xs
xsm
sm
md
lg

ใครชนะใจมวลชน ผู้นั้นชนะ!

เผยแพร่:   โดย: สันติ ตั้งรพีพากร

ใครชนะใจมวลชน ผู้นั้นชนะ! ใครชนะใจมวลชนตื่นรู้ ผู้นั้นชนะตลอดไป !! – ประเทศไทยถึงจุดเปลี่ยน และเปลี่ยนแปลงได้ด้วย “สงครามมวลชน”

เกริ่นนำ

บทวิเคราะห์เชิงทฤษฎีชิ้นนี้ ผู้เขียนได้เขียนขึ้นเมื่อวันที่ ๑ ตุลาคมที่ผ่านมา และทำการเผยแพร่เป็นการภายในจากมือถึงมือ มุ่งให้เกิดการแลกเปลี่ยนทางความคิด เพื่อหาทางออกให้แก่ประเทศชาติ

ถึงวันนี้ เหตุการณ์ได้พัฒนามามาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายหลังการจัดชุมนุมที่สนามม้านางเลิ้งขององค์การพิทักษ์สยามและกลุ่มภาคี มวลชนตื่นรู้มากขึ้น กว้างขวางยิ่งขึ้น พอที่จะรับรู้แนวคิดที่ผู้เขียนนำเสนอนี้ได้ จึงตัดสินใจเผยแพร่สู่สาธารณะ โดยไม่มีการดัดแปลงแก้ไขในเนื้อหาสาระใดๆเลย ดังต่อไปนี้

ในการนำเสนอความจริงต่อมวลชนพันธมิตรฯ มีสองเรื่องสำคัญ ที่จำเป็นต้องทำความกระจ่าง หนึ่งคือ ประเทศไทยถึงจุดเปลี่ยน สองคือ ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงได้ด้วย “สงครามมวลชน” ทั้งสองเรื่องนี้ สะท้อนให้เห็นถึงแก่นแท้หรือ “กฎ”ที่กำลังกำหนดความเป็นไปของสังคมไทย

ประเทศไทยถึงจุดเปลี่ยน

ด้วยสาเหตุสำคัญสองประการ คือ

1.สาเหตุจากภายนอก เมื่อแกนขับเคลื่อนพัฒนาการเศรษฐกิจโลกย้ายมายังตะวันออก ประเทศจีนกลายเป็น “ปัจจัยกำหนด”แทนที่ประเทศอุตสาหกรรมตะวันตก เกิดปรากฎการณ์ “ลมตะวันออกพัดกลบลมตะวันตก” สิ่งใดที่เป็น “แบบจีน” ได้รับความสนใจเป็นพิเศษ ทั้งประเทศกำลังพัฒนาและประเทศที่พัฒนาแล้ว ยิ่งเมื่อประเทศอุตสาหกรรมตะวันตกประสบวิกฤติเศรษฐกิจการเงินครั้งใหญ่ ยืดเยื้อเรื้อรังมาตั้งแต่ปี 2008 และยังไม่พบทางออก ประเทศจีนและการจัดการแบบจีน จึงยิ่งโดดเด่น โดยเฉพาะการสร้างเสถียรภาพทางการเมือง กับการพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชน ด้วยเห็นว่าสามารถตอบโจทย์การบริหารประเทศได้ดีที่สุดในยุคปัจจุบัน นั่นคือ เมื่อมีเสถียรภาพทางการเมือง ก็สามารถดำเนินนโยบายพัฒนาประเทศได้อย่างต่อเนื่อง สร้างความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ และความก้าวหน้าทางสังคมได้อย่างแท้จริง สามารถดำเนินโครงการต่างๆในการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน สอดคล้องกับความเรียกร้องต้องการของประชาชน เป็นที่พอใจของประชาชน เมื่อนั้น คณะผู้บริหารหรือรัฐบาลผู้ใช้อำนาจบริหาร จะยิ่งได้รับความไว้วางใจและเสียงสนับสนุนจากประชาชน เกิดบรรยากาศสร้างสรรค์ทางการเมืองยิ่งขึ้นเรื่อยๆ กล่าวโดยรวมก็คือ “การเมืองสร้างสรรค์” แบบจีน กำลังกลายเป็น “ต้นแบบ” ให้ประเทศต่างๆนำไปประยุกต์ใช้ แต่ก็มีนักการเมืองเลวๆในบางประเทศ นำการเมืองสร้างสรรค์แบบจีน ไปหลอกประชาชน เพื่อสร้างอำนาจผูกขาดเบ็ดเสร็จ ในประเทศไทยก็เช่นกลุ่มทุนนิยมสามานย์ในระบอบทักษิณ ใช้นโยบายประชานิยมสร้างฐานเสียงทางการเมือง ผูกขาดอำนาจในระบบรัฐสภา ดำเนินการทุกอย่างไปในทางทุจริตฉ้อฉล แสวงประโยชน์ส่วนตน จากนี้ไปบั่นทอน ทำลาย ล้มล้าง อำนาจส่วนอื่นๆ เพื่อกรุยทางไปสู่การสร้าง “รัฐไทยใหม่” ตามแนวคิดอุดมการณ์ทางการเมืองที่มีการออกแบบไว้ล่วงหน้า

2.สาเหตุจากภายใน มีสองส่วน คือส่วนที่เป็นข้อจำกัดของระบบรัฐสภาไทย ที่ในอดีตไม่สามารถทำหน้าที่คัดกรองบุคลากรการเมืองที่ดีเข้าใช้อำนาจบริหารประเทศได้ และปัจจุบันตกอยู่ในการครอบงำของกลุ่มทุนนิยมสามานย์ในระบอบทักษิณ ในอีกมุมหนึ่ง มันเป็นเพียงเวทีแสดงโวหารและวาทะกรรมซ้ำซากของนักการเมือง “ตลาด” ที่ยังยึดติดในระบบรัฐสภา หวังสร้างคะแนนเสียง เพื่อชัยชนะในการเลือกตั้ง ซึ่งนับวัน “เลื่อนลอย” ห่างเหินจากความเป็นจริง ไม่สอดคล้องกับความเรียกร้องต้องการของประชาชน ที่ต้องการให้นักการเมืองสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้แก่ประเทศชาติ สร้างความก้าวหน้าให้แก่สังคมไทย และสร้างชีวิตที่ดีให้แก่ประชาชน กับส่วนที่เป็นผลกระทบจากสาเหตุภายนอก เมื่อคนไทยประจักษ์แก่สายตาตนเองแล้วว่า การเมืองสร้างสรรค์แบบจีนตอบโจทย์ประเทศจีนได้ และมีแนวโน้มตอบโจทย์การพัฒนาสร้างชาติของประเทศต่างๆได้ ก็น่าจะตอบโจทย์ประเทศไทยได้ด้วย ทั้งนี้ ระบบสภาประชาชนมีจุดเด่นที่ไม่มีในระบบรัฐสภา ทั้งในด้านการสร้างเสถียรภาพทางการเมือง และการคัดกรองบุคลากรทางการเมือง เปิดทางให้แก่การสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้แก่ประเทศชาติ สร้างความก้าวหน้าให้แก่สังคม และสร้างชีวิตที่ดีให้แก่ประชาชน ด้วยเหตุนี้ ประเทศไทยสามารถใช้ระบบสภาประชาชนแทนที่ระบบรัฐสภา โดยยังคงไว้ซึ่งระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (เรียกเต็มๆว่า “ระบอบประชาธิปไตยประชาชนอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” )

สรุป ประเทศไทยถึงจุดเปลี่ยน สะท้อนกฎแห่งการพัฒนาของสังคมไทย และเมื่อขบวนการการเมืองภาคประชาชนนำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก้าวออกมา แสดงบทบาทเป็น “เจ้าภาพ” ทำการขับเคลื่อนกระบวนการเปลี่ยนแปลงด้วยตนเอง ก็ไม่มีทางเลือกอื่นใด นอกจากดำเนินการเปลี่ยนแปลงเพื่อผลประโยชน์ของประชาชน ด้วยการล้มอำนาจกลุ่มทุน เฉพาะหน้านี้ก็คือกลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณ เลิกระบบรัฐสภา สถาปนาอำนาจประชาชนขึ้นแทนที่ ในรูปของระบบสภาประชาชน ระดมสรรพกำลัง สามัคคีคนไทยทุกฝ่าย ทุกระดับชั้น เข้าร่วมพัฒนาสร้างชาติ สนองตอบความเรียกร้องต้องการของคนไทยทั้งประเทศ

ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงได้ด้วย “สงครามมวลชน”

ข้อวินิจฉัยนี้ สะท้อนถึงกฎการเปลี่ยนแปลงของประเทศไทย อันเนื่องจากการขับเคี่ยวกันระหว่างกลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณกับขบวนการการเมืองประชาชนที่มีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเป็นแกนนำ ในฐานะเป็นคู่ขัดแย้งหลัก กำหนดอนาคตของประเทศไทย นั่นคือ หากกลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณได้รับชัยชนะ ประเทศไทยก็จะเปลี่ยนไปเป็น “รัฐไทยใหม่” ภายใต้การครอบงำกำหนดของกลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณ ตรงกันข้าม หากชัยชนะตกอยู่กับฝ่ายพันธมิตรฯ ประเทศไทยก็จะก้าวไปสู่ความเป็นสังคมประชาธิปไตย ที่อำนาจกำหนดอยู่ในมือของประชาชน

ในขั้นปัจจุบัน กลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณมุ่งใช้เวทีการเมืองในระบบรัฐสภา ประสานกับการเคลื่อนไหวมวลชนนำโดยกลุ่ม “นปช.” ขับเคลื่อนกระบวนการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย มุ่งสร้างรัฐไทยใหม่ พวกเขาชูธง “ประชาธิปไตยที่แท้จริง” แสดงตนเป็น “คอม” ประกาศตัวเป็นตัวแทนชนชั้นผู้ยากไร้ นำการต่อสู้ทางชนชั้น พุ่งหัวหอกเข้าใส่ “กลุ่มอำมาตย์” สร้างความไขว้เขวและสำคัญผิดขึ้นในหมู่มวลชนเป็นอย่างมาก ด้วยเหตุนี้ การเปลี่ยนแปลงประเทศไทยไปในทิศทางที่ถูกต้อง บรรลุเป้าหมายทางประวัติศาสตร์ ตามเจตจำนงค์ทางการเมืองของปวงชนชาวไทยที่แท้จริง จึงหนีไม่พ้นที่จะต้องดำเนินการรณรงค์เสนอความจริงเข้าสู่มวลชน เช่นการ “จุดเทียนปัญญา” ที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง สร้างความเป็นปึกแผ่นทางความคิดขึ้นในหมู่มวลชน

ความเป็นปึกแผ่นทางความคิดของมวลชน คือฐานรองรับพลังอำนาจการเมืองยุคใหม่ของประเทศไทย เป็น “ปัจจัยชี้ขาด”ในการทำสงครามมวลชน

ปัจจุบัน การขับเคี่ยวกันระหว่างกลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณกับขบวนการการเมืองภาคประชาชนนำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ปรากฏชัดแล้วว่า มันดำเนินไปในลักษณะของการทำ “สงครามมวลชน” ถือเอาพลังอำนาจของมวลชนเป็นตัวตัดสินแพ้ชนะ เพราะลำพังการใช้เสียงส่วนใหญ่ในระบบรัฐสภา ไม่ทำให้กลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณมีความชอบธรรมมากพอที่จะดำเนินการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางการเมืองได้อย่างเบ็ดเสร็จ มีอุปสรรคขวากหนามที่มาจากฝ่ายต่อต้านมาก ทั้งจากพรรคฝ่ายค้านในสภา และจากกลุ่มคณะบุคคลในองค์การอิสระและสถาบันที่ยังยึดมั่นในความยุติธรรมจำนวนหนึ่ง ขณะที่การกระทำรัฐประหารโดยกลุ่มทหาร ไม่ว่าฝ่ายใด ก็ไม่อาจให้คำตอบใดๆแก่สังคมไทยและสังคมโลกได้

การทำสงครามมวลชน จึงเป็นรูปแบบการต่อสู้ ที่จะนำไปสู่ผลแพ้ชนะ สามารถเปลี่ยนแปลงประเทศไทยได้อย่างเป็นจริง และฝ่ายใดจะแพ้หรือชนะ “คุณภาพ”ของมวลชนคือปัจจัยชี้ขาด

การวิเคราะห์ให้เห็นถึงความแตกต่างกันระหว่างมวลชนทั้งสองฝ่าย จึงเป็นเรื่องจำเป็น

ความแตกต่างระหว่างมวลชนสังกัดกลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณกับมวลชนสังกัดขบวนการการเมืองภาคประชาชนนำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย อยู่ที่ “ความตื่นรู้” มวลชนกลุ่มแรกขับเคลื่อนไปได้ด้วยแรงกระตุ้นทางอารมณ์ ด้วยข้อมูลเท็จ ประสมกับ “ค่าแรง”เป็นครั้งคราว และคำสัญญาลมๆแล้งๆ อยู่ในฐานะเป็น “เครื่องมือ”ของกลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณ ขณะที่มวลชนกลุ่มหลังขับเคลื่อนด้วย “พลังปัญญาตื่นรู้” จากภายในของตัวเองเป็นสำคัญ มีความสำนึกในความเป็น “เจ้าภาพ”ของตน มีความรับผิดชอบสูง

พลังปัญญาตื่นรู้ เช่นว่านี้ ตั้งอยู่บนฐานของความ “รู้จริง-รู้คิด-รู้ทำ” เป็นพลังที่มีความยั่งยืน เสริมเพิ่มความแข็งแกร่งได้ด้วยตนเองในท่ามกลางการเคลื่อนไหวต่อสู้

นั่นหมายถึงว่า ยิ่งการขับเคี่ยวกันระหว่างสองฝ่ายดำเนินต่อไปนานเท่าไหร่ มวลชนฝ่ายพันธมิตรฯ จะยิ่งทวีความแข็งแกร่ง ยืนหยัดอย่างเหนียวแน่นอยู่บนหลักการที่ถูกต้อง เป็นที่เชื่อมั่นศรัทธาของสังคมโดยรวมยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ตรงกันข้าม มวลชนในสังกัด “นปช.”เคลื่อนไหวไปตามแรงขับจากภายนอก มากในเชิงปริมาณ แต่ด้อยในเชิงคุณภาพ แสดงออกถึงความเป็น “เครื่องมือ” ของกลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ และไม่เป็นที่ยอมรับของสังคมโดยรวมในที่สุด

สรุปคือ การขับเคี่ยวกันระหว่างกลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณกับขบวนการการเมืองภาคประชาชนนำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในรูปของการทำ “สงครามมวลชน” จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของประเทศไทยครั้งใหญ่

ระบอบประชาธิปไตยประชาชนอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขจะปรากฏเป็นจริง

สงครามมวลชน


การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของประเทศชาติและประชาชนอย่างแท้จริง มักหนีไม่พ้นต้องทำ “สงคราม”

ในยุโรป สมัยที่กลุ่มทุนลุกขึ้นโค่นล้มอำนาจปกครองของกลุ่มศักดินา ก็ด้วยการทำ “สงครามปฏิวัติชนชั้นนายทุน” รุกรบฆ่าฟันกันหลายระลอก ต่อเนื่องกันหลายสิบปี

ในรัสเซีย สมัยที่พรรคบอลเชวิคนำมวลชนโค่นล้มอำนาจกลุ่มทุน(ที่โค่นล้มราชวงศ์โรมานอฟมาก่อนหน้านั้น) ก็ด้วยการทำ “สงครามปฏิวัติชนชั้นกรรมาชีพ” ทำการลุกขึ้นสู้ในเมือง ยึดอำนาจรัฐ และสถาปนาระบอบสังคมนิยม

ในจีน สมัย ดร.ซุนยัดเซ็น (ซุนจงซัน) รวมกำลังฝ่ายต่างๆโค่นล้มอำนาจปกครองของราชวงศ์ชิง ก็ด้วยการทำการลุกขึ้นสู้ในเมืองสำคัญๆต่างๆครั้งแล้วครั้งเล่า จนกระทั่งประสบความสำเร็จในการ “ปฏิวัติซินไฮ่” ต่อมา สมัยพรรคคอมมิวนิสต์จีน ชูธงการปฏิวัติประชาธิปไตยแผนใหม่ ก็ด้วยการทำ “สงครามประชาชน” ใช้ชนบทล้อมเมือง และยึดเมืองในที่สุด

ในดินแดนอาณานิคม ประชาชนชนเผ่าต่างๆ สามารถสามัคคีกันเข้า ขับไล่นักล่าอาณานิคมให้พ้นไปได้ ก็ด้วยการทำ “สงครามกอบกู้เอกราช” ทั้งด้วยสันติวิธี และด้วยกำลังอาวุธ

ในประเทศไทย สมัยการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 คณะราษฎร ก็ทำสำเร็จด้วยการใช้กำลังทหารประจำการ ยึดอำนาจ บีบบังคับให้พระปกเกล้าฯสละอำนาจ และอยู่ภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญ

ณ วันนี้ การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งนี้ มุ่งโค่นล้มอำนาจเผด็จการรัฐสภา ที่สำคัญคือทุนนิยมสามานย์ในระบอบทักษิณ เพื่อนำไปสู่การปฏิรูปประเทศไทยครั้งใหญ่ ขบวนการการเมืองภาคประชาชน โดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและกลุ่มพลังมวลชน “ทุกฝ่าย”แสดงตนเป็น “เจ้าภาพ” ก็จะสำเร็จได้ด้วยการทำ “สงครามมวลชน”

สงครามมวลชน เป็นอย่างไร ? ทำอะไรบ้าง ?

สงครามมวลชน เป็นรูปแบบการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงประเทศไทย ปฏิรูปประเทศไทยได้อย่างเป็นจริง สอดคล้องกับลักษณะของยุคสมัยและสภาวะเป็นจริงของประเทศไทย ปัจจุบัน กำลังดำเนินไปอย่างไม่หยุดยั้ง ในนามขบวนการการเมืองภาคประชาชนนำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย

การทำสงครามมวลชน หลักๆคือการ จุดเทียนปัญญา เปลี่ยนมวลชนให้เป็น “มวลชนตื่นรู้” พลังอำนาจของขบวนการการเมืองภาคประชาชนนำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย อยู่ที่ขนาด (ปริมาณและคุณภาพ) ของมวลชนตื่นรู้ การสร้าง “กองทัพมวลชนตื่นรู้” จึงเป็นภารกิจใจกลางของขบวนการการเมืองภาคประชาชนนำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย

การปรากฏตัวของ “กองทัพมวลชนตื่นรู้” ในท่ามกลางการเคลื่อนไหวต่อสู้ระลอกแล้วระลอกเล่า จะสร้างความเชื่อมั่นให้แก่มวลชนทั่วไป (พลังเงียบ) ซึ่งจะเป็นตัวนำไปสู่การสั่นไหวของกลุ่มอำนาจ/ผลประโยชน์ต่างๆ ทั้งในวงการสื่อ ข้าราชการ โดยเฉพาะตำรวจทหาร และนำไปสู่การแสดงจุดยืน(แบบฉวยโอกาส)สนับสนุนการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในที่สุด

เมื่อนั้น การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองก็จะดำเนินไปอย่างทั่วด้าน อำนาจกำหนดจะตกอยู่ในมือของขบวนการการเมืองภาคประชาชนนำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย การปฏิรูปประเทศไทยครั้งใหญ่ก็จะเกิดขึ้นได้จริง

ทั้งนี้ การทำสงครามมวลชน มีแต่ขบวนการการเมืองภาคประชาชนนำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเท่านั้นที่จะกระทำได้ กลุ่มมวลชนในสังกัดของ “นปช.” เป็นเพียงเครื่องมือทางการเมืองของกลุ่มทุนทักษิณ ส่วนมวลชนพรรคประชาธิปัตย์ก็เป็นเพียงส่วนพ่วงของพรรคประชาธิปัตย์ ไม่สามารถแสดงตนเป็น “เจ้าภาพ” ดำเนินการเปลี่ยนแปลงได้อย่างแท้จริง

ทั้งมวลชนเสื้อแดงและมวลชนของพรรคการเมือง จึงไม่สามารถแสดงศักยภาพและอานุภาพอันยิ่งใหญ่ได้

มีแต่ “มวลชนตื่นรู้” ของพันธมิตรฯเท่านั้น ที่จะประกอบกันเข้าเป็น “กองทัพมวลชน” อันยิ่งใหญ่ กำหนดการเปลี่ยนแปลงของประเทศไทยได้จริง

มวลชนตื่นรู้

“มวลชนตื่นรู้”
ที่ผู้เขียนนำเสนอในทฤษฎี “สงครามมวลชน” หมายถึงผู้ที่ “รู้จริง รู้คิด รู้ทำ”

“รู้จริง” -- หมายถึงรู้ถึงแก่นแท้ของปัญหา เหตุแห่งปัญหา ต้นเหตุแห่งปัญหา เช่นปัจจุบันนี้ปัญหาประเทศไทยมีมากมาย เป็นอุปสรรคอย่างยิ่งต่อการพัฒนาก้าวหน้าของประเทศไทย บั่นทอนคุณภาพชีวิตของคนไทยอย่างร้ายแรง โดยต้นเหตุหรือ “ปม”ของปัญหาอยู่ที่นักการเมืองในระบบรัฐสภา ซึ่งเฉพาะหน้านี้ก็คือ นักการเมืองตัวแทนกลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณ

“รู้คิด” -- หมายถึงผู้ที่ “รู้จริง”เกิดแนวคิดที่จะแก้ไขปัญหาให้ตกไป สามารถกำหนดเป้าหมายได้อย่างชัดเจน ถูกต้อง สอดคล้องกับสภาพเป็นจริง ปฏิบัติได้สำเร็จจริง เช่นการแก้ไขปัญหาของประเทศไทยจะต้องกระทำด้วยการ “จุดเทียนปัญญา” ปลุกคนไทยให้ตื่นรู้ ร่วมกัน “ทุกฝ่าย” เป็น “เจ้าภาพ” ทำการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย ปฏิรูปประเทศไทย

“รู้ทำ” -- หมายถึงผู้ที่รู้จริง รู้คิด สามารถดำเนินการเคลื่อนไหวได้อย่างมีประสิทธิภาพ เกิดผลสัมฤทธิ์จริง
กำลังโหลดความคิดเห็น