ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-เป็นที่ฮือฮาไม่แพ้กัน เมื่อกรมสอบสวนคดีพิเศษหริอดีเอสไอ ได้มีการเรียกรถจดประกอบที่มีราคา 4 ล้านบาทขึ้นไปมาตรวจสอบ โดยจะยึดข้อมูลจากกรมการขนส่งทางบกเป็นหลัก ซึ่งรถที่เข้าข่ายมีอยู่ 488 คัน เป็นรถที่จดทะเบียนในเขตกรุงเทพฯ 71 คัน ส่วนที่เหลืออีก 417 คัน เป็นรถที่จดทะเบียนในเขตภูมิภาค เพราะหนึ่งในนั้นก็คือรถของ พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หรือหลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม หลังรถยนต์หรูโบราณยี่ห้อ จากัวร์ แพนเธอร์ เปิดประทุน รุ่นปี ค.ศ.1975 สีดำ ทะเบียน กก-1177 กทม. ถูกทางกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) แจ้งให้นำเอกสารในการเสียภาษีไปแสดง เนื่องจากเป็นรถนำเข้าจดประกอบ
ฉับพลันทันที พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หรือ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัด ไผ่ล้อม พร้อมด้วยนายวิโรจน์ อุ่นทรัพย์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติจังหวัดนครปฐม และประธานมูลนิธิหลวงพ่อพูล ได้ร่วมแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน
เพราะนอกจากรถจาร์กัวร์ แพนเธอร์คันงามแล้ว หลวงพี่น้ำฝน ยังมีเรื่อง ร้องเรียนว่าทางวัดได้สะสมรถหรูราคาแพงไว้หลายคันอีกด้วย
ทั้งนี้ หลวงพี่น้ำฝน ชี้แจงว่า รถยนต์จากัวร์ แพนเธอร์ คันที่ต้องสงสัย ตนเองเป็นผู้ครอบครองจริง แต่เป็นรถที่ลูกศิษย์ได้ถวายมาให้จากประเทศสหรัฐอเมริกาเมื่อปี 2554 โดยดำเนินการแยกชิ้นส่วนและจดประกอบ มีบริษัทแห่งหนึ่งใน จ.สมุทรสาคร เป็นผู้ดำเนินการ และเสียภาษีสรรพสามิตจำนวน 1,506,615 บาท โดยนายเติมศักดิ์ ปิติธนสารสมบัติ เจ้าของร้านทองปิติเจริญ ราชวัตร เขตดุสิต กรุงเทพฯ เป็นผู้จ่ายค่าภาษีสรรพสามิต จากนั้นได้นำรถยนต์ไปจดทะเบียนที่สำนักงานขนส่งจังหวัดสระบุรี ต่อมาได้ย้ายมาจดทะเบียนที่กรุงเทพฯ และได้ปฏิบัติตามกฎระเบียบของทางราชการอย่างถูกต้อง
“ส่วนกรณีที่ถูกกล่าวหาว่าทางวัดมีการสะสมรถหรูไว้หลายคัน อาตมายอมรับว่ารถทุกคันได้มาจากลูกศิษย์นำมาถวายทั้งสิ้น และมีเพียงรถจากัวร์ เพ็นเทอร์ เพียงคันเดียวที่เป็นรถจดประกอบ”หลวงพี่น้ำฝนแจกแจง
แม้หลวงพี่คนดังจะออกมายืนยันว่าเสียภาษีถูกต้องตามกฏหมาย แต่นั่นก็ทำเอาคนทั่วไปอดคิดไม่ได้ว่าอาจมีการเชื่อมโยงอะไรกับขาใหญ่แห่งจังหวัดนครปฐมด้วยหรือไม่ เพราะเป็นรับรู้ถึงความสัมพันธ์ของทั้งสองคนเป็นอย่างดี
โดยเฉพาะกรณีที่มีการตั้งสมมติฐานกันตั้งแต่แรกเริ่มว่า อาจจะคาบเกี่ยวไปถึงนักการเมืองบางคนอีกด้วย ซึ่งรายแรกที่โดนพาดพิงถึงคือ นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานฯ ที่มีข่าวว่าพบป้ายทะเบียนรถป้ายดำ ฌล 6217 ที่เป็นของ พ.ต.สุขชาติ สะสมทรัพย์ หรือ บอส ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนจริง
อย่างไรก็ตาม ในกรณีดังกล่าวนายเผดิมชัยได้ออกมา ชี้แจงว่า เป็นทะเบียนรถยูสด์ คาร์ ที่ พ.ต.สุขชาติไปซื้อมาจากกลุ่มขายรถใช้แล้วเมื่อปีที่แล้ว และไม่ถูกใจป้ายทะเบียนนี้จึงไปขอออกทะเบียนใหม่ โดยไม่ได้ใช้ป้ายทะเบียนดังกล่าวอีกแล้ว งานนี้เลยต้องติดตามกันต่อว่า คำชี้แจงของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานฯ นั้น ภายหลังการตรวจสอบผลจะเป็นอย่างไร
ขณะเดียวกัน นายธาริต เพ็งดิษฐ์ ออกมาให้ความเห็นสวนทางว่า พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หรือ หลวงพี่น้ำฝนเจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม อ.เมือง จ.นครปฐม ระบุว่ารถที่อยู่ในบัญชีถูกดีเอสไอตรวจสอบเป็นรถที่ซื้อเป็นคันแต่แยกชิ้นส่วนเพื่อนำเข้ามาในประเทศไทยทางเรือและมาประกอบใหม่เป็นคันเดิม โดยยืนยันว่าเป็นการกระทำที่เข้าข่ายผิดกฎหมายแน่นอนเพราะมีพฤติกรรมหลีกเลี่ยงพิกัดกรมศุลกากร อีกทั้งเลขตัวถัง เครื่องยนต์และเกียร์ยังเป็นเลขซีรี่ส์เดียวกันซึ่งแสดงให้เห็นชัดเจนว่าเป็นรถคันเดียวกัน
ด้วยเหตุดังกล่าวนับจากนี้สังคมก็ต้องติดตามดูว่านายธาริต จะแค่ออกแอ็กชั่นขึงขังอย่างเดียวหรือไม่ เพราะกล้าออกมาพูดเลยว่าเข้าข่ายผิดกฎหมายแน่นอน ก็ต้องมาติดตามดูว่านายธาริต จะกล้าฟันจริงอย่างที่ประกาศไว้หรือไม่
นอกจากนั้น ที่ไม่ยอมตกขบวนด้วยก็คือรายของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ก็ยังมีการเล่นบทแปลกๆ โดยที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีต ส.ว.สรรหา ยื่นเรื่องต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) เพื่อตรวจสอบว่ามีการนำเข้าและเสียภาษีโดยถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่
โดย ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวถึงรถหรู ยี่ห้อโรลส์รอยซ์ ทะเบียนพอ 4444 ว่ารถคันนี้เป็นของเพื่อนบุตรชายตน เป็นการนำเข้าทั้งคัน ไม่ได้จดประกอบ ผ่านกระบวนการศุลกากร เสียภาษีถูกต้อง และทราบว่าขณะนี้ยังผ่อนชำระกับไฟแนนซ์ อยู่
“รถคันนี้เป็นของเพื่อนนักธุรกิจชาวสิงคโปร์ ที่รู้จักกันมาตั้งแต่ เมื่อปี 2524 มีความผูกพันกับครอบครัวของผม และผมรักเหมือนบุตรชายคนโต เวลาที่ทำธุรกิจอะไรก็มักจะนำคนในครอบครัวไปร่วมหุ้นส่วนด้วยเสมอ จนมาทำธุรกิจท่าเรือ และขนส่งทางเรือ จึงให้ ร.ต.อ.ดวง อยู่บำรุง บุตรชาย เป็นหุ้นส่วนด้วย ธุรกิจก็ไปได้ดี ทั้งนี้ เพื่อนนักธุรกิจคนนี้เป็นคนชอบรถยนต์ ซื้อรถยนต์ราคาแพงมาหลายคัน แต่บ้านไม่มีที่จอด จึงนำมาฝากไว้ที่บ้านผม ซึ่งผมสามารถนำไปทำอะไรก็ได้ เพราะชอบพอกัน” รองนายกรัฐมนตรีอธิบาย
ขณะที่ นายราฆพ ศรีศุภอรรถ รองอธิบดีกรมศุลกากร ได้ออกมากล่าวว่า มีการยื่นเรื่องให้ดีเอสไอตรวจสอบกรณีนี้ และทางกรมศุลกากรได้ตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นเพื่อชี้แจงไปแล้ว อย่างไรก็ตาม กรมศุลกากรมีอำนาจในการสืบสวนย้อนหลัง กรณีบริษัทเอกชนนำเข้าสินค้า และสำแดงเท็จ เป็นระยะเวลาทั้งสิ้น 10 ปี ซึ่งหากพบความผิด จะมีโทษจำคุก 10 ปี ปรับ 4 เท่าของอากรที่ขาดไป ส่วนปัญหารถยนต์เกรย์มาร์เก็ตนั้นยืนยันไม่ได้ละเลย รถคันนี้นำเข้าตั้งแต่ปี 53 มีเอกสารชำระภาษีครบถ้วน แต่ทุกกรณีที่มีปัญหาทางกรมได้ตั้งกรรมการสอบแล้วย้ายเจ้าหน้าที่กว่า 100 นาย มีการสอบสวนวินัยร้ายแรง 27 คน กรมศุลกากรยังเร่งหาทางเจรจาทำเอ็มโอยูกับศุลกากรและกรมการขนส่งของประเทศอังกฤษ
เรียกว่าตรวจได้รวดเร็วทันใจดีเหลือเกิน กระทั่งแว่วว่าตอนนี้ชื่อราฆพ ศรีศุภอรรถ รองอธิบดีกรมศุลกากร สายตรง เจ๊ด. แห่งเมืองเหนือโด่งดังได้รับการจับตาเป็นพิเศษหลังจากออกมาการันตีว่ารถหรูของ ร.ต.อ.เฉลิม นำเข้าถูกกฎหมายเสียภาษีถูกต้อง เนื่องเพราะทำให้มีโอกาสลุ้นเก้าอี้ตัวโตแบบเต็งหามในชั่วข้ามคืน
งานนี้อธิบดีดีเอสไอแทบไม่ต้องออกแรง เพราะ แค่วันแรกที่เรื่องถึงมือ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ออกมาประสานเสียงราวกับนัดกันไว้ ไม่ใช่รถจดประกอบ-เสียภาษีถูกต้อง ทำเอาเอาการฮึดฮัดของนายเรืองไกร เป็นการเล่นลิเกฉากหนึ่งไปเลยทีเดียวก็แล้วกัน
อย่างไรก็ตาม ขณะที่ดีเอสไอยังตื่นตูมทำคดี สิ่งที่สังคมกำลังจับตาก็คือความคืบหน้าการติดตามตัว นายนที ริ้วทอง หรือ เป้ แขนด้วน ผู้ต้องหาที่มีการซัดทอดว่าเป็นผู้ว่าจ้างให้ นางองุ่น จึงแสงมณี เจ้าของรถเทรลเลอร์ขนรถหรูที่ถูกเพลิงไหม้ทั้ง 6 คัน ซึ่งดีเอสไอได้นำเครื่องบันทึกภาพจากกล้องวงจรปิดมาตรวจสอบ โดยเห็นหน้าผู้ว่าจ้าง 2 คน อย่างชัดเจนว่าเป็นเสี่ยในวงการรถหรู และรู้จุดที่นำรถ 6 คันไปขึ้นรถเทรลเลอร์ด้วย โดยนางองุ่นยินดีที่จะชี้ตัวผู้ต้องสงสัยทั้ง 2 คน จึงต้องการให้มามอบตัวก่อนที่จะออกหมายจับ ทั้งนี้ พบว่า ทั้งคู่ได้โอนเงินหลาย 10 ล้านบาทไปที่มาเลเซีย คาดว่าเพื่อซื้อรถยนต์
แต่หลังจากที่ดีเอสไอให้ประกันเรียบร้อยแล้ว ก็ไม่พ้นถูกสังคมตั้งคำถามว่าในกรณีนี้ดีเอสไอจะสืบสาวราวเรื่องให้ถึงที่สุดหรือไม่ เพราะอาจไปเจอตอใหญ่
เพราะว่ากันว่ารถหรูที่ถูกเพลิงไหม้ทั้ง 6 คันนั้นมีเป้าหมายเพื่อส่งผ่านแดนไปให้ลูกเขยในประเทศกัมพูชา โดยกลุ่มผู้ประกอบการกาสิโนชายแดนไทย-กัมพูชา ที่มีหุ้นส่วนกับคนใกล้ชิดของเพื่อนซี้ชั่วนิรันดร์ของนายใหญ่ที่อยู่แดนไกล
แน่นอน ขาใหญ่ที่ตกเป็นข่าวนั้น จะเป็นใครไปเสียไม่ได้นอกจาก “ชายตู้เย็นและเจ๊ ด.” ผู้ทรงอิทธิพลแห่งการเมืองไทย เพราะใครต่างก็ทราบดีว่าสายสัมพันธ์แนบแน่นถึงขั้นเป็นทองแผ่นเดียวกันไปเรียบร้อยแล้ว
ส่วนดีเอสไอจะตัดตอนหรือฮึดฮัดจัดฉากปาหี่ให้สังคมดูเล่น เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์