วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 15
วันต่อมารถจี๊ปที่มีจ้าวซัน บราลี ภูสินทรนั่งอยู่ในรถแล่นออกมาจากวัง หน้าวังมีผู้คนจำนวนนึง ทหารกำลังกันไว้ ให้อยู่ในซอยนึง อีกซอยนึงก็มีคนอีกจำนวนนึง ซึ่งมีทหารกันไว้อย่างเข้มแข็ง รถจิ๊ปแล่นผ่าไปถนนสายกลาง
“นั่น ประชาชนเขามาทำอะไรกัน” จ้าวซันถามอย่างแปลกใจ
“เอ่อ...ก็ เขามีปัญหาเรื่องที่ดินทำกิน เลยมาเรียกร้องขอความช่วยเหลือน่ะพะย่ะค่ะ” ภูสินทรบอก
“อ้าว แล้วทหารไปกันเขาทำไม ทำไมไม่ส่งใครไปดูแลช่วยเหลือ”
“ทางเสนาบดีที่มีหน้าที่โดยตรง คงกำลังเจรจาอยู่แล้วล่ะ พะย่ะค่ะ”
บราลีหันไปดูอีกซอย
“ที่ซอยนั้นก็มีอีกพวก ดูสิ”
“ท่าทางเหมือนสองกลุ่มนี้ถูกกันไว้ไม่ให้ปะทะกัน”
“บ้านเมือง ในช่วงเปลี่ยนแผ่นดินก็มีเรื่องราววุ่นวายแบบนี้แหละพะย่ะค่ะ สมัยนี้ผู้คนมีความคิดเป็นของตัวเอง ไม่เหมือนบ้านเมืองในอดีตที่ปกครองง่ายกว่า”
บราลีชะเง้อ
“มีป้ายด้วยค่ะ เจ้าพี่อ่านภาษาคีรีรัฐได้ใช่ไหมคะ”
“จะชะลอดูอะไร ไปเร็วๆ หน่อย นี่จะเลยเวลานัดแล้วนะ”
ภูสินทรบอกทหารที่ขับรถ รถวิ่งผ่านไป จ้าวซันหันไปดู ในฝูงชนกลุ่มแรกมีป้ายที่โผล่ขึ้นมา เขียนเป็นภาษาอังกฤษว่า“ nan ping is our king ” อีกกลุ่ม มีป้ายภาษาไทยว่า “เรารักศิขรนโรดม”
พอรถผ่านไป ทหารคลายการป้องกันลง ทั้งสองกลุ่มวิ่งเข้าใส่กัน มีคนขว้างผัก ข้าวของใส่กัน จ้าวซันและบราลีเห็น อึ้งๆ หันมามองหน้ากัน
จ้าวซันกับบราลีมาหาครูเฒ่าที่อาศรม ครูเฒ่าเดินคุยไปกับจ้าวซัน
“ถ้าจะให้ครูแนะนำ ครูก็มีเพียงคำว่า ให้เวลา เราเป็นของใหม่จะให้ผู้คนเขารู้จัก เคยชิน หรือชื่นชอบ ก็ต้องให้เวลาเขา และเราก็ต้องอดทน พากเพียร มีขันติ มีวิริยะก็เท่านั้นเอง”
“หากจะให้ผมพูดตรงๆ ก็อยากจะพูดว่า ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับผม ในชีวิตของผม ผมอดทน พากเพียร มามากกว่านี้ไม่รู้จักเท่าไหร่ รวมทั้งสิ่งที่เราจะเรียกว่าการตลาด หรือการประชาสัมพันธ์ ผมก็น่าจะเรียกได้ว่าชำนาญ”
“นั่นสินะ”
“แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่า...”
บราลีชะเง้ออยากฟัง แต่ก็ได้แต่ชะเง้อ อยากรู้มากๆ
เมื่อกลับจากอาศรมครูเฒ่า ภูสินทรกับบราลี เดินดูรอบๆ บริเวณวัง
“รอบๆ ตำหนักองค์ชายน่านปิง วางกำลังทหารวังไว้ไม่มาก มีจุดประจำคือที่ประตูโน้น ตรงอุทยานด้านนั้น แล้วก็หน้าตำหนักนี่” ภูสินทรบอก
“ก็มากอยู่นะคะ ถ้าวางกำลังไว้มากกว่านี้ เจ้าพี่คงอึดอัดแย่”
“คุณม่านฟ้า อย่าลืมนะในวังนี้ ไม่ใช่ถิ่นของเรา แต่เป็นถิ่นของพวกเขา”
“เขา...เรา...”
“ผมก็ไม่อยากแบ่งแยกว่ามีพวกเขา พวกเราหรอกนะ แต่เราต้องยอมรับว่าองค์ชาย หัวเดียวกระเทียมลีบอยู่ท่ามกลาง...”
“คุณเมืองเทพ แต่คุณอย่าลืมสิว่าเจ้าป้า ทรงพิทักษ์รักษาทุกอย่างและทรงวางแผนการด้วยพระองค์เองเกือบหมด ที่จะทำให้เจ้าพี่ได้กลับมา และวันนี้ เจ้าพี่ก็ได้กลับมาประทับอยู่กับท่านสมใจ ท่านจะยอมให้มีอะไรไม่ดีเกิดขึ้นได้ไง”
“พระเทวีทรงประเสริฐกว่าใคร แต่...”
พระเทวีสิริวารตี แม่นมและคณะ เดินมาพอดี ภูสินทรบราลี ต่างชะงัก แล้วถวายบังคม
“ม่านฟ้า ทำอะไรอยู่ ภูสินทรมีธุระอะไรกับเจ้านางฝ่ายในหรือ”
“กระหม่อม หารือกับคุณม่านฟ้า เกี่ยวกับการถวายความปลอดภัยขององค์ชายน่านปิงพะย่ะค่ะ”
“การถวายความปลอดภัยก็ไปคุยกับพวกทหารราชองครักษ์สิ อะไรกันคุณม่านฟ้า ไม่มีหน้าที่และไม่เหมาะสมด้วย ที่จะต้องมาคุยกับเจ้า...”
“นั่นสิ แม้พวกท่านจะเคยร่วมทำเรื่องสำคัญกันมามากมาย ก่อนหน้านี้ หรือสนิทสนมกันมา ก่อนจะเข้ามาในคีรีรัฐ แต่เวลานี้กาละเทศะมันไม่ใช่แล้ว คุณม่านฟ้าคะ พอดีทราบว่าคุณมีความชำนาญเรื่องเสื้อผ้าอาภรณ์ อยากจะเชิญให้คุณมาช่วยอะไรสักหน่อย”
“ใช่ มาด้วยกันเถอะ ม่านฟ้า”
“เพคะ”
“เรื่องถวายความปลอดภัย อสุนีน่าจะเป็นคนรับผิดชอบอยู่กระมัง ตอนนี้ให้ไปหารือกับอสุนีนะภูสินทร”
“พะย่ะค่ะ”
พระเทวีสิริวารตีเดินไป บราลีหันมาสบตาภูสินทรแล้วรีบไป ภูสินทรถึงกับเซ็ง
คืนนั้นบริเวณวังหลวงมีทหารและนางในบางส่วนออกมาตกแต่งประดับประดาตามที่ต่างๆ ทหารสามสี่คนยกกระถางต้นไม้จากสวนเข้าไปตกแต่งข้างใน มีหัวหน้าทหารคอยคุมงาน นางในหลายคนช่วยกันเปลี่ยนม่าน เช็ดโคมไฟ
ภายในห้องโถงพระเทวีสิริวารตี ช่างตัดเสื้อ และนางในหลายคนกำลังวุ่นวายกับการวัดตัวตัดชุดพระราชพิธีให้กับจ้าวซัน
“งานพระราชพิธีจะต้องใช้แล้วนะ ช่าง ยังไงก็ต้องทำให้ทันล่ะ”
“ทันสิพะย่ะค่ะ”
“อีกสามวันเองนะ”
“หม่อมฉันเอาหัวเป็นประกันเลยพะย่ะค่ะ หม่อมฉันจะตัดถวายหามรุ่งหามค่ำไม่หลับไม่นอนเลยทีเดียว”
“เอาล่ะๆ ฉันเชื่อ รีบไปทำ ไป”
ช่างตัดเสื้อและทีมงานขนข้าวของออกไป
“ชุดที่รีบตัดนี้ เป็นชุดสำหรับเจ้าหลวงหรือเจ้าป้า” จ้าวซันถามขึ้นมา
“ใช่ และผ้าคลุมไหม4เส้นสีเหลืองปักทองผืนนั้น คือเครื่องหมายของเจ้าหลวง คนที่ไม่ใช่เจ้าหลวง จะนำมาห่มคลุมไม่ได้” พระเทวีสิริวารตีชี้ไปที่บราลี บราลีกำลังนั่งรุมปักทองบนผ้าคลุมนั้น ที่จะใช้งานพิธีร่วมกับพวกนางในคนอื่นพระเทพวีเดินพาจ้าวซันเข้าไปดู แล้วพูดกับบราลี “สวยมาก ฝีมือประณีตไม่แพ้คนในวังเลย”
บราลียิ้มรับ
“ม่านฟ้าเขาเรียนวิชาเกี่ยวการทอผ้าชนิดต่างๆ มา เขาชอบงานนี้มากพะย่ะค่ะ”
“ดีจริง ดี เป็นวิชาที่เหมาะกับการพัฒนาอุตสาหกรรมของบ้านเรา เหมาะสมแล้ว สำหรับที่จะเป็นงานของพระเทวีในอนาคต”
จ้าวซันสบตาบราลี บราลีมองตอบ ทำหน้าอึดอัดใจ
“หม่อมฉันไม่ได้อยากเป็น...”
“อะไรนะ ทำไมพูดจาแบบนั้นล่ะคะ คุณ”
“เจ้าพี่คะ เจ้าพี่จะเข้าพิธีจริงๆ หรือ” บราลีถามจ้าวซัน นางในคนอื่นๆ ได้ยิน ตกใจหันมามอง แม่นมอึ้ง พระเทวีสิริวารตีตกใจเล็กน้อย
“เราจะมีพิธีจ้ะ ม่านฟ้า ไม่ต้องกลัว เราจะผ่านไปได้ด้วยดี เหมือนทุกๆ งาน ที่เราผ่านมานั่นแหละ” จ้าวซันเข้ามาลูบผมบราลี ทุกคนมอง ทำหน้าแปลกๆ กัน
ศิขรนโรดมเดินคุยเล่นมากับอสุนีมาตามทางที่จะมายังห้องบรรทมอย่างอารมณ์ดี
“อยากให้ถึงวันงานเร็วๆ ป่านนี้เจ้าพี่ก็คงตื่นเต้นจนนอนไม่หลับแน่ๆ”
“ถ้าพระองค์ได้ทรงขึ้นครองราชย์เองล่ะก็ หม่อมฉันถึงจะตื่นเต้น”
ศิขรนโรดมหยุด หุบยิ้ม หันมาดุใส่อสุนี
“พอได้แล้วอสุนี เลิกพูดแบบนี้ซะที เราเริ่มจะทนไม่ได้แล้ว”
“หม่อมฉันพูดตามความรู้สึก”
“งั้นก็หัดเก็บความรู้สึกของเจ้าไว้ซะ ทุกอย่างกำลังเป็นไปครรลองที่ชอบธรรม เราจะดีใจมากถ้าเจ้าจะสงบปากสงบคำ และก็พลอยยินดีไปกับเจ้าพี่”
“กระหม่อมจะพยายาม”
ศิขรนโรดมเปิดประตูคาไว้ แล้วเข้าไปในห้อง ออกมาพูดกับอสุนี สายตาเย็นชา
“ดึกแล้ว เจ้ากลับไปพักผ่อนซะเถอะ”
“อ้าว ไหนฝ่าบาทรับสั่งว่าจะปรึกษาเรื่องงานเซอร์ไพรส์ให้”
“เอาไว้วันหลังแล้วกัน เราง่วง ตอนนี้ไม่มีอารมณ์คุยกับเจ้าแล้ว”
ศิขรนโรดมปิดประตูใส่หน้าอสุนี อสุนียืนลังเลอยู่หน้าห้องสักพัก กัดฟัน ตัดสินใจเคาะประตูห้องศิขรนโรดมศิขรนโรดมเปิดประตูผัวะออกมา สีหน้าดุ
“มีอะไรอีก อสุนี”
“เอ่อ...คือ หม่อมฉันอยากจะทูลว่า...” ศิขรนโรดมถอนหายใจ เหนื่อยหน่ายและเริ่มรำคาญอสุนีขึ้นมาตงิดๆ
“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หม่อมฉันอยากให้พระองค์ทรงรับรู้ไว้ว่า อสุนีคนนี้จะยังคงจงรักและภักดีกับพระองค์ตลอดไป”
“แค่นี้ใช่ไหม ราตรีสวัสดิ์อสุนี”
ศิขรนโรดมปิดประตูใส่หน้าอสุนีอีกครั้ง อสุนียืนอึ้งอยู่หน้าห้อง
แถวห้องพักจ้าวซันทหารยามเดินตรวจการณ์อย่างสบายอารมณ์
“คนเลวก็ตายไปหมดแล้วเราจะเดินตรวจไปหาพระแสงอะไร ไม่เข้าใจ”
“ก็นั่นน่ะสิ แต่มันเป็นหน้าที่”
“ไปแอบงีบตรงโน้นสักหน่อยดีกว่า เมื่อยก็เมื่อย ง่วงก็ง่วง”
“เออ ไป”
“ไหนบอกว่าเป็นหน้าที่ไงล่ะวะ”
ทันใดนั้นทหารคนหนึ่งก็ล้มลงกองกับพื้น
“เฮ้ย ไปนอนโน่น ง่วงขนาดนั้นเลยเหรอวะ”
ไม่ทันขาดคำทหารอีกคนก็ร่วงลงไปกองที่พื้นอีกคน เผยให้เห็นลูกดอกปักอยู่ที่กลางหลัง ชายชุดดำเดินเข้ามาลากทหารทั้งสองคนเข้าไปซ่อนหลังพุ่มไม้ มีทหารอีกชุดหนึ่งเดินมา ชายชุดดำรีบกระโจนหมอบไปกับพื้น
ที่หน้าห้องจ้าวซัน ชายชุดดำค่อยๆ แง้มประตู ดูว่าปลอดคนจึงค่อยๆ สอดตัวเข้าไปช้าๆ ภายในห้องไฟสลัว มีร่างหนึ่งนอนอยู่บนเตียงภายใต้ผ้าห่ม
“น่านปิงนรเทพ กำลังฝันหวานว่าจะได้เป็นเจ้าหลวงอยู่ล่ะสิ” ชายชุดดำดึงมีดออกมาจากเอว เห็นปลายมีดสะท้อนแสงเป็นเงาวาบ “อโหสิแล้วกันนะ”
ชายชุดดำแทงมีดลงไปเต็มแรงที่ร่างของผู้ที่นอนอยู่บนเตียง
“เราอโหสิให้”
ชายชุดดำเหวอ กระชากผ้าห่มออกดูเห็นเป็นตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ไส้นุ่นทะลักออกมา หันไปก็เห็นจ้าวซันยืนหน้าเรียบเฉยอยู่มุมหนึ่งของห้อง
“เซอร์ไพรส์”
ชายชุดดำผงะ หันวิ่งหนี จ้าวซันตาม
ชายชุดดำวิ่งหนีมาจะออกหน้าต่าง จ้าวซันวิ่งตาม
“ขี้ขลาด เก่งแต่ลอบกัด น้ำหน้าอย่างนี้หรือ อยากจะเป็นราชองครักษ์ของเจ้าหลวงศิขรนโรดม”
ชายชุดดำชะงัก หยุด หันกลับมา จ้าวซันหยุดยืนมอง ชายชุดดำดึงผ้าคลุมหน้าตัวเองออก เห็นเป็นอสุนีจ้าวซันมองอย่างรู้อยู่แล้ว อสุนีจ้องหน้าจ้าวซัน อึ้ง แต่จ้าวซันกลับส่งยิ้มกลับมาให้อสุนีมากขึ้นอีก
อสุนีนิ่งเพื่อตัดสินใจ แล้วฮึดสู้อีกครั้ง ใช้มีดปลายแหลมในมือพุ่งตรงจะไปทำร้ายจ้าวซัน จ้าวซันเบี่ยงตัวหลบ และพยายามใช้มวยคีรีรัฐสู้กับอสุนี แต่ค่อนข้างเสียเปรียบเพราะใช้มือเปล่า อสุนีใช้มีดฟันไปข้างหน้าหลายครั้งแบบไร้ทิศทาง จ้าวซันหลบ มีดพลาดไปฟันโดนผ้าม่านขาดเป็นทาง จ้าวซันกลิ้งตัวหลบขึ้นไปอีกด้าน ที่เป็นมุมโซฟา อสุนีตามอีก
“เดี๋ยว ใจเย็นก่อน อสุนี”
“มาถึงขั้นนี้แล้ว ตายซะเถอะ”
อสุนีหมายจะเสียบมีดไปที่จ้าวซันอีก จ้าวซันคว้าหมอนอิงมาบังไว้ทัน หมอนขาดกระจุย นุ่นกระจายเต็มห้อง เข้าตาอสุนี อสุนีมองไม่เห็น เอามือปัด จ้าวซันได้โอกาสจับมืออสุนีบิดล็อก มีดตกลงกับพื้น จ้าวซันคว้ามีดไว้ แล้วเอามาถือในมือ ชี้ไปที่อสุนี
“พอได้แล้ว”
อสุนีอึ้งสักพัก แต่แล้วก็แอบเอื้อมไปหยิบมีดอีกอัน ที่เหน็บมาที่ข้างหลังตัวเองออกมาอย่างรวดเร็ว
“ไม่ใครก็ใครต้องตายกันไปข้าง ไม่งั้นก็อย่าหวังเลยว่าเรื่องมันจะจบ”
อสุนีใช้มีดบุกเข้าฟันอย่างต่อเนื่อง จ้าวซันตั้งรับได้ทุกกระบวนท่าและดูเหมือนจะต่อให้อยู่ในที
“อย่าให้มันบานปลายไปกว่านี้เลย”
“ทหารสองคนข้างนอกก็ถูกข้าจัดการไปแล้ว ยังไงข้าก็ต้องโดนจับอยู่ดี”
“ไม่ต้องห่วง เรื่องนั้นข้าจัดการได้ แต่ถ้ามีคนรู้มากกว่านี้...”
“หุบปาก ข้ามาเพื่อเอาชีวิตเจ้า ถ้าไม่อยากตายก็ฆ่าข้าให้ได้แล้วกัน”
ทั้งสองคนต่อสู้กันพัลวันหลายกระบวนท่า สุดท้ายมือที่ถือมีดของอสุนีถูกจ้าวซันเตะด้วยปลายเท้า จนมีดลอยขึ้นด้านบน อสุนีกระโดดเอื้อมไปคว้าสุดแขน จ้าวซันผลิกตัวกลับหลังแบบจระเข้ฝาดหางเตะมีดกระเด็นไปปักที่เสาอสุนีตามจะไปเอามา โดนจ้าวซันดึงไว้ แล้วใช้มีดจี้อยู่ด้านหลัง จ้าวซันเข้ามาประชิดด้านหลัง
“ยอมหรือยัง”
“จะฆ่าก็ไม่ต้องถาม”
“ทำไมเราจะต้องฆ่าเจ้า” จ้าวซันผลักอสุนีเซถลาไป “เราต้องถามเจ้ามากกว่า อยากให้เราตายนักใช่ไหม”
อสุนีลุกขึ้นมายืน
“ใช่”
“เราไปทำอะไรให้เจ้า”
“ท่านไม่ควรจะมาเป็นเจ้าหลวงคีรีรัฐองค์ใหม่”
“การเป็นเจ้าหลวงคีรีรัฐนี่ โทษถึงกับต้องตายเลยเหรอ”
“แค่ตายมันยังน้อยไป”
“น่าอิจฉา” อสุนีงง มองตามจ้าวซันที่เดินไปดึงมีดที่ปักอยู่ที่เสาออกมา “ไม่นึกว่าศิขรจะมี “มิตร” ที่จงรักภักดีขนาดนี้”
“จะพูดอีกทำไม ในเมื่อท่านจะแย่งบัลลังก์ไปจากเขาอีกไม่กี่วันนี้แล้ว”
“ทำไมถึงอยากให้ศิขรเป็นเจ้าหลวงนัก”
“ถามตัวเองสิว่าทำไมถึงอยากเป็นนัก”
จ้าวซันเดินไปที่หน้าต่าง แล้วพูดลอยๆ
“ถ้าเราเลือกได้ เราขอไม่เป็นดีกว่า”
“โกหก”
จ้าวซันหันกลับมา แววตาจริงจัง
“เจ้าคิดว่าการเป็นเจ้าหลวงที่ดี มันทำได้ง่ายนักเหรอ” อสุนีอึ้ง “เป็นเจ้าหลวง หาใช่ว่าจะสุขสบาย”
อสุนีก้มหน้าไปอีกทาง ไม่อยากฟัง อสุนีหันไปมองมีดในมือจ้าวซัน แล้วก็ได้จังหวะที่จ้าวซันเผลอ เข้าไปแย่งมีดจากมือมาได้ อสุนีจับมีดขึ้นสองมือ เงื้อขึ้นสูง ตั้งใจจะแทงตัวเองตาย จ้าวซันหันไปเห็น ตกใจ
“อย่า”
จ้าวซันคว้าแจกันดอกไม้ที่อยู่ใกล้มือไปที่อสุนี แจกันโดนมืออสุนีทำให้มีดตกลงมาและเสียงแจกันแตกกระจาย อสุนีคลานเข้าไปหยิบมีด จ้าวซันกระโดดมาเหยียบมีดไว้แล้วเตะไปที่ประตู อสุนีหมดแรง หมดใจ ทิ้งตัวนอนลง หมดอาลัยตายอยาก
จ้าวซันลากคออสุนีออกมาหน้าห้อง
“กลับไปซะเถอะอสุนี เราถือว่าคืนนี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น”
“ฆ่าข้าซะ ข้ามันเป็นกบฏ”
“ไม่ เราจะไม่ฆ่าใครที่นี่อีกแล้ว พอกันที มีประโยชน์อะไร”
จ้าวซันเหวี่ยงตัวอสุนีไป อสุนีล้มไปบนพื้น ขณะนั้นบราลีเดินถือฉลองพระองค์ของจ้าวซันมาถึงพอดี ตกใจ
“อะไรกัน”
จ้าวซันรีบคว้ามืออสุนีขึ้นมา แล้วฉุดให้ลุกขึ้น
“เรากับอสุนีกำลังประลองวิชากันอยู่” จ้าวซันบอกบราลี บราลีมองด้วยความรู้สึกช็อกๆ
“ประลองหรือเพคะ”
“ใช่ ออกกำลังกันเล็กๆ น้อยๆ ใช่ไหม อสุนี” อสุนีงง มองหน้า พยักหน้ารับอย่าเสียไม่ได้ จ้าวซันเข้าไปโอบไหล่อสุนี ทำท่าทางสนิทสนม ตบไหล่เบาๆ “คืนนี้เจ้ากลับไปก่อน ไว้พรุ่งนี้เรามาเอ็กเซอร์ไซส์กันอีกนะ” อสุนียืนนิ่ง ลังเล จนจ้าวซันต้องแอบออกแรงดันหลังอสุนีเบาๆ “ไม่นึกเลยนะว่าฝีมือเจ้าจะรุดหน้าเร็วขนาดนี้ สงสัยข้าคงต้องศึกษา
จากเจ้าบ้างแล้ว” อสุนีเดินไปแบบมึนงง หันหลับมามอง จ้าวซันโบกมือบ๊ายบาย “แล้วเจอกัน”
จ้าวซันหันกลับมาเผชิญหน้ากับบราลี เงียบ บราลีมองหน้าจ้าวซันอย่างจะจับผิด
เมื่อเข้ามาในห้อง บราลีมองสภาพห้อง แขวนชุดเครื่องทรง หงุดหงิด กระแทกกระทั้น
“ทรงทำอย่างนี้คิดว่าดีแล้วหรือเพคะ”
จ้าวซันทำหน้าซื่อ
“ทำอะไร ก็แค่ เราจริงจังกันไปหน่อย” จ้าวซันเล่นมีดในมือ ควงหมุนไปมา
“ฮึ หม่อมฉันไม่ใช่เด็ก 3 ขวบนะเพคะ”
“จุ๊ๆๆ อย่าเอะอะไปสิ”
“ทรงมีเมตตากับคนแบบนี้เสมอ ทรงปล่อยงูพิษไปง่ายๆ อีกแล้ว”
“งูพิษมันเหมือนกันซะทุกตัวที่ไหน”
“จริงเพคะ แล้วหม่อมฉันจะรอดูให้งูมันย้อนมากัดเจ้าพี่ตายเข้าสักวัน”
“เธอน่ะเหรอ จะรอดูเฉยๆ อยู่ได้”
“ลองดูไหมล่ะเพคะ หม่อมฉันจะไม่เข้าไปช่วยอะไรทั้งนั้น ปล่อยให้คนที่ถูกกัดนอนชักดิ้นชักงอทรมานไปจนตาย”
“ตายไปแล้วเธอจะอยู่ยังไง”
“องค์ชาย! นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะเพคะ”
“ก็ไม่ได้ล้อเล่นไง” จ้าวซันวางมือจากการทำความสะอาดในส่วนของตน เดินเข้าไปหาบราลี ท่าทางจริงจัง “ทำไมเธอไม่คิดบ้างว่า สักวันความดีจะเอาชนะความชั่วได้”
“คิดสิเพคะ เคยคิดมาตั้งแต่สมัยอนุบาล แต่พอหม่อมฉันขึ้นไปเรียนชั้นประถมปุ๊ปก็รู้ทันทีว่ามันเป็นไปได้ยากเต็มที พระองค์ทรงทำแบบนี้คนชั่วมันก็สนุกไปเท่านั้นเอง”
“อสุนีไม่ใช่คนชั่ว”
“แต่เขาก็ไม่ใช่คนที่องค์ชายจะต้องทรงเอาตัวเข้าไปแลก หรือไปซื้อใจด้วย”
“เราว่าเรามองคนไม่ผิด”
“ได้เพคะ ถ้าองค์ชายจะทรงคิดแบบนี้ หม่อมฉันถือว่าเตือนแล้วที่เหลือจัดการเองแล้วกันเพคะ”
บราลีหน้าหงิก รีบเดินจะออกจากห้องมา งอน ไม่สนใจหันกลับไปมองอีก ก่อนเดินออกประตู บราลีเห็นมีดของอสุนีที่จ้าวซันเตะออกมาอยู่หน้าประตูพอดี บราลีหยุด ก้มลงไปมองให้จ้าวซันเห็น แล้วค่อยๆ ก้มลงไปหยิบมาวางไว้บนโต๊ะช้าๆ อย่างเหนือกว่า
“ทรงเก็บก็ดีนะเพคะ เอาไว้ป้องกันตัวจากงูพิษ”
บราลีเดินสะบัดออกไป จ้าวซันนิ่ง ถอนหายใจเฮือกใหญ่
เช้าวันรุ่งขึ้น จ้าวซันเดินพ้นมุมตึกออกมาโดยมีภูสินทรเดินตามมา ตามด้วยทหารอีกสองนาย และมีบราลีอยู่หลังสุด จ้าวซันหันไปมอง ภูสินทรยิ้มและคำนับให้ จ้าวซันเดินไปตรวจตราตามที่ต่างๆ มีภูสินทร ทหารสองคนและบราลีเดินตามตลอด จ้าวซันหันมาเริ่มไม่พอใจ บราลีเดินขึ้นมากำชับกับภูสินทร
“ต้องคอยระวังภัยอย่าให้คลาดสายตาเป็นอันขาด”
“ไม่ต้องเป็นห่วง ต้องไม่มีเรื่องอย่างเมื่อคืนเกิดขึ้นอีกแน่นอน”
จ้าวซันหันมามองว่าสองคนนี้กำลังวางแผนอะไร บราลีและภูสินทรทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ จ้าวซันเดินเร็วขึ้น ทุกคนเร่งฝีเท้าตาม จ้าวซันหยุด ทุกคนก็รีบเบรกตัวโก่ง จ้าวซันหันกลับมา เริ่มโกรธ
“นี่พวกเจ้าพากันเดินตามมาตั้งแต่เช้าแล้ว ไม่มีอะไรทำหรือไง” จ้าวซันถามภูสินทรแล้วหันกลับไปเอ็ดบราลี
“เจ้าก็เหมือนกัน”
“เพื่อความปลอดภัยไงละเพคะ”
“ความปลอดภัยอะไร ไม่มีใครมากล้าทำอะไรเราแล้ว”
“อาจจะไม่ใช่คนก็ได้เพคะ อาจจะเป็นสัตว์ร้าย เช่น งู...”
“เมื่อคืนม่านฟ้าบอกว่ามีงูพิษหลุดเจ้าไปในห้องเจ้าพี่”
จ้าวซันหันมองบราลี บราลีอมยิ้ม
“ใช่ แต่เราจัดการเรียบร้อยแล้ว”
“งูหลุดเข้ามาในวังได้ยังไง หม่อมฉันคิดว่าอาจมีผู้ไม่ประสงค์ดี ต้องการจะลอบทำร้ายเจ้าพี่ของม่านฟ้าก็เป็นได้”
บราลียิ้มอย่างมีชัย
“ไม่มีใครจะมาทำร้ายเราหรอก แต่ถ้าจะมี ตอนนี้ก็คงเป็นพวกเจ้านั่นแหละที่กำลังทำร้ายเราอยู่ ขอเราอยู่ตามลำพังบ้างได้ไหม” จ้าวซันเดินตรงไปหาบราลี เพื่อพูดกันสองคน “ไหนเธอบอกว่าคราวนี้จะยืนดูอยู่ห่างๆ ไม่มายุ่งไง”
บราลีทำลอยหน้าลอยตาไม่รับรู้ จ้าวซันหงุดหงิดรีบหันหลังแล้วเดินไปอย่างรวดเร็ว ทหารสองนายรีบเดินตาม
ภูสินทรและบราลีมองหน้ากัน พยักหน้า แล้วรีบตามไปอารักขาต่อไป
อีกด้านหนึ่ง อสุนียืนเหม่อใจลอยอยู่ที่หน้าผา ศิขรนโรดมเดินตามหา ขึ้นมาเห็น เหนื่อยหน่าย
“อยู่ที่นี่เอง ตามหาเสียตั้งนาน” อสุนีไม่หันมามอง “อสุนี เป็นอะไรไป เจ้าไม่ได้ยินที่เราพูดหรือไง”
“ฝ่าบาททรงมีธุระอะไรกับหม่อมฉัน”
“เมื่อคืนเจ้าไปก่อเรื่องอะไรมา”
“เจ้าพี่คนดีของฝ่าบาททรงฟ้องว่ายังไงล่ะ”
“อสุนี! จะมากไปแล้วนะ” ศิขรนโรดมดมตวาดเสียงดัง อสุนีหันไปมองหน้าศิขรนโรดม
“องค์ชายน่านปิงนรเทพทรงมีความสำคัญกับฝ่าบาทมากขนาดนั้นเลยเหรอ”
“ใช่ สำคัญมาก สำคัญตั้งแต่ที่เราลืมตาเกิดขึ้นมา สำคัญจนถึงตอนนี้และก็จะสำคัญตลอดไปด้วย”
อสุนีมองศิขรนโรดมอึ้ง แล้วหันกลับไปอีกทาง
“เจ้าเป็นอะไรของเจ้า เราไม่เข้าใจเลย”
“ทุกสิ่งทุกอย่างที่หม่อมฉันทำ หม่อมฉันทำเพื่อพระองค์ทั้งสิ้น”
“ไม่ต้องมาทำอะไรให้เราแล้วอสุนี สิ่งที่เจ้าทำมันมากเกินพอแล้ว”
“หม่อมฉันอยากให้พระองค์เป็นเจ้าหลวง”
“เลิกอยากเรื่องที่มันเป็นไปไม่ได้สักที ต่อไปเรื่องของเราเจ้าไม่ต้องมายุ่ง และถ้าเจ้ายังไม่ไปกราบขอโทษเจ้าพี่ให้เราเห็นล่ะก็ต่อไปก็ไม่ต้องมาให้เราเห็นหน้าอีก” มิถิลาเดินตามขึ้นมา ทันเห็นทั้งคู่ยืนคุยกัน จึงแอบฟังอยู่ห่างๆ “ว่าไงล่ะอสุนี” อสุนีหันหลังกลับไป มองไปที่หน้าผา “งั้นเราก็จบกัน”
ศิขรนโรดมเดินกลับ
“หม่อมฉันผิดเอง ที่ปรารถนาดีมากเกินไปทำให้พระองค์ต้องลำบากพระทัย”
อสุนีเดินเข้าไปใกล้หน้าผา ตั้งท่าจะกระโดดลงไป มิถิลาเห็น รีบตะโกนลั่น
“พี่อสุนี”
ศิขรนโรดมตกใจ รีบหันกลับไป อสุนีกระโดดหน้าผาลงไปแล้ว ศิขรนโรดมและมิถิลารีบวิ่งไปที่หน้าผา
“อสุนี”
ทั้งคู่ชะโงกลงไปข้างล่างเห็นอสุนีนอนไม่ได้สติคาอยู่ที่ชะง่อนผาติดกับโคนต้นไม้ ยังไม่ตกไปข้างล่าง
“อสุนีๆ ทำบ้าอะไรของมัน” ศิขรนโรดมตัดสินใจค่อยๆ ปีนลงไป มีมิถิลาคอยส่งมือมาช่วยดึงไว้ไม่ให้ไถลลงไป ศิขรนโรดมปีนลงไปถึงตัวอสุนี รีบเช็กลมหายใจ จับประคองขึ้นมาและเขย่าให้รู้สึกตัว “อสุนีๆ เจ้าอย่าเป็นอะไรนะ”
ศิขรนโรดมรีบตะโกนบอกมิถิลา “รีบไปตามคนมาช่วยเร็ว” มิถิลารีบวิ่งไป “อสุนี ลืมตาขึ้นมาสิ ได้ยินข้าไหมอสุนี”
ศิขรนโรดมกอดร่างอสุนีไว้แน่น
วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 15 (ต่อ)
เช้าวันรุ่งขึ้น พระอาทิตย์ขึ้นเหนือหุบเขา ธงคีรีรัฐสะบัดทั่วบ้านช่อง ร้านรวง ในเมืองคีรีรัฐ อสุนีผวา ลืมตาบนเตียง หมอหลวงกำลังจ้องมองอยู่
“นี่ ข้ายังไม่ตาย”
“ท่านยังไม่ตาย”
“ท่านหมอหลวง”
“องค์ศิขรนโรดม ทรงบัญชาให้ข้ามารักษาเจ้า เจ้ามีกระดูกหักเล็กน้อย ที่ซี่โครง ข้าพันตัวเจ้าไว้ นอนนิ่งๆหลายๆ วัน ร่างกายเจ้าก็จะเยียวยา ประสานตัวเอง”
“องค์ศิขร”
“เวลานี้มีสิ่งที่ทรงต้องกระทำมากมาย ข้าก็เช่นกัน วันนี้เรามีงานสำคัญในวัง เจ้าก็น่าจะรู้”
“งานสถาปนาเจ้าหลวงพระองค์ใหม่”
“ใช่ ข้าต้องรีบไปแล้ว เจ้าฟื้นแล้วก็ดี เรื่องการกิน ดื่ม ขับถ่าย และยากิน ยาทา ข้าได้มอบหมายให้หัวหมู่นายนั้น ดูแลเจ้าแทนข้า ข้าไปก่อน”
หมอหลวงจะเดินออกไป
“เดี๋ยวก่อน ท่านหมอหลวง” หมอหลวงชะงัก “ฝากบอกมิถิลา น้องสาวข้า ว่าถวายรับใช้องค์ศิขรนโรดมแทนข้า”
“ได้ ไม่มีปัญหา”
“ขอบพระคุณท่าน”
“พยายามทำตัวให้ดี จะได้หายเร็วๆ เมื่อองค์น่านปิงขึ้นเป็นเจ้าหลวง องค์ศิขรนโรดมก็คงต้องทรงงานหนัก เพื่อช่วยพระเชษฐาแก้ปัญหามากมายให้บ้านเมือง เจ้าเองก็ต้องถวายรับใช้ให้เต็มที่ เวลาอย่างนี้ขอจงอย่าคิดสิ่งใด มากไปกว่าบ้านเมืองและประชาชน” หมอหลวงรีบเดินออก อสุนีขมวดคิ้ว หันไป เห็นทหารรับใช้ยืนเฝ้าดูอยู่ อึ้งๆ
พิธีสถาปนาเจ้าหลวงพระองค์ใหม่ที่ท้องพระโรง มีประชาชนมากมายอยู่ที่หน้าวัง ต่างมีสีหน้าตื่นเต้น รอคอย มีความหวัง บ้างถือธงทิว พวงมาลัย พานดอกไม้
ในท้องพระโรง ดอกไม้สดประดับสวยงาม หมอหลวง ครูเฒ่าเดินเขามา
“ประชาชนมารอเต็มหน้าพระราชวังแล้ว เพื่อรอดูเจ้าหลวงองค์ใหม่ของเขา”
“เจ้าหลวงองค์ใหม่ ที่เราทุกคนภูมิใจ”
ครูเฒ่า หมอหลวงยิ้มกัน นักดนตรีบรรเลงเพลงยิ่งใหญ่ พระเทวีสิริวารตีประคองมาทยาธรที่เดินได้สง่าขึ้นมากเข้ามา
“จากวันนี้ไป บาปของพี่ก็จะได้รับการชำระอีกส่วนนึงแล้ว”
“บาปของน้องเช่นกัน ต่อไปนี้ เราจะใช้เวลาที่เหลือ เพื่อการกุศลและเพื่อช่วยเหลือประชาชนให้มากที่สุดจนกว่าเราจะตาย”
หน้าวังมีผู้คนมากมาย ถือธงโบกสะบัด คนหนุ่มอีกกลุ่มเข้ามา หน้าตาเคร่งเครียด ถือป้ายผ้าม้วนๆ มา กระซิบกัน
“พร้อมหรือไม่”
“พร้อม เมื่อใดที่ประกาศองค์น่านปิงขึ้นเป็นเจ้าหลวง เราก็จะชักธงนี้ขึ้น”
คนพวกนี้คลี่ธงมาอ่านกันให้กันดู ในธงนั้น เขียนว่า “เรารักองค์ชายศิขรนโรดมเท่านั้น”
“พวกเราอาจจะถูกจับไปขังคุกก็ได้”
“ก็ดี เราจะได้รู้ความจริงว่าที่แท้เจ้าหลวงน่านปิงทรงเป็นคนเช่นไรกันแน่”
ที่ท้องพระโรง ศิขรนโรดมเดินหน้าขรึมออกมา ยืนในฝั่งของตน มิถิลา ตามมากับแม่นม และบราลีด้านนึง
“ดูเจ้าน้องสิ ทำไมหน้าเครียดๆ แบบนั้น ทำอย่างกับไม่ยินดีกับเจ้าพี่”
“จะมีใครยินดีกับเจ้าพี่เท่าเจ้าน้องพระองค์นี้ไม่มีอีกแล้วล่ะค่ะ พระนม”
บราลีแอบมองมิถิลาแบบไม่ชอบใจ
มุมบริเวณฝ่ายใน พวกนางในมากมาย มาชะเง้อชุมนุมกัน
“ถึงเวลาแล้วสินะ ที่เราจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่”
“จะดีกว่า หรือแย่ลงก็ไม่รู้นะ เจ้าหลวงองค์ใหม่ กับว่าที่พระเทวีองค์ใหม่ มาจากเมืองนอก”
“พวกเราคงจะได้มีชีวิตที่ทันสมัยขึ้นนะ พวกกฏเกณฑ์เก่าๆ ก็จะได้ยกเลิกกันให้หมด”
“อาจจะยกเลิกฝ่ายในไปเลยก็ได้ พวกข้าเก่าเต่าเลี้ยงที่ทรงเลี้ยงไว้กินฟรีอยู่ฟรีเต็มวังจะได้กลับไปทำมาหากินกันที่บ้านใครบ้านมันซะที”
ทุกคนอึ้ง เริ่มลังเล
จ้าวซันเดินออกมาที่ท้องพระโรง ทันที่ที่จ้าวซันมา ศิขรนโรดมรีบเดินไปรับ หน้าตายิ้มสดใสขึ้นมา เข้าไปจับมือจ้าวซันเดินมา
“ดูสิคะ พอเจ้าพี่ของท่านมา ท่านก็ลืมหมดทุกอย่างนั่นแหละ เห็นหรือยังล่ะคะ” มิถิลาบอก ภูสินทรเดินตามหลังจ้าวซันมาติดๆ มองซ้ายขวา ท่าทางระวังรักษาความปลอดภัยสุดๆ “ราชองครักษ์คนนี้ยังจะกลัวอะไรอีก เสี้ยนหนามทั้งหมด ก็แพ้ภัยพระองค์ไปหมดแล้ว” มิถิลาบอกอย่างเจ็บปวด บราลีกระแอม
“คุณมิถิลาคะ กันไว้ดีกว่าแก้ค่ะ อย่าประมาท เป็นดีที่สุด” มิถิลาน้ำตาไหล
“พระบารมีสูงส่งขนาดนี้ ใครขืนแข่ง ก็ต้องพินาศทั้งนั้น”
บราลีชักสงสาร เข้าไปจับมือไว้
“มิถิลา ฉันขอร้องล่ะ องค์น่านปิงทรงทำดีที่สุดแล้วนะคะ อย่าเกลียดพระองค์เลย”
ที่ทหารฝ่ายหน้าที่เฝ้าด้านหน้าวังอยู่ ขณะยืนตรงกันฝูงคนอยู่
“เราจะได้เจ้าหลวงองค์ใหม่แล้ว และนี่คือเจ้าหลวงที่แท้จริง”
“พ่อแม่ข้าบอกเสมอ ว่าองค์น่านปิงนรเทพ ต้องเป็นคนดี เข้มแข็ง ยุติธรรม เหมือนเจ้าหลวงพีริยเทพ ที่ล่วงลับไปแล้ว เป็นบุญจริงๆ ที่เราจะได้พระองค์กลับคืนมา”
“ข้าได้ยินมาว่าจะมีพวกต่อต้านพระองค์ ข้าขอตั้งปณิธาน ว่าข้าจะยอมตาย ไม่ยอมให้ใครมาหมิ่นองค์น่านปิงได้”
“ข้าก็เช่นกัน ใครมาต่อต้านองค์น่านปิง มันต้องตาย”
ที่ท้องพระโรง พระเทวีสิริวารตีหันมาพยักหน้ากับมาทยาธร
“ได้เวลาแล้วเพคะ”
อ่านต่อพรุ่งนี้ เวลา 09.30น.
นักดนตรีขึ้นเพลงใหม่ที่สง่างาม เจ้าหน้าที่ยกพานใส่ตราประจำพระองค์มา และพานใส่ชุดเสื้อคลุมยาวสีเหลืองปักทองนั้น วางเรียงลงที่โต๊ะ หน้าเจ้าหลวง ครูเฒ่าก้าวออกมา
“เชิญเสด็จองค์ชายน่านปิงนรเทพ พะย่ะค่ะ”
จ้าวซันเดินเข้าไป คุกเข่า หน้าเจ้าหลวงมาทยาธร มาทยาธรหยิบชุดเสื้อคลุมสีทองนั้นมา แล้วพยักหน้า
“ยืนขึ้น น่านปิงหลานลุง”
จ้าวซันยืน มาทยาธรสวมเสื้อคลุมเหลืองปักทองนั้นให้จ้าวซัน พระเทวีสิริวารตีน้ำตาไหล แม่นมพนมมือ
ทันทีที่การสวมเสื้อสีทองนั้นให้จ้าวซันเสร็จ มาทยาธรก็ทรุดลงคุกเข่าหน้าจ้าวซันโดยมีพระเทวีสิริวารตีช่วยพยุง
“ขอเจ้าหลวงทรงเจริญยั่งยืน”
พอมาทยาธรนั่งคุกเข่าลง ทุกคนตรงนั้นก็คุกเข่าตามกันหมด
“ขอเจ้าหลวงทรงเจริญยั่งยืน”
มิถิลา บราลีนั่งลง แม่นมนั่งลง พลางสะอื้น
“ทรงงามจริงจริ๊ง เจ้าหลวงพระองค์ใหม่ของเรา”
บราลีมองจ้าวซัน ปลื้ม จ้าวซันหันมามองหน้าบราลี พยักหน้าให้ บราลีก้มหัวตอบ
ที่บ้านอสุนี ทหารหน้าตาโหดสามคนมาประชุมล้อมเตียงอสุนี
“ที่ข้ายอมเป็นลูกที่อกตัญญูของท่านพ่อก็เพื่ออะไรล่ะ ไม่ใช่เพื่อให้องค์ชายศิขรนโรดมได้ขึ้นเป็นเจ้าหลวงที่มีอำนาจเป็นของพระองค์อย่างแท้จริง ขจัดอิทธิพลพวกทรราชย์ให้พ้นไปจากบ้านเมือง แต่แล้วเวลานี้ กลับมีคนอื่น เข้ามาชุบมือเปิบ”
“ท่านอสุนี โปรดวางใจ เจ้าหลวงองค์ใหม่ อันเป็นบุคคลแปลกหน้าของพวกเราอย่างสิ้นเชิงเช่นนี้ จะต้องพบว่าบ้านเมืองนี้ไม่ใช่ของหวานสำหรับพระองค์แน่”
“ทันทีที่ขึ้นครองราชย์ คนของพวกเราจะลุกขึ้นมาทวงบัลลังก์คืนให้องค์ศิขรนโรดมแน่นอน”
“ขอบใจ ขอบใจพวกท่าน เวลานี้ข้าไม่เหลือสหายอีกแล้ว นอกจากเพื่อนทหารชายแดนเช่นพวกท่าน”
ที่ท้องพระโรง มาทยาธรยกพานตราประจำพระองค์ ยืนตรงหน้าให้จ้าวซัน
“ตราประจำพระองค์พะย่ะค่ะ”
จ้าวซันรับมาทั้งพาน
ที่หน้าวัง พวกสนับสนุนจ้าวซันโบกธง ส่งเสียงเฮกัน
“ทรงเจริญยั่งยืนๆๆๆๆ”
พวกต่อต้านจ้าวซันสบตากัน
“เตรียมชักธงภาษาไทย ว่าเราต้องการองค์ศิขรเท่านั้น”
“ป้ายภาษาอังกฤษด้วย แล้วเอาไปโชว์ที่หน้ากล้องนักข่าวต่างประเทศ”
“อยู่นี่ ป้ายศิขรนโรดม อิสเอาเวอร์คิง แจกกันไปๆ เร็วๆ”
ตากล้อง นักข่าวต่างประเทศฝรั่ง ถ่ายภาพ และถ่ายวิดีโอประชาชนชาวคีรีรัฐ
ที่ท้องพระโรง จ้าวซันวางตราลงตามเดิม ดนตรีเงียบลง จ้าวซันหันไปพยักหน้ากับครูเฒ่า ครูเฒ่าพยักหน้ารับอย่างรู้กัน ครูเฒ่าลุกขึ้น ประกาศใหม่
“ขอเชิญเสด็จ องค์ชายศิขรนโรดม พะย่ะค่ะ” ทุกคนงง ครูเฒ่าหันไปหาวงดนตรี พยักหน้าให้ นักดนตรีงงๆ “ขอเพลงเมื่อกี๊อีกที” นักดนตรีเริ่มใหม่ ศิขรนโรดมงง มองมาที่ครูเฒ่า ครูเฒ่าพยักหน้าสำทับ “องค์ชายศิขรนโรดม พะย่ะค่ะ”
ศิขรนโรดมลุกขึ้น เดินมาหยุดหน้าจ้าวซัน แล้วนั่งบังคม ทุกคนงงหมด มิถิลาขมวดคิ้ว มาทยาธรกับพระเทวีสิริวารตีก็งง บราลีเข้าใจทันที ยิ้มออกมา จ้าวซันจับตัวศิขรนโรดมให้ลุกขึ้น
“ยืนขึ้น เจ้าน้องของพี่”
“เจ้าพี่ทรงทำอะไร”
จ้าวซันถอดเสื้อคลุมออก ทุกคนมองหน้ากัน เหรอหรา ครูเฒ่ายิ้ม ภูสินทรอึ้ง มึน คาดไม่ถึง จ้าวซันสวมเสื้อคลุมเหลืองปักทองให้ศิขรนโรดม
“เจ้าพี่ ทำไม”
จ้าวซันยิ้ม แล้วพอสวมเสร็จ จ้าวซันก็นั่งคุกเข่าลง
“ขอเจ้าหลวงทรงเจริญยั่งยืน” ทุกคนพูดตาม มาทยาธร พระเทวีสิริวารตีลังเล งงงัน –จ้าวซันอัญเชิญพานตราประจำพระองค์ขึ้นถวาย “ตราประจำพระองค์พะย่ะค่ะ”
ศิขรนโรดมรับไป หลายๆ คนร้องไห้ ปลาบปลื้ม ตื้นตัน
ทีวีวงจรปิดที่ติดตั้งให้ประชาชนดูหน้าวัง ถ่ายทอดภาพทั้งหมด พวกต่อต้านจ้าวซันผงะ เก็บธงแทบไม่ทัน บ้างทำป้ายหลุดมือ พวกโบกธง พากันเฮ ร้องไห้ ซึ้งใจ บ้างนั่งลง พนมมือเหนือหัว
“องค์น่านปิงนรเทพ ทรงเจริญยั่งยืน องค์ศิขรนโรดม ทรงเจริญยั่งยืน”
พวกนางใน ต่างตื้นตัน นั่งลง กราบ
“องค์น่านปิงนรเทพ ทรงเจริญยั่งยืน องค์ศิขรนโรดม ทรงเจริญยั่งยืน”
พวกทหาร ตกตะลึง ลืมตัว ตะโกน
“องค์น่านปิงนรเทพ ทรงเจริญยั่งยืน องค์ศิขรนโรดม ทรงเจริญยั่งยืน”
ที่บ้านอสุนี อสุนีลุก ทหารรับใช้พยุงนั่ง
“อะไรนะ เป็นความจริงหรือ”
ทหารหน้าโหดหันมา ลดวิทยุสื่อสารในมือลง
“เป็นความจริง องค์ศิขรนโรดมได้ทรงเป็นเจ้าหลวงแล้ว”
ทุกคนมองหน้ากัน ตื่นเต้น ดีใจ อึ้ง งง
ที่ท้องพระโรง ครูเฒ่ากับแม่นมน้ำตาไหล มิถิลาอึ้ง ภูสินทรทั้งงงและไม่เห็นด้วย ศิขรนโรดมน้ำตาไหล บราลียิ้ม ดีใจ จ้าวซันหันมา ยิ้มให้บราลี สุขใจ
หน้าวัง ประชาชน ทหาร แม้แต่พวกที่คิดจะต่อต้าน พากันแซ่ซ้อง เฮกัน
“องค์น่านปิงนรเทพ ทรงเจริญยั่งยืน องค์ศิขรนโรดม ทรงเจริญยั่งยืน”
เจดีย์ริมน้ำเวียงสาย จ้าวซันยืนหน้าเจดีย์ บราลีตามมา
“พ่อแม่ของน้อง ท่านจะว่ายังไงนะ ที่ท่านอุตส่าห์สละชีพเพื่อเรา แต่เรากลับสมัครใจที่จะสละทุกอย่างในแผ่นดินคีรีรัฐไป”
“น้องขอคิดเข้าข้างตัวเองนะเพคะ ว่าพ่อกับแม่จะต้องดีใจ ที่เราเลือกทำในสิ่งที่ทำให้ชีวิตของเรามีความสุข”
“ถึงอย่างไร เราก็ได้ช่วยกันจัดการทำให้คีรีรัฐอยู่เย็นเป็นสุข รอดพ้นจากพวกทรราชย์กบฏแล้ว”
“คนที่ทำกับพ่อแม่ ก็ได้รับกรรมไปหมดแล้วนะคะ”
“แต่ตอนนี้ เราไม่มีแล้วนะ บัลลังก์ ราชสมบัติ หรืออะไร ทำนองนั้น”
“ไม่เป็นไรค่ะ น้องไม่เสียดายเลย”
“แน่ใจนะ เท่นะ เป็นพระเทวีไม่ชอบหรือ”
“ไม่เป็นไรค่ะ แค่มีพี่คนเดียว อยู่กับน้องก็เท่พอแล้ว”
“ดีจัง พี่ก็เหมือนกันเลย แค่มีม่านฟ้าคนเดียวอยู่กับพี่ ทุกอย่างพี่ก็ไม่ต้องการ”
ทั้งสองกอดกัน มีความสุข ตื้นตันใจ
ฮ่องกง ตลาดที่ Cat Street มีของโบราณ และของเก่าวางขายเรียงรายอยู่ริมถนน ซูหลิงและฉินเจียงเดินช่วยเลือกซื้อของเก่าเอาไปเข้าร้านอย่างขันแข็ง ฉินเจียงชูสร้อยหยกจากร้านหนึ่งให้ซูหลิงดู ซูหลิงรับมาดูแล้วส่ายหน้าไม่เอา
ซูหลิงกำลังนั่งยองๆ เลือกชามเก่าๆ อยู่ที่อีกร้านหนึ่ง ฉินเจียงเข้ามาช่วยถือให้ ฉินเจียงเดินไปเรื่อยๆ แล้วมาหยุดดูดาบเงินเก่าๆ ใส่อยู่ปลอกสวยงาม อยู่ที่อีกร้าน ซูหลิงเข้ามาช่วยดู ทั้งสองคนกำลังช่วยต่อราคากับพ่อค้า
ฉินเจียงและซูหลิงเดินหอบของมาพะรุงพะรัง บางอันใส่อยู่ในกล่องขนาดใหญ่
“ถือดีๆ นะคะ ระวังแตก ไหวมั้ยเนี่ย”
“ไม่ต้องห่วง ระดับนี้แล้ว”
ฉินเจียงกำลังจะทำของหลุดมือ ซูหลิงรีบเข้าไปช่วยทัน
“นั่นไง เกือบไปแล้ว ให้ฉันช่วยถือดีกว่า”
“ของเก่าพวกนี้ถ้าเลือกไม่ดีก็โดนหลอกเอาง่ายๆ เหมือนกันนะ”
“ที่ฉันสอนหลักๆ ไป คุณเริ่มแยกออกหรือยัง” ฉินเจียงยักไหล่
“อะไรแพงก็ของจริง อะไรถูกก็ของปลอม”
“ไม่ได้นะ ดูอย่างนั้นไม่ได้ ตอนนี้ไม่ใช่แค่ร้านของฉันคนเดียวแล้วนะคะ คุณก็เป็นหุ้นส่วนด้วยเหมือนกัน จะมาทำแบบเล่นขายของไม่ได้”
“ดุนะ”
“จริงจังต่างหาก ไม่ได้ดุซะหน่อย”
ฉินเจียงกับซูหลิงเดินออกจากตลาดขายของเก่าไป
ที่ถนน Chun Yeung Street (Little Shanghai) เป็นแหล่งขายของสารพันจึงมีผู้คนจอแจ มีรถรางแล่นผ่านกลางตลาด ฉินเจียงและซูหลิงยืนอยู่ที่ถนนฟากหนึ่ง
“ตกลงกินก๋วยเตี๋ยวนะ เดี๋ยวผมไปซื้อให้”
ร้านก๋วยเตี๋ยวที่อยู่อีกฟากถนน คนแน่นร้าน ซูหลิงฉุดมือฉินเจียงไว้
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันไปซื้อเองดีกว่า”
“เอาน่า คุณเดินเลือกซื้อของเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว”
ฉินเจียงฝากของที่ซื้อมาไว้กับซูหลิง ก้มเอาของวางไว้กับพื้น ซูหลิงมอง สะท้อนใจ
“ฉินเจียง” ฉินเจียงเงยหน้าขึ้นมามองซูหลิง ยกมือขึ้นปาดเหงื่อ “ไหวแน่เหรอคะ”
“อะไร แค่วิ่งไปซื้อก๋วยเตี๋ยวแค่นี้อะนะ”
“เปล่าค่ะ ที่คุณจะย้ายมาอยู่ด้วยกันกับซูหลิงที่ร้าน ไหวแน่เหรอคะ”
ฉินเจียงลุกขึ้นมาจับมือซูหลิงไว้เพื่อสร้างความมั่นใจให้
“เราตกลงกันแล้วไม่ใช่เหรอ ผมขายคอนโดของผม เอาเงินบางส่วนมาลงทุนที่ร้าน มาอยู่ด้วยกัน มันเป็นทุกสิ่งที่คุณต้องการไม่ใช่เหรอ”
“ค่ะ แต่ฉันไม่อยากเห็นคุณลำบาก” ฉินเจียงหัวเราะขื่นๆ
“ลำบากอะไร ก็แค่เดินข้ามถนนไปซื้อก๋วยเตี๋ยว ต่อแถวอีกนิดหน่อย แป๊ปเดียวก็กลับมาแล้ว” ฉินเจียงยิ้ม พยายามทำให้บรรยากาศดีขึ้น “คุณรออยู่ตรงนี้แหละ ของคุณบะหมี่น้ำ พิเศษ ไม่ใส่ผักนะ”
ซูหลิงพยายามยิ้ม พยักหน้า ฉินเจียงทำท่าจะเดินข้ามถนนไปอยู่แล้ว ก็หันกลับมา วิ่งตรงมาหาซูหลิง ฉินเจียงหอมแก้มซูหลิง แล้ววิ่งข้ามถนนไป ซูหลิงยิ้มเขิน มองตาม ฉินเจียงหายเข้าไปในร้านก๋วยเตี๋ยวฝั่งตรงข้าม
คืนนั้นฉินเจียงนั่งที่ดาดฟ้าของร้าน เหม่อลอย ซูหลิงเดินมาข้างหลัง นวดไหล่และคอให้ ฉินเจียงเอียงคอ ดัดตนไปมา
“ขอบใจนะ ที่รัก”
“คุณต้องมาลำบาก เพราะฉันแท้ๆ”
“ชั้นเนี่ยนะ ลำบากเพราะเธอ เธอต่างหากที่ลำบากเพราะฉัน”
“แต่คุณต้องช่วยชั้น ทำในสิ่งที่คุณไม่เคยทำมากมากมายเลย”
ฉินเจียงจับมือซูหลิงมากุม
“ถ้าเธอไม่มีงานนี้ก็เท่ากับว่าเราไม่เหลืออะไรเลยนะ ทุกวันนี้งานขายของเก่าของเธอ ที่เลี้ยงฉันจริงๆ นะซูหลิง”
“ชั้นทำให้คุณต้องขายคอนโด”
“นังเหม่ยอิงตังหาก ที่มันตั้งใจจะรังแกเรา”
“ทำไมเค้าต้องจ้องที่จะจองล้างจองผลาญเราด้วยล่ะคะ”
“มันกับไอ้เกาเฟย”
“ตอนนี้เราก็ไม่ได้กีดขวางอะไรเขาแล้ว แต่เขาทำเหมือนกับอยากจะเหยียบเราให้จมดิน”
“ตอนนี้ ฉันไม่มีกำลังพอ แต่อย่านึกว่าฉันจะยอมพวกมัน ตอนนี้ฉันขอช่วยเธอสร้างเนื้อสร้างตัวให้ดีที่สุดก่อน ให้เธอยืนได้อย่างมั่นคงก่อน ชั้นเองไม่มีเวลาที่จะทำอะไรผิดพลาดอีกแล้ว ฉันต้องสู้คดีอีกนาน แล้วสุดท้ายก็ไม่รู้ว่าจะต้องติดคุกนานแค่ไหน”
“คุณเปลี่ยนไปมากนะคะฉินเจียง แต่ก่อนคุณไม่คิดแบบนี้ ไม่พูด หรือไม่ทำแบบนี้แน่”
“ฉันอ่อนแอมามากพอแล้ว ซูหลิง ถ้าฉันยังใช้แต่อารมณ์เหมือนสมัยที่ไอ้เกาเฟยมันคอยยุแหย่ ฉันก็คงต้องเป็นฝ่ายแพ้ แต่นี่ฉันตั้งใจจะเป็นฝ่ายชนะ ฉันต้องอดทน รอจังหวะ โอกาส ที่จะเล่นงานพวกมันทีหลัง”
“คุณโตเป็นผู้ใหญ่จริงๆ แล้วค่ะ ฉินเจียง”
“นังเหม่ยอิง มันไม่โชคดีทุกวันหรอก ฉันจะรอดูวันที่มันโชคร้าย แล้ววันนั้นจะเป็นวันของเราบ้าง”
สองคนมองกันอย่างอุ่นใจ
อีกด้านหนึ่ง เหม่ยอิงยืนอย่างสง่าในสายลมแรง สวมแว่นดำ กำลังฟังรายงานทางโทรศัพท์
“ขอบคุณมาก ดีมาก โอนเงินไปเลยตามนั้น โอเค ดี...ดี...”
เหม่ยอิงหัวเราะออกมา แล้วกดวางสาย สีหน้าเหม่ยอิง มีรอยยิ้มเยือกเย็น แต่แล้วก็ค่อยๆ จางไป เหม่ยอิงถอดแว่นออก ดวงตาว่างเปล่า อ้างว้าง แต่แล้วเหม่ยอิงกลับมีอาการตัวสั่น แล้วกอดตัวเองอย่างเหน็บหนาว แล้วค่อยๆถอยกลับไปที่รถ พิงข้างรถ แล้วกลับตัวงอลง ทรุดลงนั่งกับพื้นดินข้างรถ งอขดตัว สั่นๆๆ น้ำตาเหม่ยอิงไหลรินออกมา
เกาเฟยเดินมาตามหาเหม่ยอิง แต่รถบังตัวเหม่ยอิงไว้ เกาเฟยตกใจที่หาเหม่ยอิงไม่เจอ
“คุณหนูใหญ่ๆ เหม่ยอิง” เกาเฟยตกใจ ตื่นเตลิด มองหารอบตัว แล้ววิ่งหารอบรถ แล้วชะงักเมื่อเห็นเหม่ยอิงขดตัว นอนอยู่ข้างรถ “คุณหนู คุณหนูเป็นอะไรไปครับ”
เหม่ยอิงตัวสั่งเทา เงยมา มองหน้า
“เกา...เกาเฟย ชั้น...ชั้น...หนาว”
เกาเฟยคุกเข่าลงมา ดึงตัวเหม่ยอิงมากอด
“คุณหนู เป็นอะไร ไม่สบายหรือครับ”
“ชั้น...ชั้นไม่รู้”
“ผมจะพาคุณหนูใหญ่ไปหาหมอ” เกาเฟยประคองเหม่ยอิงให้ลุกขึ้น
“ชั้น..ชั้.นซื้อหุ้นในเครือฉินเย่ว์กรุป ได้มา40% แล้ว เวลานี้ ฉันคือผู้ที่ถือหุ้นใหญ่ที่สุด เกาเฟย แกรู้ไหมว่ามันไม่ยากเลย”
“คุณหนูทำได้เร็วมาก”
“เร็ว จนชั้นเองยังนึกไม่ถึงเลย”
“คุณหนูยึดอำนาจทั้งหมดได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดแล้วครับ”
“จ้าวซันรู้ตัวอีกที เขาต้องช็อกแน่ สมน้ำหน้า ไม่มีใครติดต่อเค้าได้เลย ดังนั้นถึงมีใครอยากส่งข่าวบอกเค้า ก็ไม่มีคนทำได้”
“ผู้ถือหุ้นอื่นๆ ก็ไม่ทราบ ใช่ไหมครับ”
“จะรู้ได้ไงล่ะ ก็โดนใช้ชื่ออำพรางเป็นสามบริษัทย่อยๆ ใช้นอมินีบังหน้าทั้งหมด”
“คุณหนูเยี่ยมมาก เก่งมาก”
เหม่ยอิงชะงักไปนิด
“แต่ไม่มีใครรู้ นอกจากแก ไม่มีใครชื่นชมชั้นเลย นอกจากแก”
“คุณหนู”
“ถ้าแม่ชั้นรู้ แทนที่จะชม เค้าคงด่า ถ้านังผิงอันน้องสาวชั้นรู้ก็คงจะสาปแช่ง ไม่มีใคร...ชั้นไม่มีใครที่จะมายินดีด้วยซักคน ชั้นไม่มีใครเลย” เหม่ยอิงร้องไห้ออกมา สะอึกสะอื้น แล้วผลักเกาเฟยออกห่าง
“คุณหนู”
เหม่ยอิงถือขวดไวน์ เดินกินจากขวดไปตามริมถนน ท่ามกลางตึกระฟ้าหรูหรามากมาย เกาเฟยเดินตามอย่างห่วงใย เหม่ยอิงกรอกเหล้าเข้าปาก แล้วก็เดินไปเรื่อยๆ
“คุณหนู พอเถอะครับ”
“พออะไร ชั้นกำลังเลี้ยงฉลอง แกไม่เห็นเหรอ”
“เราเข้าไปฉลองในร้าน หรือโฮเต็ลดีๆ ไม่ดีหรือครับ”
“ชั้นจะฉลองกับฮ่องกงทั้งเมือง ชั้นไม่ได้อยากฉลองคนเดียว”
“คุณก็ฉลองกับผมไง”
“ไม่...ชั้นไม่อยากฉลองกับแก ไปให้พ้น”
เหม่ยอิงผลักเกาเฟย แล้วเดินกระดกไวน์จนหมดขวด แล้วพยายามเขย่าๆ แต่ไม่เหลือแล้ว เดินไป ทิ้งขวดในถังขยะ แล้วเดินร้องเพลงไปคนเดียว
“จิงเกิ้ลเบลๆ จิงเกิลออนเดอะเวย์ โอวัทฟัน อิทอิสทูไนท์ อินอะวันฮอร์สโอเพ่นสเลย์ เฮ้ จิงเกิดเบลๆๆ”
เหม่ยอิงหมุนรอบตัว กางแขน เต้นไปมา เมามากๆ โซเซ เกาเฟยมองตามเศรัาๆ
วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 15 (ต่อ)
ที่คีรีรัฐ แถวบ้านราชิด สภาพทรุดโทรม เงียบเหงา ไม่มีทหารยืนรักษาการณ์อยู่ด้านหน้าแล้ว ภายในห้องอสุนียังนอนอยู่บนเตียงเพ้อไม่ได้สติ มีหมอหลวงกำลังตรวจอาการอยู่ใกล้ๆ
“ไม่...ต้องไม่ใช่เจ้า...ตายซะเถอะ...” หมอหลวงชะงัก ถอยออกมาดูอาการ “องค์ชายศิขรนโรดม ช่วยด้วยๆ”
หมอหลวงค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมามองมิถิลาเป็นเชิงตำหนิ ไม่พอใจ มิถิลาทำเป็นไม่ได้ยินที่อสุนีละเมอ แกล้งไปถามหมอเพื่อเบนความสนใจ
“ตกลง ไม่เป็นอะไรมากใช่ไหมคะ”
“บอกไปแล้วไม่ใช่หรือ” มิถิลาก้มหน้าสลด หมอหลวงชี้ส่วนต่างๆ ของอสุนีพร้อมอธิบายให้มิถิลาดู อย่างแกนๆ “ข้อเท้าข้างขวาหัก กระดูกซี่โครงอาจจะร้าว คงต้องดูอีกที นอกนั้นก็มีแค่พวกรอยฟกช้ำตามตัว”
“แล้ว เมื่อไหร่ถึงจะฟื้นล่ะหมอ”
“จะอยากให้ฟื้นทำไม”
มิถิลามองหน้าหมอหลวง
“ฟื้นมาก็ทรมานเปล่าๆ ยาระงับปวดที่ฉีดไปก็จวนจะหมดฤทธิ์แล้ว”
“โอยยย โอยยย”
มิถิลามองดูอสุนีครวญครางด้วยความเป็นห่วง
“ต้องฉีดให้อีกไหมหมอ”
“ไม่จำเป็น” หมอหลวงเก็บของใส่กระเป๋า พูดพร้อมเตรียมตัวออกจากห้อง “ฟื้นขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ให้กินยาที่วางอยู่นี่แทนแล้วกัน ให้ข้ามาฉีดยาทุกสี่ชั่วโมงคงไม่ไหวหรอก”
ซองยาเล็กๆ วางอยู่บนโต๊ะ มิถิลาเอื้อมไปหยิบมาดู หมอหลวงออกจากห้องไป ท่าทางไม่ค่อยสนใจใยดีนัก
“น้ำ...หิวน้ำ...”
อสุนีขยับ เริ่มรู้สึกตัว มิถิลาหันไปดู รีบวิ่งไปรินน้ำจากเหยือกแล้วค่อยๆ ประคองให้อสุนีลุกขึ้น
“นั่งดีๆ ก่อนพี่ เอ้า...นี่น้ำ ค่อยๆ ดื่มนะ ปวดมากไหม”
อสุนีส่ายหน้าช้าๆ
“ทนได้”
“ทีนี้มาทำปากดี” อสุนีดื่มน้ำจนหมดแก้ว “คิดยังไง จะฆ่าตัวตาย บ้าหรือเปล่า? ตายแล้วมันช่วยอะไรได้”
“ก็...อยากพิสูจน์”
“พิสูจน์? พิสูจน์อะไร พิสูจน์ว่าองค์ชายรักพี่หรือเปล่าน่ะเหรอ”
อสุนีนิ่งไม่ตอบ ส่งแก้วเปล่าให้มิลิถา มิถิลารับมา ทำหน้าสงสัย
“องค์ชายเป็นยังไงบ้าง ทรงโกรธข้าหรือเปล่า”
“องค์ชายไหน”
“จะองค์ชายไหนอีกล่ะ ก็มีอยู่องค์เดียวที่ข้า...ที่ข้า...รัก”
“นั่นไง ยอมรับออกมาแล้ว”
“เดี๋ยวเถอะมิถิลา”
อสุนีขยับลุกขึ้นจะเล่นงานมิถิลา แต่ก็เจ็บแผลตามตัว
“โอ๊ยยย”
“ดี สมน้ำหน้า”
“ตกลงองค์ชายศิขรเป็นไงบ้าง”
“ไม่มีอีกต่อไปแล้ว องค์ชายศิขรอะไรของพี่”
“หา...ว่าไงนะ เกิดอะไรขึ้น องค์ชายโดนลอบปลงพระชนม์ใช่ไหม เล่ามาสิ เร็ว”
อสุนีลืมตัวลุกขึ้นมานั่งอย่างรวดเร็ว แล้วรีบกระเผลกเดินไปเขย่าตัวมิถิลา
“โอ๊ย”
มิถิลารำคาญ สะบัดตัวออก
“องค์ชายศิขรไม่มีแล้ว... มีแต่ “เจ้าหลวงศิขรนโรดม” อสุนีตะลึง
“จริงหรือ”
เช้าวันรุ่งขึ้น พระสงฆ์กำลังเดินบิณฑบาต ชาวบ้านผู้หญิงสองคนกำลังนั่งใส่บาตรอยู่อย่างนอบน้อม ชาวบ้านใส่บาตรเสร็จพนมมือไหว้ท่วมหัว พระเดินจากไป ชาวบ้านหญิงกำลังจะลุกขึ้น แต่ชาวบ้านหญิงอีกคนดึงซิ่นไว้เป็นสัญญาณบอกให้นั่งลง
“อะไรเล่า จะดึงข้าไว้ทำไม”
ชาวบ้านหญิงมองไปทางหนึ่ง ตะลึงพูดไม่ออก
“ของข้าหมดแล้ว ไม่มีให้ใส่แล้ว”
ชาวบ้านหญิงเอานิ้วชี้ไปทางที่กำลังมองอยู่ ยังคงช็อกพูดไม่ออก ชาวบ้านหญิงอีกคนหันกลับไปมอง เห็นศิขรนโรดมและจ้าวซันในชุดลำลองเดินเคียงคู่กันมา ข้างหลังเป็น หัวหน้าหมู่บ้าน บราลีและข้าราชบริพารในชุดประจำชาติ
“หัวหน้าหมู่บ้าน ทำไมเหรอ”
“ไม่ใช่ ดูดีๆ สิ”
จ้าวซันและศิขรนโรดมกำลังทักทายปราศรัยอย่างไม่ถือตัวกับชาวบ้านที่มาเข้าเฝ้าทั้งสองฝากถนน ชาวบ้านหญิงช็อก ตาค้าง มือไม้สั่น รีบทรุดนั่งลง
“อะ...องค์...เจ้าหลวง”
“ลุกเร็ว รีบไปเข้าเฝ้าใกล้ๆ ดีกว่า”
หญิงทั้งสองคนวิ่งไป มีชาวบ้านคนอื่นๆ กรูกันมา ส่งเสียงโห่ร้องยินดี
“องค์เจ้าหลวงๆ องค์เจ้าหลวงเสด็จ”
ชาวบ้านอีกคนซึ่งก็คืออสุนีที่ปลอมตัวมาด้วยการแต่งตัวมอซอ มีผ้าคลุมหน้า ค่อยๆ เดินกระเผลกตามไป ศิขรนโรดมและจ้าวซันทรงรับดอกไม้ป่าดอกเล็กๆ ที่ประชาชนเอามาถวาย
“โอย ดีใจจริงๆ ที่ได้ชื่นชมพระบารมีใกล้ๆ”
“งามสง่าทั้งสองพระองค์เลย”
“ใช่ๆ”
“ฉันเห็นแล้วปลาบปลื้มใจ น้ำตาจะไหลบอกไม่ถูก”
เสียงชาวบ้านโห่ร้องแสดงความยินดีดังเซ็งแซ่
“องค์เจ้าหลวงๆๆ”
ศิขรนโรดมยิ้มทักทายให้ชาวบ้านอย่างเป็นมิตร ชาวบ้านขอจับมือ แล้วเทิดไว้ที่ศีรษะ ศิขรนโรดมรับพืชผักผลไม้ที่ชาวบ้านเอามาถวาย จ้าวซันเข้ามาช่วยถือแล้วส่งให้ข้าราชบริพารต่อไป
“ทรงเหนื่อยไหมพะย่ะค่ะ” จ้าวซันถาม
“ไม่รู้สึกเหนื่อยเลย ให้เราเดินแบบนี้ทั้งวันก็ยังไหว”
“ดูประชาชนของพระองค์สิ พวกเขาชื่นชมพระบารมีมากแค่ไหน”
“เจ้าพี่อย่าตรัสแบบนี้เลย น้องยังไม่ได้ทำอะไรที่สมควรชื่นชมเลยซักอย่าง” จ้าวซันหันไปมองหน้าศิขรนโรดม “น้องจะต้องดูแลบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้พวกเขาก่อน ให้สมกับที่เขาหวังกัน”
จ้าวซันยิ้มกว้างให้ศิขรนโรดมอย่างจริงใจ
“หม่อมฉันตัดสินใจไม่ผิดจริงๆ นับว่าเป็นโชคดีของชาวคีรีรัฐทุกคนแล้ว”
“เจ้าพี่ตรัสเกินไป หม่อมฉันยังต้องการคำแนะนำจากเจ้าพี่อีกมาก”
ทั้งคู่ยิ้มให้กันอย่างมีความสุข บราลีเห็นก็พลอยมีความสุขไปด้วย
สักพักบราลีเหลือบไปเห็นผู้ชายที่น่าสงสัยมีผ้าคลุมหน้าปะปนอยู่ในกลุ่มชาวบ้าน ชายคนดังกล่าวรีบดึงเอาผ้าคลุมลงมาปิดหน้า แล้วเดินหลบออกจากกลุ่มคนไป บราลีเห็น ไม่แน่ใจ รีบค่อยๆ หลบออกจากขบวนเสด็จ ชะเง้อมองหาชายคนดังกล่าว ชายคนนั้นรีบเดินกระเผลกแล้วเดินหนีไป บราลีรีบวิ่งตาม
บราลีเห็นชายที่น่าสงสัยเดินกระเผลกเข้าเลี้ยวเข้าไปในทางเดินเล็กๆ ในหมู่บ้าน บราลีวิ่งตาม แต่พอไปถึงกลับไม่เจอใคร บราลีเห็นชาวบ้านคนหนึ่งที่เดินอยู่แถวนั้น รีบวิ่งไปถาม พยายามทำท่าอธิบายลักษณะต่างๆ ชาวบ้านส่ายหน้า ไม่รู้ไม่เห็น
ขณะที่กำลังคุยกับชาวบ้าน ด้วยหางตาบราลีเหลือบไปเห็นแผ่นหลังของชายคนนั้นเดินหายเข้าไปอีกซอย
บราลีรีบวิ่งตามไป ชายคนนั้นหลบอยู่ที่ซอกเล็กๆ ระหว่างบ้านสองหลัง รอจนเห็นบราลีวิ่งผ่านไป จึงออกมาจากที่ซ่อน
ชายในชุดผ้าคลุมรีบเดินออกมา แล้วย้อนกลับไปอีกทาง
“เดี๋ยว หยุดก่อน” ชายคนนั้นชะงัก ไม่หันกลับไปมอง บราลีค่อยๆ เดินเข้ามาทางข้างหลัง “คิดจะทำอะไร ทำไมต้องมาหลบๆ ซ่อนๆ”
“ไม่ใช่ธุระอะไรของท่าน”
“พอได้แล้วนะ อสุนี!” ชายคนนั้นตกใจ แต่ยังไม่หันไปหาบราลี “สมใจเจ้าแล้วไม่ใช่เหรอ องค์ชายศิขรนายของเจ้าก็ได้เป็นเจ้าหลวงแล้วนี่”
“พูดพล่ามอะไร ข้าไม่รู้เรื่อง”
“ได้ งั้นไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร มาที่นี่ด้วยจุดประสงค์อะไรก็ตาม เราขอพูดให้เจ้าฟังไว้หน่อยแล้วกันนะว่า ช่วยเลิกปองร้ายองค์ชายน่านปิงนรเทพได้แล้ว” ชายคนนั้นเงียบ พยายามเดินต่อไป แต่ก้มหน้าลงให้ผ้าคลุมหน้ามาปิดมากขึ้น บราลีค่อยๆ เดินตาม “คีรีรัฐกำลังสงบสุข อย่าทำให้มีเรื่องอะไรอีกเลย”
“ได้ และก็ถึงเวลาที่พวกเจ้าจะกลับไปในที่ที่พวกเจ้ามาได้แล้วเหมือนกัน”
บราลียืนนิ่ง ชายคนนั้นเดินต่อไปแล้วถอดผ้าคลุมออกเผยให้เห็นเป็นอสุนี
ห้องเสวยอาหาร แม่นมกำลังสั่งพวกนางในที่กำลังวุ่นวายในการจัดโต๊ะอาหาร
“เอ้า เร็วๆ เข้า เสวยวันนี้นะ เร่งมือกันหน่อย พวกในครัวเขาเชิญเครื่องมาวางรอเต็มแล้ว พวกจาน ชาม มีด ส้อม แก้วน้ำยังไม่ครบเลย”
มิถิลาเดินยกถาดใส่แก้วน้ำเจียรนัยออกไป นางในสองคนที่กำลังจัดวางผ้าเช็ดปาก ตามตำแหน่งเก้าอี้ มองมิถิลาด้วยความหมั่นไส้ มองหน้ากัน พยักหน้าให้สัญญาณ
นางในคนหนึ่งแกล้งเดินถือถาดอาหารเข้ามาเฉียดจนทำให้มิถิลาต้องเบี่ยงตัวหลบ นางในอีกคนแกล้งยื่นขามาขัด จนทำให้มิถิลาสะดุด
“โอ๊ย”
นางในแกล้งร้อง มิถิลาเสียหลัก นางในอีกคนเข้ามาช่วยเสริมแรงผลักไหล่มิถิลาให้ล้มคะมำไป ทันใดนั้นก็มีเสียงแก้วแตกกระจาย แก้วน้ำอย่างดีหรูหราแตกกระจายกระเด็นเต็มพื้น
“หมด...หมด...หมดกัน” แม่นมบอกอย่างตกใจ นางในแกล้งมาช่วยพยุงมิถิลาให้ลุกขึ้น นางในอีกคนเอาถาดมาช่วยเก็บเศษแก้วให้ แม่นมเดินเข้ามาเห็น จะเป็นลม “ตายแล้ว”
นางในคนอื่นๆ รีบเข้ามามุง นางในคนที่ประคองมิถิลาอยู่ทำเสียงดังเพื่อประจานให้รู้โดยทั่วกัน
“ยัยดอกแก้ว เธอไปเกะกะคุณมิถิลาท่านทำไม ท่านไม่ถนัดการทำงานหนักๆ แบบนี้ ไม่รู้หรือ”
“อะไรนะ” มิถิลายังงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“เธอนั่นแหละ แม่สร้อยเสี้ยว กล้าให้คุณมิถิลายกของหนักๆ ด้วยเหรอ โอ๊ยย ไม่รู้หรือไง ว่าเราต้องหัดกราบ หัดไหว้ท่านไว้แต่เนิ่นๆ เป็นยังไงมั่งคะ คุณมิถิลา เราสองคนของอภัยเป็นอย่างสูงนะคะ”
“แล้วจะทำยังไงกันดีล่ะทีนี้ เดี๋ยวได้โดนเล่นงานหมดแน่ แล้วนี่ใครทำ สารภาพมาซะดีๆ คนทำต้องรับผิดชอบ
เธอหรือมิถิลา ทำไมเป็นคนมือห่างเท้าห่างนักนะ” แม่นมต่อว่า
“อุ๊ยๆ คุณพระนม คุณจะว่าคุณมิถิลาแบบนี้ไม่ได้นะคะ”
“ทำไมฉันจะว่าไม่ได้”
“ก็ แหม...คุณมิถิลาจะได้เป็นว่าที่พระเทวีคนไปเชียวนะ แม่นมไปว่าสุ่มสี่สุ่มห้า ออกไปอาจจะโดนตัดหัวก็ได้ ใครจะไปรู้”
“ฉันไม่สนเด็กคนนี้ ฉันฝึกมากะมือ ฉันก็จะดุว่าเหมือนเดิม หรือไงมิถิลา เดี๋ยวนี้ข้าแตะต้องเจ้าไม่ได้จริงๆ หรือ”
มิถิลาโกรธ ลุกขึ้นยืน
“พอได้แล้ว ทำแบบนี้มันเกินไปแล้ว เมื่อกี้ฉันไม่ผิด สองคนนี้มันรวมหัวกันแกล้งฉัน”
“มิถิลา! พูดจาให้มันไพเราะหน่อย เป็นถึงนางในของวังหลวง อย่านึกว่ามีบุญวาสนาแล้วจะพูดจะทำอะไรก็ได้” แม่นมต่อว่า
“แม่นม! ฉันไม่เคยคิดว่าฉันมีวาสนาอะไร และฉันก็จะไม่ทนพูดดีกับคนพวกนี้ไปอีกต่อไปแล้ว ความอดทนของคนเรามันก็มีขีดจำกัดเหมือนกัน” มิถิลาหันมาหาพวกนางใน ถลกแขนเสื้อเตรียมพร้อมลุย “มาเลย ใครอยากมีเรื่องกับฉันก็เข้ามา” นางในสองคนรีบหลบไปหลังแม่นม “แน่จริงอย่าหลบสิ ทำกับฉันแบบนี้ทำไม ฉันเคยไปทำอะไรให้ใคร ฉันไม่เคยทำตัวเห่อเหิมอะไรเลย กลับเจียมตัวด้วยซ้ำ แล้วชั้นก็ไม่เคยคิดที่จะเป็นใหญ่เป็นโตอะไรทั้งนั้น”
ทั้งห้องเงียบ อึ้ง
“พอแล้ว มิถิลา! นี่ยังไม่ทันไร เจ้าก็กล้าขึ้นเสียงใส่หน้าข้าแล้วหรือ ถ้าสักวันเธอต้องเป็นเจ้านางขึ้นมาจริงๆ เธอก็คงยิ่งใหญ่คับวัง จนไม่เห็นหัวผู้เฒ่าผู้แก่อย่างข้าเลยสิ นี่ล่ะนะ เชื้อไม่ทิ้งแถว นิสัยพ่อแท้ๆ” แม่นมต่อว่า นางในสองคนยิ้มเยาะสะใจ มิถิลาตาแดงๆ จะร้องไห้ แต่แล้วก็วิ่งออกไป พวกนางในคนอื่นๆ วิ่งหลบกันจ้าล่ะหวั่น “หยุดทำกิริยาต่ำๆ แล้วกลับมา มิถิลา”
มิถิลาไม่สนใจวิ่งออกไปไม่หันกลับมา แม่นมส่ายหน้าระอา นางในคนอื่นมองหน้ากัน เม้าท์กันสนุกปาก
อุทยานในวัง ศิขรนโรดมช่วยพามาทยาธรให้เกาะแขนเดิน พระเทวีสิริวารตีเดินเคียง คุยกันไป
“ลูกตั้งใจไว้แล้วว่าต่อจากนี้ไปลูกจะออกไปดูความเป็นอยู่ของราษฎรในจังหวัดไกลๆ ด้วยตัวลูกเองทุกสัปดาห์”
“เอาแค่ทุกเดือนให้ได้ก่อนเถอะ”
“ไม่ได้เจ้าแม่ เดือนละครั้งมันน้อยเกินไปยังมีประชาชนตามป่าเขาอีกมากมายที่กำลังเดือดร้อน”
มาทยาธรขำ หัวเราะเบาๆ
“ไฟแรงจริงนะเจ้าหลวง”
“ดีแล้ว แต่ระวังอย่าให้ไฟมันมอดลงเร็วนักล่ะ”
“น้องล่ะก็ ไม่ให้กำลังใจลูกบ้าง ดีแล้วล่ะศิขร ถือว่าทำแทนในส่วนที่พ่อไม่เคยได้ทำแล้วกัน นี่ถ้าพ่อเดินได้เป็นปกติก็...”
มาทยาธรก้มมองขาตัวเอง ที่ยังกระเผลกๆ นิดๆ รู้สึกสลดใจ ศิขรนโรดมรีบเปลี่ยนเรื่อง
“น่าจะได้เวลาอาหารกลางวันแล้ว”
“นั่นสิ เจ้าพี่ เชิญเสด็จเพคะ”
ทั้งสามเดินจะเข้าไป แม่นมเดินมาพอดี
“นั่นพระนมคงมาตามเรา พระนมคะให้มิถิลาไปเชิญเสด็จเจ้าพี่กับม่านฟ้าด้วย” ศิขรนโรดมบอก
“อะไรกัน ใช้เด็กๆ ไม่ดีกว่าหรือ จะใช้มิถิลาเขาได้อย่างไร” มาทยาธรแย้ง ศิขรนโรดมอึ้งนิดๆ พระเทวีสิริวารตีหัวเราะ
“นั่นสิ ยังจะให้เขาวิ่งไปวิ่งมาเท่ากับนางในเด็กๆ อีกหรือลูก จริงสิแม่นม แม่นมควรจะฝึกให้มิถิลาเขาให้เตรียมถวายตัวได้แล้วนะ”
“ให้เขามาร่วมโต๊ะเสวยก็ได้นะ ลูก” แม่นมตกใจ
“ทูลกระหม่อมเพคะ จะดีหรือเพคะ”
“ดีสิ ดีมากเลย มา...เดี๋ยวหม่อมฉันไปตามมิถิลาเอง” ศิขรนโรดมดีใจรีบไปทันที
“เจ้าหลวงเพคะ อย่าเลยเพคะ หม่อมฉันจะจัดการให้ ทรงเป็นเจ้าหลวงแล้วไม่เหมาะเพคะ” แม่นมรีบบอก
“ทำไมจะไม่เหมาะ ใช้แม่นมสิ ไม่เหมาะ แม่นมเป็นผู้หลักผู้ใหญ่แล้ว ฉันสิ ต้องจัดการเอง”
ศิขรนโรดมหันมายิ้มมีความสุขกับมาทยาธร และพระเทวีสิริวารตี แล้วยิ้มๆ วิ่งขึ้นไปบนตำหนักอย่างร่าเริง แม่นมมองตาม หน้าตาหนักใจ
ศิขรนโรดมเดินไปตามระเบียงตำหนัก นางในสองคนที่สวนมารีบคุกเข่าทันที
“มิถิลาอยู่ไหน”
นางในทั้งสองมองหน้ากัน
“มิถิลา อาจจะกลับไปที่ห้องพักแล้วก็เป็นได้เพคะ”
“กลับไปทำไม ไม่มีหน้าที่อะไรต้องทำหรือวันนี้”
“เอ่อ..ก็มีเพคะ แต่...เขาอาจจะไม่สบาย”
“ไม่สบาย เป็นอะไร”
สองนางในอ้ำอึ้ง แม่นมเดินเร็วๆ มา หน้าตาซีดๆ หอบๆ
“ทรงรออยู่ตรงนี้เถอะเพคะ นี่ พวกเธอ ไปตามมิถิลามาเดี๋ยวนี้”
สองนางในสบตาแม่นม แล้วต่างก้มหน้า
“เจ้าค่ะ พระนม”
ทั้งสองรีบไป ศิขรนโรดมยืนรออยู่ตรงนั้น หันมายิ้มกะแม่นมที่ยังหอบๆ อยู่
“ดูสิ แล้วแม่นมทำไมต้องวิ่งมาด้วยคะ เดี๋ยวเป็นลมเป็นแล้งไปล่ะแย่เลย”
“หม่อมฉันแก่ แต่ก็ไม่ถึงกับหง่อมหรอกเพคะ ยังพอจะมีเรี่ยวแรง และมีความคิดเห็นอยู่บ้าง หากฝ่าบาทจะทรงรับฟัง”
“พูดแบบนี้ แปลว่ามีอะไรจะบอกหรือคะ”
“ฝ่าบาท” แม่นมน้ำตาคลอ “เวลานี้ ทรงเป็นเจ้าหลวงแล้ว ทรงเป็นผู้ใหญ่แล้ว ต้องทรงพระทัยเย็นๆ หน่อยอย่าเพิ่งทรงด่วน รักชอบใครเลยเพคะ น่าจะทรงวางองค์เป็นเจ้าหลวงหนุ่มโสด ให้ราษฎรชื่นชมไปนานๆ และให้นานาชาติเขาได้ปลาบปลื้มในเจ้าหลวงรูปงามวัยเยาว์ของเรา นะเพคะ หม่อมฉันขอ” แม่นมทรุดกราบลงแทบเท้า ศิขรนโรดมตกใจ รีบประคองขึ้น
“แม่นม อะไรกัน”
“ทรงพระเยาว์นัก ยังทอดพระเนตรเห็นโลกแคบๆ อยู่เลย ในแผ่นดินของเราก็มีสตรีงามอีกมาก น่าจะทรงได้เปิดพระทัย ได้ทรงรู้จักกับใครๆ ให้มากกว่านี้ คนที่เหมาะสม คู่ควรกว่านี้” ศิขรนโรดมชักไม่สบายใจ
“แม่นม นี่มันอะไรกัน แม่นมไม่ชอบมิถิลาหรือ”
นางในสองนางวิ่งกับมา หน้าตาตื่นๆ
“ขอเดชะ พระอาญามิพ้นเกล้า มิถิลาไปแล้วเพคะ”
“ไปแล้ว ไปยังไง”
“ก็หนีไปแล้วไงเจ้าคะ พระนม ในห้องไม่มีแล้ว แล้ว...เขา...เขา ทิ้งจดหมายไว้ ให้พระเทวีด้วยเจ้าค่ะ” ในมือนางในถือกระดาษพับๆ ศิขรนโรดมดึงกระดาษนั้นมาดู รีบคลี่อ่านแล้วตกใจ
“บ้าแล้ว”
“เกิดอะไรขึ้นหรือเพคะ”
“มิถิลาเขา...ขอลาออก จากการทำงานที่นี่”
ศิขรนโรดมซีด นิ่ง ขรึมไป สองนางในมองศิขรนโรดมแบบเสียดาย แม่นมยืนอึ้ง
ฉินเจียงหัวเราะขื่นๆ ผิงอันสังเกตเห็น
“พี่ชายใหญ่คงยุ่งแหละ ถึงไม่กลับมาซะที”
ฉินเจียงมองๆ แล้วลูบผมผิงอัน
“หิวไหม กินอะไรมาหรือยัง ตรงโน้นมีร้านก๋วยเตี๋ยวอร่อยอยู่เจ้านึง ไปกินด้วยกันไหม” ผิงอันมองตามไปยังร้านก๋วยเตี๋ยวเก่าๆ โทรมๆ ที่ฉินเจียงบอก ผิงอันหันกลับมามองฉินเจียง สงสาร เห็นใจ มองฉินเจียงด้วยแววตาที่เปลี่ยนไป “ร้านมันอาจจะดูไม่ดีนะ แต่อร่อยอย่าบอกใครเชียว”
“เก่งเนอะ เป็นแค่ร้านเล็กๆ ดูไม่ดีเท่าไหร่ แต่ก็ทำให้ลูกค้าติดได้ขนาดนี้”
ผิงอันพยายามให้กำลังใจฉินเจียง เพื่อสู้กับเรื่องร้านขายของเก่าต่อไป ฉินเจียงเข้าใจ รับคำ
“อืมม จริงด้วย”
“ซื้อกลับไปกินที่ร้านพี่ดีกว่า มื้อนี้ฉันเลี้ยงเองแล้วเดี๋ยวเราไปซื้อขนมร้านโน้นไปฝากพี่ซูหลิงกันเนอะ”
ฉินเจียงยิ้ม พยักหน้า ผิงอันทำท่าจะข้ามถนน ยืนลังเลอยู่สักพัก ฉินเจียงเดินเข้าไปจับมือผิงอัน ผิงอันมอง แปลกใจ ฉินเจียงจูงผิงอันเดินข้ามถนนไป ทั้งคู่หายไปในร้านก๋วยเตี๋ยว
ที่คีรีรัฐ วัดริมแม่น้ำเวียงสาย บรรยากาศภายในวัดดูสงบ ร่มรื่น มีแม่ชี 2 คนกำลังกวาดลานวัดอยู่ มิถิลาเดินถือห่อผ้าเข้ามาแต่ไกล ตรงเข้ามาหาแม่ชีคนหนึ่ง ตาแดงๆ
“แม่ชี ฉันจะมาขอบวชที่นี่ ต้องทำยังไงบ้างเจ้าค่ะ”
“จะบวชเหรอ” แม่ชีพิจารณามิถิลาตั้งแต่หัวจรดเท้า มองหน้าแม่ชีอีกคนเพื่อปรึกษา “ทำยังไงดีล่ะ”
“เจ้าสำนักตอนนี้ออกธุดงค์อยู่ในป่า ไม่รู้จะกลับมาเมื่อไหร่” แม่ชีบอกกับมิถิลา
“โยมกลับคิดให้ดีๆ ก่อน แล้วค่อยกลับมาใหม่วันหลังนะ” แม่ชีอีกคนบอก
“คิดดีแล้วเจ้าค่ะ ฉัน...ฉันทนอยู่ไม่ได้แล้วจริงๆ ฉันไม่มีที่พึ่งที่ไหนอีกแล้ว แม่ชีอนุญาตให้ฉันบวชเถอะนะเจ้าคะ”
“การบวชที่นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นะ ไม่ใช่คิดจะบวชก็มา คิดจะสึกก็ไป”
“ดิฉันตั้งใจจะบวชไม่สึกเจ้าค่ะ จะขอบวชให้พ่อด้วย ทดแทนบุญคุณท่าน” มิถิลาเริ่มสะอื้น น้ำตารื้น แม่ชีสองคนมองหน้ากัน “ช่วยโกนหัวให้ฉันเลยได้ไหมค่ะ”
“พาเข้าไปในสำนักก่อนดีกว่า”
“รอท่านเจ้าสำนักกลับมา แล้วค่อยดูว่าท่านจะว่ายังไง”
“ให้บวชไม่ได้” ทุกคนหันไป เห็นเจ้าสำนักเดินมาด้วยอาการสงบเย็น น่าเลื่อมใสศรัทธา “ยังร้องไห้ตาแดงมาแบบนี้ ไม่มีใครเขาบวชให้หรอก จะบวชจริงใจต้องพร้อมก่อน การบวช ไม่ใช่การซับน้ำตา ถ้าจิตยังเศร้าหมอง บวชไปก็แก้อะไรไม่ได้ จะทำให้ผ้าขาวมัวหมองซะเปล่าๆ มีแม่ชีเที่ยวเดินร้องไห้ร่ำไรพิลาปรำพัน มันไม่เหมาะ ทำใจให้สงบได้ก่อน แล้วค่อนมาคุยกันใหม่” มิถิลาอึ้ง “ทำได้ไหม ใจสงบน่ะ”
มิลิถาพนมมือ น้ำตาไหลอาบแก้ม
“ได้ ได้สิเจ้าคะ” มิถิลาป้ายน้ำตาไปมา เจ้าสำนักมองมิถิลา ส่ายหน้า
ศิขรนโรดมนั่งเงียบขรึมอยู่ จ้าวซันยืนมอง หนักใจ
“เจ้าหลวงพะย่ะค่ะ”
ศิขรนโรดมชะงัก หันมา แล้วทำหน้าเบื่อๆ
“เจ้าพี่ หยุดเรียกหม่อมฉันแบบนี้เสียที เรียกหม่อมฉันเหมือนเดิมดีกว่า”
“ไม่ได้หรอก ฝ่าบาทต้องทรงทำพระทัยให้ชิน”
“เจ้าพี่ นี่ใช่ไหม ที่เขาเรียกว่า ยิ่งสูง ยิ่งหนาว”
“ทำไมล่ะ”
“ก็ เมื่อเราอยู่ในสถานะหนึ่ง คนบางคนก็ถอยหนีจากเราไป”
“ไม่มีใครถอยหนีจากเจ้าหลวงหรอก มีแต่คนจะเข้ามารุมล้อม”
“ทำไมจะไม่มี ก็มิถิลาไง เขาหนีน้องไปแล้ว”
“เขาหนีเพราะทรงเป็นเจ้าหลวงหรือ พี่ว่าไม่น่าจะใช่”
“ถ้าเช่นนั้น เป็นเพราะอะไรล่ะ”
“น้องได้พูดคุยกับเขาหรือยังล่ะ”
“ยังเจ้าพี่”
“งั้นน้องก็คงจะต้องถามเขาเองกระมัง พี่คงตอบแทนไม่ได้”
“น้องต้องตามง้อเข้าหรือ”
“ง้อหรือเปล่าไม่ทราบ แต่ควรได้พูดกันให้รู้เรื่อง”
“น้องไม่ได้ทำผิดอะไร ทำไมน้องต้องเป็นฝ่ายตามง้อ เขาสิคิดอะไร เป็นอะไร” ศิขรนโรดมเอาจดหมายขึ้นมา “อยู่ๆ เขาก็บอกว่าเขาขอลาออกจากการรับราชการฝ่ายในเพราะเหตุผลส่วนตัว”
“เรื่องของครอบครัวเขา มันก็น่าจะทำให้เขาคิดมากอยู่นะ”
“ทำไมล่ะ เจ้าพี่ ก็พี่เขาและตัวเขาก็จงรักภักดีกับเรา จนตัวเองต้องเจ็บ ต้องลำบากทุกอย่าง เขาไม่เหมือนพ่อเขาซักหน่อย แล้วพอน้องได้เป็นเจ้าหลวง อย่างที่เขาก็แทบจะยอมตายถวายชีวิตก็ได้เพื่อให้น้องมาสู่จุดนี้ ในเมื่อเจ้าพี่ทรงสละยกตำแหน่งหน้าที่นี้มาให้น้องสมดังที่เขาฝันจริงๆ เขากลับทิ้งน้องไปแบบนี้มันใช้ได้หรือ”
จ้าวซันไม่ตอบ ศิขรนโรดมหงุดหงิด
วันต่อมา มิถิลาที่นุ่งขาวห่มขาวยืนสำรวมอยู่ด้านนึงหน้าโบสถ์ อสุนีมองดูอย่างเศร้าๆ
“น้องทำแบบนี้ทำไม น้องไม่เคยเป็นผู้มีความใฝ่ใจในทางธรรมมะมาก่อนซักหน่อย”
“เมื่อก่อนเราไม่เคยมีความทุกข์อย่างนี้นี่ เวลานี้ คนอย่างเราจะมีหน้าไปอยู่ร่วมอะไรกับคนดีๆ เขาได้”
“แต่น้องไม่ได้เกี่ยวข้องกับพ่อ น้องยืนอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับพ่อด้วยซ้ำ”
“แต่บาปทั้งหมด มันตกกับเรานะพี่ ผู้คนในวังเขาก็รังเกียจเราทั้งนั้น”
“ใครมันรังเกียจน้อง บอกพี่มาซิ”
“ช่างมันเถอะพี่ ในเมื่อพ่อเคยทำบาป มันก็น่าจะดีมิใช่หรือ ถ้าน้องจะบวชเพื่อล้างบาปให้ท่าน”
“แต่น้องควรจะอยู่เคียงข้างเจ้าหลวง”
“น้องจะอยู่ได้ยังไง ทรงเป็นถึงเจ้าหลวงที่คนทั้งประเทศต้องกราบ แล้วเราเป็นใคร”
“แล้วน้องจะทิ้งเจ้าหลวง ให้ทรงโดดเดี่ยวหรือ”
“ไม่ได้ทรงโดดเดี่ยวเลย เจ้าหลวงทรงมีเจ้าพี่ที่ทรงรัก และเจ้าพี่ของพระองค์ ก็ทรงสนิทเสน่หาในเจ้าหลวงมากถึงกับถวายตำแหล่งเจ้าหลวงให้ง่ายๆ เราสิพี่ เราสองคนคือคนอื่น ตรงนั้นไม่ใช่ที่ทางของคนอย่างเราเลย”
อสุนีอึ้ง
วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 15 (ต่อ)
ห้องทำงานของศิขรนโรดมภายในวังหลวง บราลีเข้ามามองเมียง ศิขรนโรดมนั่งกุมขมับที่โต๊ะ บราลีตัดสินใจเดินเข้าไป
“เจ้าหลวงเพคะ”
ศิขรนโรดมสะดุ้ง เอามือลง เงยหน้ามอง
“อ้อ คุณม่านฟ้า นึกว่า...”
“นึกว่าใคร”
“เปล่า”
“แล้วจะทรงนั่งหมดอาลัยตายอยากอยู่เช่นนี้เพราะอะไร เมื่อทรงต้องการพบผู้ใดก็ต้องทรงไปตามหาเขาสิเพคะ”
“เขาน่าจะรู้ว่าในช่วงเวลาเช่นนี้ เรามีจิตใจที่ว้าวุ่นสับสนแค่ไหน ต้องการกำลังใจขนาดไหน แต่เขากลับทิ้งเราไปไม่ห่วงใยเลย”
“เจ้าหลวงเพคะ มิถิลาก็ยังเป็นเด็ก เป็นคนวู่วาม ใจร้อน เวลานี้ เขาจะอยู่ที่ไหน มีความทุกข์หรือเปล่า ไม่ทรงห่วงบ้างเลยหรือเพคะ”
“นี่ คุณเข้าข้างเขาหรือ”
“เอ...นี่ เจ้าหลวงเป็นถึงเจ้าหลวง ไม่น่าจะรับสั่งอะไรเหมือนเด็กเล็กๆ แบบนี้เลย ทรงโตเป็นผู้ใหญ่แล้วนะเพคะ จะปกครองบ้านเมืองทั้งที แต่แก้ปัญหาส่วนพระองค์ไม่ได้ แล้วจะปกครองประชาชนด้วยเรื่องที่หนักหนาสาหัสมากกว่าได้ยังไงเพคะ” ศิขรนโรดมอึ้ง
อีกด้านหนึ่ง หมอหลวงนั่งดื่มชาคุยอยู่กับภูสินทรและครูเฒ่า
“น่าเสียดาย ที่ทรงตัดสินพระทัยเช่นนี้”
“ก็ในเมื่อเป็นพระประสงค์ของพระองค์เอง แล้วเราจะทำไงได้”
“อะไรที่เกิดขึ้นแล้ว สิ่งนั้นก็ดีอยู่แล้ว ถ้าจงรักภักดีต่อองค์น่านปิงนรเทพจริงก็หยุดวิพากษ์วิจารณ์เถอะ”
“เสียดายที่เราทำทุกอย่างมาตลอดชีวิต เพื่อเป้าหมายนั้น แต่แล้วพระองค์กลับไม่ทรงต้องการ”
“ผมก็เสียดายแทนบ้านเมือง ที่แทนที่จะมีเจ้าหลวงเก่งๆ รู้เรื่องการบริหาร เรื่องเศรษฐกิจของโลก เรื่องต่างประเทศต่างๆ มาทรงดูแล ต้องกลับ...”
“หยุดเถอะๆ ขอร้องล่ะ เจ้าหลวงพระองค์นี้ สำหรับผมถือว่าทรงดีพอไม่แพ้องค์น่านปิงเหมือนกัน และองค์น่านปิงก็คงจะทรงเป็นที่ปรึกษาอยู่ ไม่ทิ้งไปไหนหรอก” ครูเฒ่าบอก
ขณะนั้นจ้าวซันแอบฟังอยู่มุมหนึ่ง ห่างออกไปนิดบราลีก็ยืนฟังอยู่เช่นกัน บราลีย่องมาสะกิดจ้าวซัน แล้วเดินออก หันมามองให้ตามมา จ้าวซันตาม
จ้าวซันกับบราลีเดินออกมาคุยกัน
“ต้องเสด็จจากไปเดี๋ยวนี้ ประทับอยู่ต่อไม่ได้อีกแล้ว เชื่อน้องเถอะเจ้าพี่”
“น้องก็เห็นแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าศิขรยังต้องการความช่วยเหลืออยู่”
“การช่วยเหลือที่ดีที่สุด สำหรับเจ้าหลวงศิขรนโรมดมคือเสด็จจากไป นี่เป็นสิ่งเดียวที่ทรงสมควรกระทำ”
“พี่รู้ ว่าม่านฟ้าหมายถึงอะไร”
“องค์ศิขรจะทรงเติบโต แล้วจะทรงทำอะไรก็ได้สำเร็จทุกอย่าง เมื่อไม่มีเจ้าพี่”
“แต่ก็มีอีกหลายอย่างที่น่าเป็นห่วง แล้วใครจะแนะนำ หรือเป็นที่ปรึกษาให้เขาได้”
“เมื่อถึงเวลา ก็ต้องมีสิคะ คีรีรัฐจะไม่มีคนดีคนเก่งเลยหรือไง เจ้าพี่เองซะอีก จากที่นี่ไปตั้งนาน แล้วก่อนจะเสด็จไปก็ยังเด็กเหลือเกิน”
“นั่นสิ น้องพูดถูก คนที่เขาอยู่ในนี้ตลอดเวลา เข้าใจปัญหาของท้องถิ่นได้ดีก็อาจมีไม่น้อย เพียงแค่ที่ผ่านมา พวกคนใจร้ายพวกนั้นครองเมืองอยู่ พวกนักปราชญ์ หรือคนที่เค้าถือเรื่องคุณธรรม เค้าก็อาจจะไม่อยากมาเกี่ยวข้อง แต่เวลานี้ แผ่นดินใหม่ เจ้าหลวงใหม่ เป็นคนหนุ่มรุ่นใหม่ คนพวกนี้เขาก็อาจจะออกมา”
“ใช่แล้วเพคะ ถ้าเจ้าหลวงต้องทรงช่วยตัวเอง ไม่มีพี่ ก็จะต้องทรงเติบโต เข้มแข็ง แล้วก็อาจจะเก่งในเพียงเวลาข้ามคืนก็ได้”
จ้าวซันมองหน้า พอใจ ดึงบราลีมากอด
พระเทวีสิริวารตีมีสีหน้าตกใจ
“อะไรกัน น่านปิง ที่เจ้าไม่ยอมรับเป็นเจ้าหลวงคีรีรัฐ สำหรับป้าก็เป็นเรื่องที่ทำให้เสียใจมากอยู่แล้วนะ แต่นี่หลานจะมาทิ้งไปง่ายๆ แบบนี้หรือ”
“หลานคงยังโกรธลุงอยู่ ใช่ไหม หลานถึงไม่อยากอยู่กับน้อง แต่อยากจะไปซะให้พ้นๆ จากพวกเรา”
“ไม่ใช่อย่างนั้น เจ้าลุง หลานเองก็มีภารกิจของครอบครัวทางโน้น ที่ต้องกลับไปดูแลเหมือนกัน”
“ใช่สิ อยู่ที่นี่มันคงไม่สนุกสนาน เต็มไปด้วยแสงสี เหมือนที่นั่น”
“ใช่สินะ แม้แต่ครองบัลลังก์คีรีรัฐก็คงไม่ยิ่งใหญ่ ร่ำรวย เท่าเป็นพ่อค้าวาณิช ที่รวยระดับมหาเศรษฐีที่ฮ่อกงหรอก”
“หลานจำเป็นต้องไปจริงๆ พะย่ะค่ะ”
“แล้วหลานไม่สงสารศิขรหรือ น้องยังต้องการหลานช่วยนะ น้องยังเด็กมากนัก ยังคิดอะไรเป็นวัยรุ่นอยู่เลย ดูสิ”
ศิขรนโรดมเดินมา หงอยๆ แล้วเข้ามานั่ง
“ปรึกษาอะไรกันหรือพะย่ะค่ะ ท่าทางเครียดๆ”
“เจ้าหลวงทรงช่วยแม่ขอร้องเจ้าพี่หน่อยสิ จะเสด็จกลับไปฮ่องกงซะให้ได้”
“ไม่เอา น้องไม่ให้พี่กลับ”
“น้องเป็นต้นไม้ ที่ต้องโตเองได้แล้ว”
“ไม่จริง น้องยังเป็นไม้อ่อน ต้องการพี่เป็นไม้ช่วยค้ำยันน้องให้แข็งแรงก่อน น้องยังอยู่ด้วยตัวเองไม่ได้”
มาทยาธรกับพระเทวีสิริวารตีมองหน้ากันอย่างเป็นกังวล
อ่านต่อพรุ่งนี้ เวลา 09.30น.
บราลีทำหน้าเหนื่อย
“ทำไมจะทรงอยู่ด้วยตัวเองไม่ได้ ถ้าเจ้าพี่ยังทรงใจอ่อน ตามพระทัย ต้องคอยดูแลน้องไปแบบนี้ จ้างก็ไม่มีวันทรงเติบโตเป็นผู้ใหญ่ตลอดกาล”
“ม่านฟ้า”
“จริงๆ เพคะ หม่อมฉันไม่ได้อยากให้เจ้าพี่ทรงเห็นแก่พระองค์แต่หม่อมฉันหวังดีต่อองค์เจ้าหลวงเองนั่นแหละ ทรงพระเจริญพอแล้ว ต้องทรงพิสูจน์พระองค์เอง ให้คนเขาเห็นว่าทรงพระปรีชาจริงๆ ไม่งั้น ก็จะไม่มีใครเชื่อมั่นในพระองค์เลย จะทรงเป็นเงาของเจ้าพี่ แล้วใครๆ ก็จะพูดว่าทรงสู้เจ้าพี่ไม่ได้อยู่เช่นนี้ร่ำไป”
“น้องพี่คนนี้เก่งจริง มองอะไรทะลุประโปร่ง ฉลาดหลักแหลมไปหมด”
“น้องพูดจริงๆ นะเพคะ แล้วอีกประการ เจ้าพี่ก็พึงทรงระวังไว้เหมือนกันว่าพวกไม้ค้ำยันต้นไม้น่ะ เมื่อต้นไม้ต้นหลักโตพอแล้ว เขาทำอย่างไรกับมัน”
“เขาก็ถอนมันทิ้งน่ะสิ”
“ถูกเพคะ ชะตากรรมของพวกไม้ค้ำยัน หรือนั่งร้าน เวลาที่เขาสร้างตึก ทาสีอาคารเสร็จ หมดประโยชน์แล้ว
เขาก็ทำแบบเดียวกันทั้งนั้น หม่อมฉันไม่ใช่จะมีทัศนคติที่ไม่ดี หรือมองโลกในแง่ร้าย แต่หม่อมฉันก็มีหน้าที่ที่ต้องปกป้องเจ้าพี่เหมือนกัน”
จ้าวซันมองบราลีอย่างทึ่งๆ
คืนนั้นขณะที่อสุนีฝึกมวยคีรีรัฐอยู่คนเดียวเสียงของศิขรนโรดมก็ดังขึ้น
“เจ้าแข็งแรงขึ้นมากแล้วนี่”
อสุนีชะงัก หันไป ศิขรนโรดมยืนกลมกลืนกับความมืด อสุนีรีบถวายความเคารพ
“ทรงเจริญยั่งยืน”
“แบบนี้ก็มาอารักขาข้าได้เช่นเดิมแล้ว ใช่ไหม”
“ถ้าเจ้าหลวงโปรดเกล้าให้หม่อมฉันทำอะไร หม่อมฉันก็จะรีบทำทันที”
“แล้วถ้าข้าอยากถามว่า มิถิลาอยู่ไหนล่ะ”
“หม่อมฉันก็ต้องขอทูลว่า ทรงปล่อยมันไปเถอะ ให้น้องสาวข้าไปหาความสงบ เพื่อสร้างกุศลให้ท่านพ่อ และรักษาจิตใจที่ปวดร้าวของมันเอง”
“เจ้าบอกข้าไม่ได้หรือ ข้าต้องการมิถิลา ข้าจะอยู่โดยไม่มีเขาได้ยังไง”
“หม่อมฉันไม่อยากบังคับน้อง”
“ก็อย่าบังคับสิ บอกเขาว่าข้าขอร้อง ให้เขายอมให้ข้าพบสักครั้ง ข้ายังไม่รู้เลยว่าข้าทำผิดอะไร เขาถึงหนีไป”
“ไม่เกี่ยวกับฝ่าบาทหรอกพะย่ะค่ะ”
“แต่เขาจะปล่อยให้ข้าทุกข์ระทมได้ลงคอหรือ”
“จะทรงทุกข์ระทมอะไรนัก ทรงมีพระเชษฐาที่รัก คอยเป็นกำลังพระทัยให้ทั้งองค์”
“มันเหมือนกันที่ไหนเล่า อีกอย่างเจ้าพี่ก็จะเสด็จกลับฮ่องกงแล้ว”
“อะไรนะ ทรงล้อเล่นหรือ”
“ไม่ได้ล้อเล่น จะเสด็จไปวันเสาร์นี้แล้ว”
“ไม่น่าเชื่อเลย จะทิ้งคีรีรัฐไปได้จริงๆ หรือ มีกลลวงอะไรหรือเปล่า”
“ทำไมเจ้าคิดอย่างนั้น”
“นั่นสิ หม่อมฉันควรจำใส่หัวไว้ว่าองค์น่านปิงนรเทพ ทรงประเสริฐเลิศเลอ ไม่หวังอะไรเลย ทรงสละได้ทุกสิ่ง ราวกับเทพเจ้าก็ไม่ปาน”
ศิขรนโรดมมองๆ แล้วไม่พอใจ อสุนีแอบหันไป คิดอะไรบางอย่าง
โรงพยาบาลที่ฮ่องกง เต๋อเป่านอนหลับอยู่ สักพักพยาบาลกับหมอเดินเข้ามาในห้องเพื่อมาฉีดยาให้
“น่าแปลกนะคะ ทำไมอาการของคนไข้รายนี้ถึงไม่ดีขึ้นสักที”
“นั่นน่ะสินะ จริงๆ สมองก็ไม่ได้รับการกระทบกระเทือนอะไรมากขนาดนั้น”
“เป็นไปได้ไหมค่ะว่า...คนไข้ไม่อยากไปจากที่นี่” พยาบาลลดเสียงเบาลง
“คุณหมายถึงแกล้งป่วย เป็นบ้างั้นเหรอ” หมอและพยาบาลมองเต๋อเป่าที่ยังนอนหลับสนิทอยู่ “คงไม่หรอกมั้ง”
พยาบาลและหมอเก็บถาดเข็มฉีดยาและเดินออกจากห้องไป เต๋อเป่าที่นอนหลับตาอยู่ค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ แล้วลุกขึ้นนั่งถอนหายใจ
“เฮ้อ น่าเบื่อจังโว้ย”
“ตกลงว่าแกล้งป่วยจริงๆ ด้วย”
เต๋อเป่าตกใจหันไปมองตามที่มาของเสียงเห็นผู้กองเหลียง อเล็กซ์ หมวดจาง จ่าหมงที่ซ่อนอยู่หลังม่าน เดินออกมาล้อมเฝ้าอยู่เต็มห้อง
“เอ่อ...อ่า...ไม่เล่นๆ ไม่ชอบเล่นตำรวจจับผู้ร้าย ตำรวจขี้โกง” เต๋อเป่าแกล้งทำปัญญาอ่อนต่อ แล้วดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมไว้ “กลัวๆๆ”
ผู้กองเหลียงเดินเข้าไปเบิ๊ดกะโหลกเต๋อเป่าเสียงดัง
“เลิกเล่นละครได้แล้ว”
“เรารู้แล้วว่านายไม่ได้ป่วยจริง”
เต๋อเป่าดึงผ้าห่มออก มองหน้าตำรวจทุกคน
“ช่วยให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วย”
“เอ๋อ...อ่า...จ๊ะเอ๋”
จ่าหมงจะเข้าไปซัดเต๋อเป่าอีกที แต่ผู้กองเหลียงห้ามไว้
“ไม่ต้อง เดี๋ยวมันจะเอ๋อไปจริงๆ”
“คุณจะอยู่ในความคุ้มครองของตำรวจ จะไม่มีใครมาทำอะไรคุณได้อีกต่อไป ไม่ต้องกลัว”
เต๋อเป่ามองตำรวจทุกคน เริ่มผ่อนคลายและวางใจ ผู้กองเหลียงพยักหน้ากับอเล็กซ์ ทำนองว่างานสำเร็จคืบหน้าไปอีกเปลาะหนึ่งแล้ว
เต๋อเป่าในชุดผู้ป่วยออกมายืนคุยกับผู้กองเหลียงบนดาดฟ้าของโรงพยาบาล โดยมีหมวดจางคอยจดบันทึกคำให้การ และมีจ่าหมงคอยยืนคุ้มกันอยู่ที่ประตูทางเข้าดาดฟ้า
“อะไรนะเหม่ยอิงกับเกาเฟยพยายามจะฆ่าคุณงั้นเหรอ”
“ใช่ ถ้าคุณไม่เชื่อก็ตามใจ”
“สายของเราระแคะระคายเรื่องนี้มานานแล้วเหมือนกัน แต่ไม่คิดว่า...”
“เราเห็นว่าคุณชายจ้าวซันมอบหมายให้จ้าวเหม่ยอิงดูแลบริษัทแทน”
“ใช่ แถมตอนนี้เกาเฟยก็กลายมาเป็นผู้ช่วยอย่างออกหน้าออกตา”
“เราเลยตัดข้อสงสัยที่ว่าสองคนนั้นจะเป็นคนร้ายออกไป”
“คุณตัดออกไปผิดคนแล้วล่ะ”
ทั้งหมดนิ่งไปสักพัก ประมวลเหตุการณ์ต่างๆ ในหัว
“คุณชายจ้าวซันยังไม่รู้เรื่องนี้ใช่ไหม”
“คิดว่ายัง ว่าแต่ทำไมคุณชายรองถึงยอมปล่อยให้คุณเหม่ยอิงเข้าไปครองบริษัทได้ง่ายๆ”
“จ้าวฉินเจียงกำลังจะถูกฟ้องล้มละลาย และก็มีคดีติดอยู่มากมาย คงทำอะไรไม่ได้มากตอนนี้”
“รีบติดต่อคุณชายจ้าวซันตอนนี้ด่วนเลย คุณชายจ้าวซันอยู่ที่ไหน”
ผู้กองเหลียงและอเล็กซ์มองหน้ากัน สีหน้าหมดหวัง
ผู้กองเหลียง อเล็กซ์ หมวดจาง จ่าหมง เดินออกมาจากโรงพยาบาล อเล็กซ์พยายามกดโทรศัพท์
“หมวดจาง จ่าหมง คุณสองคนคอยเฝ้าเต๋อเป่าอยู่ที่นี่ อย่าเพิ่งให้เขาออกจากโรงพยาบาลจนกว่าจะได้รับคำสั่งจากผม”
“แล้วเรื่องที่เต๋อเป่าหายเป็นปกติแล้ว”
“ไม่ต้องให้ใครรู้ ให้เขาเล่นเป็นบ้าต่อไป”
“แล้วเราจะไปจับตัวเกาเฟยกับเหม่ยอิงเมื่อไหร่ครับ”
“หลักฐานยังไม่เพียงพอ เรายังทำอะไรไม่ได้”
“ผมให้ทุกฝ่ายพยายามติดต่อคุณชายจ้าวซันแล้ว แต่ยังไม่มีใครติดต่อได้เลย”
“นึกซิว่ามีใครที่พอจะติดต่อคุณชายจ้าวซันได้อีกบ้าง”
ทุกคนมองหน้ากัน เครียด
คีรีรัฐยามเช้าที่หน้าบ้านครูเฒ่า ครูเฒ่ากำลังรำมวยคีรีรัฐอยู่ด้านหน้า จ้าวซันเดินขึ้นเนินเขามา หันไปส่งมือให้บราลี และดึงบราลีขึ้นเนินมา ครูเฒ่าเห็น แต่ยังคงรำมวยคีรีรัฐต่อไป
“เสด็จขึ้นมาหาหม่อมฉันแต่เช้า คงไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่”
ครูเฒ่าหยุดรำมวย เดินมาหาจ้าวซัน แล้วผายมือเชิญไปนั่งที่ม้าหิน
“ตรงนี้ก็ได้ท่านพระครู”
“มีเรื่องด่วนอะไรหรือ”
“หม่อมฉันกับม่านฟ้าตั้งใจจะมาลาพระครูวันนี้”
“อ้าว จะทรงกลับแล้วหรือพะย่ะค่ะ”
“ใช่ เป็นห่วงทางโน้นเหมือนกัน ไม่ได้ติดต่อกลับไปนานแล้ว”
ครูเฒ่าเห็นสีหน้าจ้าวซันไม่ค่อยสู้ดี
“แต่ก็ยังทรงเป็นห่วงทางนี้อยู่เช่นกัน”
จ้าวซันหนักใจ พูดไม่ออก มองหน้าบราลี
“องค์ชายทรงกำลังเป็นห่วงเจ้าหลวงศิขรนโรดม”
“เป็นห่วง”
“เพราะผู้คนเอาแต่พูดกันว่า ถ้าเจ้าพี่ไม่ทรงอยู่เป็นที่ปรึกษาด้วยแล้วเรื่องการบริหารบ้านเมืองอาจจะ...”
“ไม่มีอะไรต้องทรงเป็นห่วง องค์เจ้าหลวงเป็นคนดี ทรงมีจิตใจงดงาม แค่นี้ก็เป็นพื้นฐานที่ดีของทุกอย่างแล้ว”
“เราก็เชื่อเช่นนั้น”
“แล้วเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์เอง ข้าพระองค์อบรมสั่งสอนองค์เจ้าหลวงมากว่ายี่สิบปี ข้าพเจ้ามั่นใจว่าเจ้าหลวงศิขรนโรดมจะต้องทรงไม่ทำให้ประชาชนผิดหวัง”
“มาอยู่ที่นี่กันเอง ตามหาซะทั่วเลย” จ้าวซัน บราลี กับครูเฒ่า หันไปทางต้นเสียง เห็นศิขรนโรดมรีบเดินกระหืดกระหอบมา ทุกคนคุกเข่าลง “คุกเข่าทำไม ลุกขึ้นๆๆ กำลังคุยเรื่องอะไรกันอยู่เหรอ”
“เจ้าหลวง มีอะไรให้เรารับใช้พะย่ะค่ะ”
“โธ่...เจ้าพี่ ข้ากลุ้มใจอยู่นี่ บอกให้ทุกคนลุกขึ้นๆๆ อะไรกันเนี่ย ท่านครู ทำแบบนี้ไม่ไหวนะ” ศิขรนโรดมเข้าไปประคอง ดึงตัวให้ลุก “ลุกขึ้นเถอะครับ”
“เจ้าหลวงรับสั่งมาเลยพะย่ะค่ะ”
ศิขรนโรดมหันมาหาบราลี
“ม่านฟ้า ท่านต้องช่วยข้าได้แน่ๆ เรื่อง...มิถิลา” ครูเฒ่าอึ้ง มองหน้าจ้าวซัน บราลี แอบผิดหวังเล็กน้อย “ทุกคนช่วยเราคิดหน่อยนะ ถือว่าเป็นครั้งสุดท้าย เราสัญญาว่าจะไม่รบกวนอะไรเจ้าพี่อีกเลย”
จ้าวซันกับบราลีมองหน้ากัน
“แปลว่าถ้าหากเรื่องนี้สำเร็จ หม่อมฉันกับองค์ชายสามารถกลับไปฮ่องกงได้งั้นหรือเพคะ”
“บราลี”
ศิขรนโรดมนิ่ง คิดหนัก
“ใช่ ถือว่าทำให้เราให้สำเร็จก่อนกลับไปแล้วกัน ได้ไหม”
วัดริมแม่น้ำเวียงสาย ศิขรนโรดมในชุดชาวบ้านเดินมากับบราลี ถือข้าวของต่างๆ มาเหมือนจะมาทำบุญ
บราลีจะเดินเข้าไปภายในวัด แต่ศิขรนโรดมหยุดเดิน
“เดี๋ยวสิ...เรา...เราจะพูดยังไงกับเขาดี”
“พระองค์จะมาแอบดูเฉยๆ ไม่ต้องการจะให้มิถิลาเห็นไม่ใช่หรือเพคะ”
บราลีรีบเดินเข้าไปภายในวัด ศิขรนโรดมหยุดอีก
“ถ้าเราเข้าไปแล้ว แล้วมิถิลาเห็น แล้วถ้าเห็นแล้ว หนีไป ไม่ยอมพูดกับเราอีก แล้ว...”
“เราจะเข้าไปหรือยังเพคะ” ศิขรนโรดมคิดหนัก ไม่ตอบ ยืนเก้ๆ กังๆ อยู่หน้าวัด “งั้นพระองค์ทรงรออยู่ตรงนี้หม่อมฉันเข้าไปดูเอง”
“เฮ้ย ไม่ได้ๆ”
แม่ชีคนหนึ่งกำลังกวาดพื้นอยู่ ได้ยินเสียงดังเดินออกมาดู เห็นสองคนยืนอยู่ด้านหน้า ท่าทางแปลกๆ ศิขรนโรดมเห็นแม่ชี รีบยกมือพนมท่วมหัวและเอามือบังหน้าไว้
“สถานที่ปฏิบัติธรรม ช่วยระวังการใช้เสียงด้วย”
“ขอประทานโทษนะคะ” บราลียิ้มแหย
“ถ้าโยมจะทำบุญล่ะก็ ขอเชิญด้านใน แต่รีบหน่อยก็ดี อีกประเดี๋ยวจะได้เวลาเจริญกรรมฐานแล้ว”
“ขอบพระคุณค่ะ”
บราลีเดินนำ ศิขรนโรดมเดินตาม พยายามทำตัวเล็กๆ บราลีหยุดกะทันหัน บราลีทำสัญญาณให้รู้ว่าเห็นมิถิลาแล้ว ทั้งคู่หาที่หลบหลังพุ่มไม้และย่อตัวลง
มิถิลากำลังเดินหิ้วถังน้ำไปที่โรงครัว ท่าทางเหนื่อยอ่อน
“ทำไมมิถิลาต้องมาลำบากแบบนี้ด้วย”
บราลีทำหน้าครุ่นคิด สักพัก
“ดำเนินเข้าไปหาเลยตรงๆ และตกลงกับนางเลยเพคะ”
“ถ้าทำให้มิถิลาหนีไปอีกล่ะ” ศิขรนโรดมสลด ถอนหายใจ “เรา...ไม่กล้าพอ”
“อืม...ถ้าเช่นนั้น ให้หม่อมฉันจัดการวันหลัง” บราลีบอกอย่างขัดใจ
“จัดการยังไง เมื่อไหร่”
มิถิลาหันไปมองทางที่มาของเสียง บราลีกับศิขรนโรดมรู้ตัว รีบย่อตัวนั่งยองๆ หลบหลังต้นไม้ แม่ชีคนเดิมเดินเข้ามาทางด้านหลัง
“โยมสองท่านนี้ ไม่ทราบว่ามีเหตุขัดข้องอะไรกัน”
ศิขรนโรดมอึ้ง ตอบไม่ถูก
“เอ่อ...”
“เอ่อ...ไม่มีคะ...เอ่อ...คือพวกเรา ทำกระเป๋าสตางค์หาย แต่สงสัยจะลืมเอามามากกว่า เอาไว้วันหลังค่อยมาใหม่ วันนี้กลับก่อนดีกว่า”
บราลีกระทุ้งชายโครงศิขรนโรดมเพื่อให้สัญญาณ
“จะ...จริงด้วยจ้ะ รีบกลับกันดีกว่า”
ศิขรนโรดมยกมือพนมจะลาแม่ชี ในจังหวะที่บราลีพยายามดึงแขนลากออกไป
มิถิลายกถังน้ำเข้ามาในโรงครัวด้วยท่าทางเหม่อลอย ไม่มีกะจิตกะใจ แม่ชีสองคนที่กำลังล้างจานอยู่มองหน้ากัน แล้วส่ายหน้าด้วยความระอา มิถิลาเดินเข้าไปหา
“มีงานอะไรให้ฉันช่วยอีกหรือเปล่าคะ”
“เอาจานพวกนี้ไปยืนเช็ดตรงโน้นแล้วกัน”
“ค่ะ”
“เช็ดไปก็สวดมนต์ไปด้วย จะได้มีสติ”
“ค่ะ”
มิถิลายังคงเหม่อ ยืนนิ่ง
“ค่ะ แล้วก็รีบไปสิ”
มิถิลายกกะละมังใส่จานที่ล้างแล้ว หันหลังจะเดินไป
“จำไว้นะว่าที่นี่ไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต มีแต่ปัจจุบัน หยุดคิดเรื่องไร้สาระต่างๆ ได้แล้ว”
มิถิลาก้มหัวรับคำช้าๆ แล้วเดินก้มหน้าแยกไปอีกทาง
“มิถิลา”
มิถิลาเงยหน้าขึ้น เกือบจะชนเข้ากับพระเทวีสิริสารตีในชุดชาวบ้านที่มายืนอยู่นานแล้ว
“ว้าย” มิถิลาทำกะละมังที่ใส่จานไว้หลุดมือ ตกลงกับพื้น มิถิลาพนมมือไหว้พระเทวีสิริวารตี พร้อมกับก้มลงไปเก็บจานที่แตกกระจาย “ขอพระราชทานอภัยโทษเพคะ” แม่ชีสองคนรีบวิ่งเข้ามา มิถิลารีบยกมือไหว้ปลกๆ “ขอโทษนะคะ เดี๋ยวฉันเก็บเอง ขอโทษจริงๆ ค่ะ” แม่ชีส่ายหน้า ถอนหายใจ พระเทวีสิริวารตีนั่งลงช่วยเก็บด้วย “เอ่อ...อย่าทรงลำบากเลยเพคะ หม่อมฉันจัดการได้”
“ชู่...ฉันไม่อยากให้ใครรู้ว่าฉันเป็นใคร”
“เพคะ”
“ฉันมีเรื่องจะคุยด้วยหน่อย ไม่สิ ถ้าพูดให้ถูกก็คือ ฉันมีเรื่องที่จะขอร้องเธอสักหน่อย พอจะมีเวลาไหม”
มิถิลาคิดหนัก หันไปมองหน้าแม่ชีทั้งสองคน
พระเทวีสิริวารตีเดินนำมิถิลาเข้ามาที่ศาลาริมน้ำ พระเทวีสิริวารตีมองแม่น้ำเวียงสายที่ทอดยาวไปสุดลูกหูลูกตา
“สวยดีนะ รู้ไหม ยี่สิบปีที่แล้วฉันก็เคยคิดจะมาบวชที่นี่เหมือนกัน บวชไม่สึกเลยด้วย” มิถิลามองตะลึง “แต่สุดท้ายก็มีคนมาเตือนสติฉันว่า การบวชไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาอะไร ฉันก็เลยกลับไปเผชิญหน้ากับปัญหาเหล่านั้น ค่อยๆ
ทนแก้มันไปเรื่อยๆ อาศัยคนๆ นั้นคอยเป็นกำลังใจให้ฉันเสมอมา”
มิถิลานิ่ง มองไปทางแม่น้ำ
“ดีจังเลยนะเพคะที่พระองค์มีคนคอยให้กำลังใจอยู่ตลอดเวลา”
“จริงๆ เขาไม่ได้ตั้งใจให้กำลังใจฉันหรอก แต่ฉันอาศัยเขาเป็นกำลังใจมากกว่า”
“ใครกันหรือเพคะ”
“ลูกชายของเรา ศิขรนโรดม” มิถิลาอึ้ง “ศิขรเป็นคนดี อ่อนโยนเสมอมาตั้งแต่เล็กจนโต”
“หม่อมฉันขอตัวไปปฏิบัติธรรมต่อ”
มิถิลาทำความเคารพและทำท่าจะเดินจากไป
“เธอหนีจากฉันมาแบบนี้ ที่จริงเป็นความผิดอย่างร้ายแรง เธอมีโทษอยู่ รู้ตัวไหม”
“สุดแล้วแต่พระเมตตาเถอะเพคะ”
“มิถิลา ฉันรักและไว้ใจเธอมากแค่ไหน เธอย่อมรู้ดี” มิถิลาน้ำตาไหล
“หม่อมฉันเป็นคนเลว อกตัญญู หม่อมฉันสมควรตายด้วยซ้ำ หม่อมฉันมองไม่เห็นทางใดอีกแล้ว นอกจากหนีมาบวชล้างบาปให้ท่านพ่อ”
“มิถิลา ฉันรู้ว่ามันไม่ควรจะมาพูดที่นี่ แต่ฉันอยากจะขอร้องอะไรเธอสักอย่าง” มิถิลาหยุด หันไปฟัง “กลับไปแต่งงานกับศิขรได้ไหม”
มิถิลาตะลึง ช็อกชั่วขณะ สักพักมิถิลาค่อยๆ ทรุดลงไปกราบเท้าพระเทวีสิริวารตี แล้วเงยหน้าขึ้นมา
“พระกรุณาธิคุณที่พระนางทรงมีต่อหม่อมฉันมากมายเหลือพรรณนา หากหม่อมฉันจะตอบแทนพระคุณได้เมื่อไหร่ หม่อมฉันยินดี แต่สำหรับเรื่องนี้ หม่อมฉันต้องขอปฏิเสธ”
“มิถิลา”
“หม่อมฉันตั้งใจจะมาศึกษาพระธรรมและตัดเรื่องทางโลกแล้วจริงๆ หม่อมฉันขอพระราชทานอนุญาตเถอะเพคะ”
มิถิลากราบเท้า และหมอบนิ่งเช่นนั้น พระเทวีสิริสารตีอึ้ง
เย็นวันนั้นศิขรนโรดมนั่งกุมขมับอยู่ในห้อง สภาพทรุดโทรม กำลังไล่นางในที่ยกเอาสำรับอาหารมาให้
“เอาออกไป บอกแล้วไงว่าเราไม่กิน”
นางในรีบยกสำรับอาหารออกไปทันที ศิขรนโรดมนั่งก้มหน้าเซ็ง จ้าวซันกับบราลีเดินมาที่ประตูเห็นทุกอย่าง
จ้าวซันรับถาดสำรับอาหารมาจากนางใน แล้วส่งสัญญาณให้นางในออกไป จ้าวซันวางถาดอาหารลงบนโต๊ะใกล้ๆ ศิขรนโรดม
“เอ๊ะ ก็บอกแล้วไงว่าไม่...”
“เสวยซะหน่อยเถอะ เจ้าหลวง”
“เจ้าพี่”
“วันนี้ไม่เสด็จไปเสวยกระยาหารค่ำ ทรงทำแบบนี้ไม่ดีเลย”
ศิขรนโรดมลุกขึ้นไปนอนที่เตียง เอามือก่ายหน้าผาก
“เฮ้อ ใครจะไปกินลง ตอนนี้เราไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรทั้งนั้น เจ้าพี่ดูที่มิถิลาทำกับน้องสิ ดูสิ ทำไม”
“ทรงพระทัยเย็นก่อน”
“เจ้าพี่ไม่ใช่เรา เจ้าพี่ก็พูดได้สิ ถ้าเป็นเจ้าพี่เองหากม่านฟ้าทำเช่นนี้ เจ้าพี่จะพระทัยเย็นไหม”
ศิขรนโรดมนอนเหม่อ นัยน์ตาเลื่อนลอย จ้าวซันมองหน้าบราลีแล้วมองศิขรนโรดมด้วยความเห็นใจ จ้าวซันเข้าไปนั่งใกล้ๆ เตียงเอามือไปแตะที่หน้าผากศิขรนโรดม
“หม่อมฉันขอพระราชทานอนุญาต เหมือนตัวจะร้อนๆ นะ”
“ร้อนใจมากกว่า ขอน้องอยู่คนเดียวสักพักได้ไหม”
ศิขรนโรดมนอนเหม่อ มองเพดาน ไม่สนใจจ้าวซัน จ้าวซันค่อยๆ ลุก เดินออกไปจากห้องไป ตามด้วยบราลี
จ้าวซันค่อยๆ ปิดประตูห้องศิขรนโรดมแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่
“เจ้าน้องทรงมาเป็นแบบนี้ แล้วเราจะกลับไปได้ยังไง”
บราลีมองหน้าจ้าวซัน รู้สึกกลุ้มใจไม่แพ้กัน
จบตอนที่ 15
อ่านต่อตอนที่ 16 เวลา 17.00น.