ชักดิ้นชักงอยังไม่ทันกลืนข้าวคอลงคอ “นักเลงบางบอน” อย่าง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน คนใหม่แกะกล่อง ที่ออกมาฟาดงวงฟาดงาเพราะไม่พอใจการถูกลดชั้นจากรองนายกรัฐมนตรีอันดับ 1 มาเป็น “จับกัง 1” ก็สิ้นฤทธิ์เอาง่ายๆ เพียงคำงอนง้อไม่เท่าไรจากฝ่ายกุมอำนาจ
ทั้งๆที่ก่อนหน้า อุตส่าห์ตั้งท่ารบทุกด้าน ทั้งให้คนใกล้ชิดมิตรสหายนั่งปล่อยข่าวว่าจะลาออกปั่นราคาเรียกร้องความสนใจ หรือการอารยขัดขืนไม่เข้าร่วมถ่ายรูปหมู่ที่หน้าตึกไทยคู่ฟ้าร่วมกับเสนาบดีคนอื่นๆ รวมถึงการไม่เข้าร่วมประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นัดแรกของ ครม.ปู 5 ทั้งๆ ที่ไม่เป็นอะไร แต่อ้างว่าไปตรวจสุขภาพประจำปี
ใครๆ ก็จับทางจับไต๋กันได้ว่า “ป่วยการเมือง”
แต่สุดท้ายได้แต่ “ขู่” ล่าสุดช่วงสายวันที่ 4 ก.ค.แจ้นหน้าเข้าที่ทำงานกระทรวงแรงงาน อันเป็นฐานบัญชาการใหม่เรียบร้อย “โรงเรียนขี้ข้า” ไปแล้ว
งานนี้คนที่เซ็งก็บรรดาแฟนคลับย่านบางบอนที่นั่งลุ้นนั่งเชียร์ให้ “หัวหมู่ฝั่งธน” งัดมุก “แตกหัก” กับ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” ถึงกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ เซ็งไปตามๆกัน
ก็ “ทรงมวย” ที่ดูท่าจะชกดุๆ สะบั้นหั่นแหลก ที่ไหนได้เป็นแค่ “มวยวัด” เหวี่ยงหมัดขู่คู่ต่อสู้ไปอย่างงั้น แต่พอเจอ “มวยหมัดหนัก” ชกเป็นทรงตะบันใส่หน้าเข้าไปไม่กี่ที ล้มพับไม่เป็นท่า เสียราคา “หัวหมู่ฝั่งธน”
แต่ในอารมณ์ตรงกันข้าม สำหรับบรรดาเซียนการเมืองแทงหวยกันไม่ผิด ไอ้ที่ตีโพยตีพายใส่ “บิ๊กวี” พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) หรือ “เสธ.แมว” พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขาธฺการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) มันก็แค่อาการเด็กโดนแย่งขอเล่น โมโหร้องไห้เลยพาลใส่คนไปทั่วกับคนที่พอจะสู้รบปรบมือกันได้
“งอนตุ๊บป่อง” ตามสไตล์เดิม “เหลิม” นั่นแหละ!!
สุดท้ายคนอย่าง “เหลิม บางบอน” ก็ไม่กล้ายอมหักกับ “นายใหญ่” พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เต็มที่ก็ได้เท่านี้คือแค่ “งอ” อย่างที่เห็นๆ ไม่ถึงกับ “สะบั้น”
เจอดัดแปบเดียวเดี๋ยวก็เข้าที่เหมือนเดิม!!
โดยสภาพหน้าหนังต้องออกมาอย่างนี้อยู่แล้ว อย่าลืมว่าวันนี้ชนักปักหลังหลายอย่างทำให้ “เหลิม บางบอน” ยังไม่กล้าย่างกายออกจากร่มเงา “นายใหญ่แห่งดูไบ” ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอนาคตของลูกชายหัวแก้วหัวแหวนที่ยังต้องเพิ่งฝ่ายอำนาจ ขืนขยับเท้านี้วันข้างหน้ามีแต่ร่อแร่รุ่งริ่ง
รวมถึงตัวเองที่สร้างศัตรูไว้รอบด้าน เพราะเคยปากดีเอาไว้เยอะสมัยเรืองอำนาจที่คะนองไม่คิดว่าวันหนึ่งชีวิตจะดิ่งลงเหว การเดินออกจากมุ้ง “เพื่อแม้ว” จึงมีแต่คนจ้องรอจะเหยียบซ้ำกระทืบจมดินให้พรึ่บพรั่บไปหมด
ที่สำคัญ “สารวัตรเหลิม” เอง แม้จะรู้จักคนในพรรคเพื่อไทยมากหน้าหลายตา แต่เอาที่เป็นก๊กเป็นก้อนร่วมหัวจมท้ายด้วยกันมีไม่กี่คน แทบจะนับนิ้วได้ การจะแยกไปตั้งพรรคมาแข่งเหมือนในอดีตดูท่าจะพายเรือไม่ถึงฝั่ง รอจ่มกลางแม่น้ำได้เลย ทั้งทุน ทั้งคะแนนนิยม
แม้แต่ใน “บางบอน” อันเป็นถิ่นบัญชาการ การลงมาแข่งขันด้วยตัวเองจะชนะหรือเปล่ายังไม่รู้เลย
ตามบทตามฉากก็หวยไม่พลิก ปล่อยให้สิ้นฤทธิ์ไปเองสุดท้ายเข้าอีหรอบ “เหลิมคนเดิม” ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แถมเชื่อขนมรับประทานรอได้ บรรดาคนที่โดน “เหลิม บางบอน” พาลใส่ช่วงแรกๆ ให้จับตา เผลอแปบๆ เดี๋ยวได้เห็นภาพ “ปาหี่จูบปาก” อีกไม่นาน แล้วก็อ้างนู่นอ้างนี่กันไปตามฉบับการเมืองน้ำเน่าวันนี้
อย่างไรก็ดี ตามอารมณ์ควันหลง “เหลิม บางบอน” โดนเด้งพ้นฐานบัญชาการทำเนียบรัฐบาลไปนั่งเป็น “จับกัง 1” ที่กระทรวงแรงงาน ที่สาเหตุหลักๆ เพราะทำงานไม่ได้เรื่อง ทั้งการแก้ไขปัญหาดับไฟใต้ที่ถูลู่ถูกังทำ แต่ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน แถมยังไปเบิ้ลบลั๊ฟพวกเดียวกันเองที่ไปเจรจาสันติภาพกับกลุ่มบีอาร์เอ็น
หรือจะเป็นการกวักมือเรียกแขก ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มหน้ากากขาวที่ยิ่งด่ายิ่งเยอะ ตลอดจนนายทุนที่ไปแขวะซ้ายแขวะขวากัดเขาให้ทั่วบ้านทั่วเมือง ทั้งที่เกี่ยวบ้างไม่เกี่ยวบ้างแล้ว
อีกเหตุผลหนึ่งที่คนยังมองข้ามไปไม่ทันคิดคือ การเตะโด่ง “เฉลิม” ไปนั่งเก้าอี้ “จับกัง 1” เพราะห้วงเวลาดังกล่าวมันขมวดเข้าใกล้การโยกย้ายตำรวจประจำปีเต็มแก่
เป็นที่รู้กันว่า“สารวัตรเหลิม”เองก็คิดจะสร้างอาณาจักรของตัวเองในวงการตำรวจที่ถือว่าเป็นขุมกำลังสำคัญในรัฐบาลชุดนี้
การกุมสภาพกองกำลังตำรวจได้ จึงถือว่ายิ่งใหญ่ มีบารมี เดินแอ่นอกกล้ามโตได้ทั่วประเทศ!!
แน่นอนว่า การผลักดันคนใกล้ชิดเข้าไปอยู่บนฐานอำนาจที่ตัวเองควบคุมสั่งการย่อมเป็นหนึ่งในสิ่งที่อยู่ในหัวสมองอดีตรองนายกฯ ดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) รายนี้ที่วางแปลนเอาไว้
เผลอๆบางทีอาจมีโผที่เขียนรอเคาะเอาไว้หมดแล้วด้วยซ้ำ
ตอกย้ำตรรกะนี้ได้ชัด ย้อนกลับหลังการแต่งตั้งโยกย้ายที่ผ่านๆ มา จะเห็นว่า หลายครั้งที่ “เหลิม” ออกแอ็กชั่นสุดลิ่มในการแต่งตั้งแต่ละตำแหน่ง เคยถึงขั้นงัดกับ “บิ๊กออฟ”พล.ต.อ.เพรียวพันธุ์ ดามาพงศ์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เรื่องเกลี่ยกันไม่ลงตัวจนยืดเยื้อกว่าจะแต่งตั้งโยหย้ายเสร็จกินเวลาไปร่วมเดือนก็มีมาแล้ว
ขนาดกำแพงยังมีหู ประตูยังมีช่อง แล้วมีหรือเรื่องแบบนี้ “นายใหญ่” จะไม่รู้ เมื่อรู้ทันก็เลยต้องรีบยับยั้ง ก่อนจะถูกเข้าไปจุ้นจ้านมากเกินไป เพราะใครๆก็รู้ว่าเวลา “เหลิม กล้ามใหญ่” แล้วเป็นอย่างไร
ขบวนการสร้าง “อาณาจักรสีกากี” จึงโดนเบรกหัวทิ่ม
ดีไม่ดีที่ “เหลิม บางบอน” ออกมาอาละวาดไปทั่ว หนักๆ จะยั่วเรื่องนี้เป็นเรื่องหลักเสียมากกว่า เพราะการไม่มีตำรวจอยู่ในการบังคับบัญชา แทบไม่ต่างอะไรจากโดนตัดแขนตัดขาทิ้ง
ต่อให้แม้จะเป็น “จับกัง 1” ยังอยู่ในวงโคจรเสนาบดี แต่ก็แทบจะสั่งใครไม่ได้เลย เหมือนแต่ก่อน
คิดหรือว่าจะมีตำรวจพาเหรดกันตามต้อยๆ หัวบันไดไม่แห้งเหมือนตอนอยู่ทำเนียบรัฐบาล
ฝันไปเถอะ!!