ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ความพ่ายแพ้ชนิดที่อาจกล่าวได้ว่า แทบจะหมดรูปของ “เสธ.อ้าย พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์” ที่นำเครือข่ายประชาชนในนามองค์การพิทักษ์สยาม(อพส.) ออกมาชุมนุมเพื่อขับไล่รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2555 ณ ลานพระบรมรูปทรงม้า ได้ก่อให้เกิดคำถามตามมามากมาย
แต่คำถามที่สำคัญที่สุดมีอยู่ 2 คำถามด้วยกันคือ
หนึ่ง ทำไมม็อบเสธ.อ้ายถึงม่อยกระรอกง่ายดายชนิดที่เบื้องสูงและเบื้องต่ำของระบอบทักษิณนำไปเยาะเย้ยถากถางให้ได้อายกันทั้งแผ่นดิน ทั้งๆ ที่ถ้าจะว่าไปแล้ว มวลชนจำนวนไม่น้อยยังเดินทางมาไม่ถึงสถานที่ชุมนุมเสียด้วยซ้ำไป
สอง ทำไม เสธ.อ้ายถึง “น้อยอกน้อยใจ” ถึงขึ้นถอดใจยุติบทบาทการเคลื่อนไหวทางการเมืองด้วยประโยคเด็ด “อยากจะกล่าวว่าเสียใจ ต่อจากนี้ไป เสธ.อ้ายได้ตายไปแล้วและจะยุติการเคลื่อนไหวทางการเมืองทุกรูปแบบ” พร้อมทั้งตามมาด้วยการประกาศลาออกจากประธานมูลนิธิศิษย์เก่าโรงเรียนเตรียมทหารไปพร้อมๆ กัน
กระทั่งทำให้ผู้ชุมนุมมีสีหน้ามึนงงและส่งเสียงโห่ร้องด้วยความไม่พอใจของแกนนำองค์การพิทักษ์สยาม
เกิดความร้าวฉานภายในองค์กรนำดังที่มีการตั้งคำถาม จริงหรือไม่ และมีความเกี่ยวข้องกับ นต.ประสงค์ สุ่นศิริ ที่หายตัวไปจากรถบัสเล็กที่ดัดแปลงเป็นกองบัญชาการของการชุมนุมครั้งนี้อย่างไร
เกิดความผิดพลาดในการประสานงานกับกลุ่มมวลชนจนทำให้ไม่มาตามนัดจริงหรือไม่
หรือเป็นความพ่ายแพ้ทางยุทธวิธีที่ไม่สามารถฝ่าด่านทุกองคาพยพของรัฐบาลที่ขัดขวางการชุมนุมของภาคประชาชนในทุกรูปแบบ กันแน่
อย่างไรก็ตาม ถ้าหากจะวิเคราะห์ความพ่ายแพ้ของ เสธ.อ้ายในการนำภาคประชาชนออกมาชุมนุมครั้งนี้ ก็คงต้องพุ่งเป้าไปที่ประเด็นสำคัญที่ว่า มียุทธวิธีหรือปัจจัยอะไรบ้างที่จะสามารถคว่ำรัฐบาลยิ่งลักษณ์ให้พ้นไปจากการ บริหารราชการแผ่นดินได้บ้าง
แน่นอน เมื่อทอดสายตาดูแล้วพบว่ามีเพียง 2 วิธีเท่านั้นที่จะทำได้
วิธีแรกคือ การปฏิวัติโดยประชาชน ซึ่งปัจจัยชี้ขาดชัยชนะมีเพียงประการเดียวคือ มีประชาชนจำนวนมากพอเหมือนเช่นที่เกิดในประเทศอียิปต์ และสิ่งที่จะทำให้มวลชนทั้งประเทศลุกฮือขึ้นมาขับไล่รัฐบาลโดยพร้อมเพรียงกันก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ณ ขณะนั้นว่า สุกงอมเพียงพอ หรือไม่
และวิธีที่สองคือ การปฏิวัติโดยทหาร ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำให้ทหารในยุคนี้สมัยนี้ ตัดสินใจหยิบปืนหยิบอาวุธขับรถถังออกมาทำรัฐประหาร และถ้าจะเป็นไปได้มีเหตุผลประการเดียวคือการลุกฮือของประชาชนต้องมีจำนวนมากพอที่จะเป็นผนังทองแดงกำแพงเหล็กให้กับทหาร
ทว่า เมื่อแยกแยะการชุมนุมของเสธ.อ้ายเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายนก็จะเห็นว่า ไม่เข้าเงื่อนไขที่จะทำให้เกิดการปฏิวัติทั้ง 2 วิธี เพราะม็อบเสธ.อ้ายมิได้ขยายแนวร่วมให้กว้างขวางออกไปจากเดิมได้ ทำให้กลุ่มผู้ชุมนุมที่เข้าร่วมเป็นเพียงมวลชน “คนทนไม่ไหว” หน้าเดิมๆ เพียงกลุ่มเดียว ขณะที่มวลชนอีก 3 กลุ่มตัดสินใจไม่เข้าร่วมการชุมนุมในครั้งนี้
มวลชนกลุ่มแรกเป็นมวลชนที่เห็นความหายนะของชาติบ้านเมืองภายใต้ระบอบทักษิณ ซึ่งถ้าจะว่าไปแล้วมวลชนกลุ่มนี้มีฐานแนวความคิดเดียวกับมวลชนคนทนไม่ไหวเช่นกัน เพียงแต่พวกเขาเห็นว่า สถานการณ์ทางการเมือง สถานการณ์ทางเศรษฐกิจและสังคม ภายใต้การบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ยังไม่มีเงื่อนไขที่เพียงพอ เมื่อเทียบกับการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ประชาชนกลุ่มนี้พร้อมใจกันออกมาเพราะเห็นว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ดันทุรังที่จะนำร่าง พ.ร.บ.ปรองดองแห่งชาติ พ.ศ.....ที่บิ๊กบัง-พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลินเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาเพื่อนิรโทรกรรมและลบล้างความผิดให้ นช.ทักษิณ ชินวัตร รวมถึงแกนนำคนเสื้อแดงที่เผาบ้านเผาเมือง
มวลชนกลุ่มที่สองเป็นมวลชนคนธรรมดาที่โดยปกติจะมิรู้ร้อนรู้หนาวกับความพินาศฉิบหายของบ้านเมืองเท่าใดนัก ยกเว้นเสียแต่ว่า ความพินาศฉิบหายเหล่านั้นจะมากระทบกระเทือนผลประโยชน์ของตัวเอง เช่น การขึ้นค่าแรง 300 บาทในอีก 70 จังหวัดที่จะผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2556 ตามมติคณะรัฐมนตรี หรือโครงการรับจำนำที่กำลังสร้างปัญหาให้กับระบบการเงินการคลังของประเทศ ซึ่งสถานการณ์ในขณะนี้ ยังไม่เข้าเงื่อนไขของประชาชนกลุ่มนี้
และมวลชนกลุ่มที่สามคือมวลชนที่มาจากการระดมของพรรคการเมือง ซึ่งเป็นที่ชัดเจนแล้วว่า ครั้งนี้ พรรคแมลงสาบยังคงสันดานเดิมอย่างไม่เปลี่ยนแปลง คือมิได้เข้าร่วมอย่างเต็มตัวเหมือนที่โหมโรงผ่านสื่อในสังกัดอย่าง บลูสกายหรือทีนิวส์ในช่วงแรกๆ และเมื่อเห็นสัญญาณว่า เสธ.อ้ายไม่สามารถดำเนินการตามที่ประกาศไว้ พรรคแมลงสาบก็ถอนตัวกลางคันเอาเสียดื้อๆ และหันไปใช้วิชาก้นหีบที่ถนัดคือ “วิชาดีแต่พูด” ในการเปิดอภิปรายไว้วางใจต่อไป
“หากวิเคราะห์ลงลึกในระดับมวลชนจะพบว่าผู้เข้าร่วมชุมนุมส่วนใหญ่เดินทางมาจากพื้นที่ต่างจังหวัด สำหรับคน กทม. นั้นมีน้อย นั่นเพราะประเด็นที่แกนนำใช้เพื่อเคลื่อนไหวยังไม่ตกผลึก กล่าวคือแม้ใช้ดึงคนบางส่วนที่เคยต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในพื้นที่ กทม.ออกมาร่วมชุมนุมได้บ้าง แต่ส่วนใหญ่ใน กทม.จะมองว่าสถานการณ์ยังไม่ถึงขั้นสุกงอม ยังไม่มีความจำเป็นต้องออกมา ท้ายที่สุดเป้าหมายแรกของ พล.อ.บุญเลิศที่ต้องการให้จำนวนผู้ชุมนุมถึง 1 ล้านคน จึงไม่บรรลุผล” พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต” รองคณบดีฝ่ายวิชาการ คณะพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม สถาบันบัณฑิตพัฒนาบริหารศาสตร์ (นิด้า) วิเคราะห์
เมื่อเป็นเช่นนั้น ม็อบเสธ.อ้ายจึงไม่ประสบความสำเร็จ เพราะเมื่อประชาชนมีไม่มากพอ ทหารที่ว่ากันว่า เสธ.อ้ายหรือ “ใครบางคน” ไปต่อสายคุยเอาไว้ก็สงบนิ่งอยู่ในกรมกองอย่างมีความสุขต่อไป ประกอบกับเมื่อหัวไม่กระดิกเพราะไม่มีสัญญาณแต่งตั้งโยกย้ายที่กระทบต่อประโยชน์ส่วนตัวและมีคำสั่งครั้งแล้วครั้งเล่าเรื่องห้ามทหารออกมาร่วมชุมนุม ทหารซึ่งโดยปกติมีระเบียบวินัยเคร่งครัดเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงไม่กล้าหักหัวขบวนที่มอบหัวใจให้ลีลา WOMAN’S TOUCH ไปเรียบร้อยแล้ว
ม็อบเสธ.อ้ายจึงเอวังด้วยประการฉะนี้
ปัญหามีอยู่ว่า ใครทำให้ เสธ.อ้ายเชื่อว่า สถานการณ์สุกงอมเพียงพอที่จะทำให้ประชาชนหลั่งไหลออกมาจากทั่วทุกสารทิศ แล้วมวลชนจาก “ไชยวัฒน์ สินสุวงศ์” ที่ฝันหวานว่ามีเป็นหลักแสนคนหายไปอยู่ที่ไหน ทำไมถึงไม่มาตามนัด
ปัญหามีอยู่ว่า ใครทำให้ เสธ.อ้ายเชื่อว่า พรรคแมลงสาบจะระดมคนออกมาชนิดมืดฟ้ามัวดิน ใช่ “เจ๊ติ๊งต่าง” กาญจนี วัลยะเสวี แม่ยกที่เทหัวใจให้พรรคแมลงสาบจนหมดหน้าตักหรือไม่
ปัญหามีอยู่ว่า ใครทำให้ เสธ.อ้ายชื่อว่า เมื่อถึงเวลา “ทหาร” จะออกมา ใช่คนที่หนีหายไปจากรถบัญชาการตามที่ปรากฏเป็นข่าวหรือไม่
ไม่เช่นนั้น เสธ.อ้ายคงไม่บ่นน้อยอกน้อยใจ “น้องๆ ทหาร” อย่างฟูมฟายเยี่ยงนี้ แถมยังมีความเชื่อผิดๆ อีกต่างหากว่า เพียงแค่ตำรวจตัดสินใจใช้แก๊สน้ำตา จะมีทหารออกมาช่วยเหลือประชาชน
“สำหรับการลาออกจากตำแหน่งประธานมูลนิธิศิษย์เก่าโรงเรียนเตรียมทหารนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการร่างหนังสือ โดยสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากรู้สึกน้อยใจรุ่นน้องในเรื่องที่ประสานขอให้มาดูแลประชาชนที่มาชุมนุมหากเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้แก๊สน้ำตาอีก แต่กลับได้รับคำตอบว่า ต้องพิจารณาก่อน รวมถึงน้อยใจตำรวจด้วย เพราะบางคนก็จบจากโรงเรียนเตรียมทหารเช่นกัน”พล.อ.บุญเลิศกล่าวในการแถลงข่าวที่สนามม้านางเลิ้งเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน
หลายคนตั้งข้อสังเกตว่า รุ่นน้องที่เสธ.อ้ายน้อยใจคือ พล.อ.ดาวพงษ์ รัตนสุวรรณ รองผู้บัญชาการทหารบกอย่างที่ตกเป็นข่าว ใช่หรือไม่
หลายคนตั้งข้อสังเกตว่า รุ่นน้องที่เสธ.อ้ายน้อยใจคือ พล.ท.ไพบูลย์ คุ้มฉายา แม่ทัพภาคที่ 1 อย่างที่ตกเป็นข่าว ใช่หรือไม่
แต่คนที่เป็นไปได้มากที่สุดน่าจะเป็น “เจ้าเก่า” เป็น “อำมาตย์สายเหยี่ยว” คนเดียวกับที่ทำให้เสธ.อ้ายเชื่อว่าทหารจะออกมามากกว่า
ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ ในความเป็นจริงแล้ว การลากให้ทหารออกมาปฏิวัติไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนดังเช่นนี้ “พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน” อดีตประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ(คมช.) ให้สัมภาษณ์เอาไว้ว่า “วันนี้มีทหารแตงโมเต็มไปหมด อย่าไปคิด แค่คิดก็รู้แล้ว”
ไหนจะตำรวจมะเขือเทศที่พร้อมกายถวายชีวิตให้ตั้งแต่หัวจรดหาง แดงกันทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.) จนทำให้เสธ.อ้ายพ่ายแพ้ทางยุทธวิธีเยี่ยงนี้
ไหนจะผู้ว่าราชการจังหวัดชาเย็นหรือนายอำเภอชาเย็นที่ “เจ๊ ด.” แต่งตั้งและวางคนครอบคลุมไปทั่วทุกจังหวัดทั่วประเทศ
นี่คือความผิดพลาดที่ต้องทบทวนบทเรียนของบรรดาทหารแก่อย่าง พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ พล.อ.ปฐมพงศ์ เกสรศุกร์ พล.อ.ณัฐชัย เพิ่มทรัพย์ พล.ร.อ.ชัย สุวรรณภาพ พล.ท.บุญยัง บูชา พล.อ.กิตติศักดิ์ รัฐประเสริฐ พล.อ.ท.วัชระ ฤทธาคนี นต.ประสงค์ สุ่นศิริ และอาจรวมไปถึง พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน และ พล.ร.อ.พะจุณณ์ ตามประทีป
ดังนั้น นิทานเรื่องนี้จึงสอนให้รู้ว่า โปรดใช้วิจารณญาณในการยุแยงตะแคงรั่วของบรรดา “จอมเป่าหู” และอย่าไว้วางวางใจ “พรรคแมลงสาบ” ที่รู้หลบเป็นปีกรู้หลีกเป็นหางอีกต่อไป
ใครคือเพื่อนแท้ ใครคือเพื่อนกิน ใครมีแต่คำคุยโตแต่เอาเข้าจริงไม่เป็นไปตามที่โม้ งานนี้ เสธ.อ้ายคงซึ้งใจเกินกว่าที่จะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้
แต่กระนั้นก็ดี สิ่งที่ต้องชื่นชมก็คือ การตัดสินใจถอยทัพกลางกระดานของเสธ.อ้าย เพราะเมื่อประมวลสถานการณ์โดยรวมว่า ไม่สามารถบรรลุเป้าหมายที่ต้องการก็ไม่ลังเลที่จะเลิก เนื่องเพราะถ้าดันทุรังต่อไปก็จะทำให้ประชาชนบาดเจ็บและล้มตายจากการใช้ความรุนแรงในทุกรูปแบบของรัฐบาลกับประชาชนได้
น้ำใจของเสธ.อ้ายยิ่งใหญ่ยิ่งนักในประเด็นนี้
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่า ล่าสุดท่าทีของ เสธ.อ้ายจะเปลี่ยนไปไปอีกครั้ง เพราะหลังจากที่ประกาศชัดเจนว่าจะไม่เป็นแกนนำอีกต่อไป แต่คล้อยหลังเพียงแค่ 3 วันก็กลับมีท่าทีใหม่
“ไม่ขอเป็นแกนนำแล้ว ส่วนใครจะขึ้นมาแทนนั้นยังไม่ทราบ ยังไม่ได้คุยกันภายใน อพส.ว่าใครจะเป็นแกนนำ ซึ่งอาจจะเป็น พล.อ. ปฐมพงษ์ เกษรศุกร์ หรือ น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ ก็ได้ แต่หากประชาชนเรียกร้องให้ผมเป็นผู้นำในการชุมนุมครั้งต่อไปก็พร้อมรับหน้าที่ต่อ"
แถมล่าสุดยังให้สัมภาษณ์ถึงแนวคิดที่จะ “ติดอาวุธ” สู้กับรัฐบาลอีกต่างหาก ซึ่งก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขรมทั้งแผ่นดินว่าจะทำลายความชอบธรรมของภาคประชาชนและเข้าทางรัฐบาลที่ง้างเท้ารอขยี้เสียมากกว่า
ที่สำคัญคือ ถ้าเป็นเช่นนั้น จะต่างอะไรกับการชุมนุมเผาบ้านเผาเมืองของคนเสื้อแดง
แน่นอน การกลับลำของ พล.อ. บุญเลิศในครั้งนี้ ทำให้เกิดคำถามตามมาว่า ใช่เป็นเพราะเคลียร์ใจกันจบแล้วใช่หรือไม่ ไม่เช่นนั้นอาการน้อยอกน้อยใจประหนึ่งว่าเข็ดขี้เข็ดเยี่ยวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้คงไม่ปลาศนาการหายไปในเร็ววันเช่นนี้
ใครเป็นคนกล่อมให้ เสธ.อ้ายกลับหลังหัน 360 องศาเช่นนี้ ใช่เป็นคนคนเดียบกัวที่กล่อมให้ เสธ.อ้ายเชื่อว่าทหารจะออกมาหรือไม่
แต่ไม่ว่าจะ เสธ.อ้ายจะเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอย่างไร สิ่งหนึ่งซึ่งเป็นอานิสงส์หรือคุณูปการในการชุมนุมครั้งนี้ที่สำคัญยิ่งก็คือ พลังของประชาชนที่ไม่เอาระบอบทักษิณและรัฐบาลยิ่งลักษณ์นั้น เป็นพลังที่ไม่อาจดูแคลนได้ เพราะเพียงแค่การทดสอบกำลังก็เล่นเอารัฐบาลกลัวจนปัสสาวะและอุจจาระเรี่ยราดจนต้องประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ และระดมตำรวจจำนวนมหาศาลมาสกัดกั้น
เมื่อใดก็ตามที่เงื่อนไขสุกงอมเพียงพอ และประชาชนตื่นรู้มากกว่านี้ พลังจะถูกสำแดงให้เห็นมากกว่านี้อีกหลายเท่า