่านั้น ผู้ซึ่งอยู่ในกลุ่มที่สองไม่มีสิทธิมาสมัครนั้นรับเลือกตั้งในกลุ่มที่หนึ่ง ทำให้คนรวยไม่สามารถมาใช้เงินซื้อเสียงกับประชาชนกลุ่มแรกได้ และประชาชนกลุ่มแรกเองก็ไม่ใช่คนมีเงิน คงไม่อาจใช้เงินได้มากเหมือนกับที่เป็นอยู่ในระบบปัจจุบัน

​ควรมีมาตรการอีกสองอย่างควบคู่กันไป กล่าวคือไม่ให้ผู้สมัครสังกัดพรรค ผู้สมัครกรอกคุณสมบัติและผลงาน รวมทั้งคำนิยมของผู้รับรอง ไม่มีการหาเสียง การเลือกตั้งอาจทำโดยให้เลือกในระดับตำบลหรืออำเภอก่อน แล้วจึงไปเลือกตัวแทนระดับจังหวัด นอกจากนั้น อาจกำหนดว่าผู้แทนจะเป็นผู้แทนเกินสองวาระไม่ได้ ต้องมีการเว้นหนึ่งสมัย เป็นต้น ในขณะเดียวกัน ก็มีการกำหนดบทลงโทษดังกล่าวมาแล้ว

​ผู้สมัครที่มีรายได้เกินกว่าเดือนละ 15,000 บาท ก็จะสมัครในหมู่กันเอง และการหาเสียงอาจกระทำได้ แต่การซื้อสิทธิขายเสียงน่าจะมีน้อยลง เพราะคนส่วนใหญ่เป็นผู้มีการศึกษา มีรายได้พอสมควร การแบ่งกลุ่มนี้อาจใช้รายได้ที่สูงขึ้นก็ได้ และจะต้องมีการสำรวจทุกปีว่ามีใครที่มีรายได้สูงขึ้น

​ถ้าจะถามว่าการแบ่งกลุ่มนี้เป็นไปได้หรือไม่ คำตอบก็คือ เป็นไปได้เพราะข้อมูลสถิติประชากรดีขึ้นมาก และการแบ่งกลุ่มนี้ก็ไม่ขัดกับหลักประชาธิปไตยแต่อย่างใด เพราะไม่มีการลิดรอนสิทธิการเลือกตั้ง

​ถ้าจะถามว่ามีประเทศไหนบ้างที่ใช้วิธีการนี้ คำตอบก็คือไม่มี เพราะไม่เคยคิดกัน และก็ไม่มีปัญหาหนักหน่วงเหมือนกับบ้านเรา

​แต่การจะเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ คงเป็นไปได้ยาก แต่ก็น่าคิดเพราะนอกจากวิธีการนี้แล้ว ก็ไม่เห็นวิธีการอื่น แม้ว่าจะเป็นไปได้ยาก แต่ก็ขอเสนอเป็นความเห็นมาเพื่อให้วิจารณ์กัน

เราอาจเรียกระบบนี้ว่า “ประชาธิปไตยสองลู่” ก็ได้
กำลังโหลดความคิดเห็น