อำนาจและเงินตรา-เป็นที่มาของคำพูดที่ว่า อะไรก็เกิดขึ้นได้ในประเทศไทย!
ตุลาคม 2516 จรดต้นปี 2518 รัฐบาลอาจารย์ “สัญญา ธรรมศักดิ์” ได้เข้าบริหารชาติไทยในยุคประชาธิปไตยเบ่งบานไปทุกหย่อมหญ้า ท่ามกลางคลื่น “ขวาพิฆาตซ้าย” ที่ก่อตัวขึ้นอย่างเงียบเชียบ
จนกระทั่งมีการเลือกตั้งทั่วไป ในวันที่ 26 มกราคม 2518 ก็เกิดเหตุ “พลิกล็อก” ทางการเมืองขึ้นเมื่อ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่ได้ ส.ส.มากเป็นอันดับหนึ่ง คือ 72 คน แต่กลับไม่ได้เป็นนายกฯ ของชาติไทย เพราะถูก ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ผู้เป็นน้องชายที่เป็นหัวหน้าพรรคกิจสังคม ซึ่งได้ ส.ส.เพียงแค่ 18 คน แซงโค้งตัดหน้าขึ้นเป็นนายกฯ คนที่ 36 ของชาติไทย ในวันที่ 14 มีนาคม 2518
ห้วงนั้น รัฐบาล “หม่อมคึกฤทธิ์” ต้องเผชิญหน้ากับการชุมนุมของผู้คนในวงการต่างๆ ไม่เว้นแต่ละวัน แถมกระแส “โดมิโน-คอมมิวนิสต์” ก็โหมกระหน่ำชาติไทยอย่างรุนแรงอีกด้วย
จน “ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช” นายกฯ กับ “พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ” รมว.ต่างประเทศ ต้องรีบเดินทางไปเปิดความสัมพันธ์ทางการทูตกับสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างเป็นทางการ ในวันที่ 1กรกฎาคม 2518
เพื่ออาศัย “จีน-พี่เอื้อยใหญ่” ของพรรคคอมฯ ไทย ช่วยกดดันพรรคคอมฯ ไทยให้ยุติปฏิบัติการล้มล้างระบอบการเมืองไทยปัจจุบัน ดังนั้น ภาพ “คึกฤทธิ์” จับมือกับ “เหมา เจ๋อตุง” จึงฮือฮาไปทั้งโลก เพราะมันมีความหมายลึกๆ ไม่น้อยซ่อนเร้นอยู่ในนั้น
แต่รัฐบาล “หม่อมคึกฤทธิ์” ดำรงอยู่ได้ไม่นาน ก็เกิดความขัดแย้งทางการเมืองมากมาย บวกกับยังมีการขัดผลประโยชน์ของนักการเมืองอย่างหนัก จน “หม่อมคึกฤทธิ์” จำต้องยุบสภา ในวันที่ 12 มกราคม 2519
การเลือกตั้งครั้งใหม่ เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2519 พรรคประชาธิปัตย์ชนะอย่างท่วมท้น และได้เป็นแกนนำตั้งรัฐบาล ทำให้ “ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช” ได้เป็นนายกฯ คนที่ 37 ในวันที่ 20 เมษายน 2519
รัฐบาล “หม่อมเสนีย์” ต้องเผชิญกับคลื่นประชาธิปไตยเบ่งบาน ซึ่งมีการชุมนุมเรียกร้องสารพัดเรื่อง ทั้งของกรรมกร-ชาวไร่ชาวนา-พนักงานรัฐวิสาหกิจ-ข้าราชการต่างๆ การเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ปัญหาราคาสินค้าการเกษตรตกต่ำ รวมทั้งให้รัฐบาลแก้ปัญหาข้าวของราคาแพง เป็นต้น
ในขณะเดียวกันกับนักศึกษาจำนวนไม่น้อยของทุกมหาวิทยาลัย ได้ลงสัมผัสชีวิตจริงของผู้คนบนแผ่นดินไทย ผ่านการทำกิจกรรมออกค่ายรับรู้ทุกข์สุขของประชาชนอย่างกว้างขวางทั้งในเมืองและชนบท
ยุคนั้น..ภายใต้ความอ่อนแอของรัฐบาลไทย ที่นำโดยรัฐบาล “หม่อมเสนีย์” การชุมนุมต่อสู้เพื่อความถูกต้องชอบธรรมที่ผุดขึ้นอย่างกว้างขวางราวดอกเห็ดนั้น บางกลุ่มก็มีเคลื่อนไหวโดยนักศึกษาและประชาชน ที่รักชาติรักประชาธิปไตยอย่างแท้จริง และบางกลุ่มก็มีสมาชิกพรรคคอมฯ ไทยนำหรือหนุนหลังอยู่
ขณะที่ในรัฐบาล “หม่อมเสนีย์” เอง ก็มีเงา “ขวาพิฆาตซ้าย” ของนักการเมืองบางคน ใช้สื่อของรัฐและกลไกรัฐทั้งตำรวจ-ทหารให้ร้ายป้ายสีนักศึกษาและประชาชนอยู่ตลอดเวลา ด้วยการโกหกแบบ “เหวี่ยงแห” ว่า การชุมนุมเคลื่อนไหวเรียกร้องความเป็นธรรมทั้งหมดในเวลานั้น มีคอมฯ ไทยบงการอยู่เบื้องหลังทั้งสิ้น
จนในที่สุด..สถานการณ์การเมืองก็ถึงจุดการปราบปรามเข่นฆ่าประชาชน ที่รักชาติรักประชาธิปไตย โดยกำหนดให้มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และท้องสนามหลวง เป็นลานประหารชีวิตคนไทยถึง 46 รายอย่างโหดเหี้ยม ท่ามกลางสายตาผู้คนทั้งโลก เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519
โดยมีการสร้างสถานการณ์นำเอา “จอมพลถนอม” ห่มผ้าเหลืองเดินทางกลับประเทศไทย เพื่อเป็นชนวนเหตุการชุมนุมต่อต้านของผู้คน ก่อนจะนำไปสู่การฆ่าหมู่คนไทยอย่างป่าเถื่อน ทั้งแขวนคอและเผาหมู่คนทั้งเป็นใต้ต้นมะขาม อีกทั้งฆ่าข่มขืนนักศึกษาหลายคนอย่างทารุณ ก่อนจะทำรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาล “มะเขือเผา-เสนีย์” ลงในที่สุด
รัฐบาลเผด็จการทหารได้ขึ้นครองเมืองอีกครั้ง มี ผบ.สส.พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ เป็นหัวเรือใหญ่ที่ทำรัฐประหาร ในนาม “คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน” ก่อนจะตั้ง “นายธานินทร์ กรัยวิเชียร” เป็นนายกฯ คนที่ 39 ของชาติไทย โดยสื่อมวลชนให้ฉายาว่า “รัฐบาลหอย”
การเข่นฆ่าคนไทยอย่างป่าเถื่อนของอำนาจรัฐ “เผด็จการทหาร” ครั้งนั้น ทำให้นักศึกษาและประชาชนจำนวนหนึ่งถูกจับกุมคุมขัง บางส่วนหลบลี้ภัย “ขวาพิฆาตซ้าย” ไปอยู่ยังต่างแดน แต่ผู้คนมากมายที่ไม่พอใจรัฐบาลเผด็จการทหาร ได้พากัน “เข้าป่าจับปืน” เพื่อต่อสู้โค่นล้มอำนาจรัฐไทยร่วมกับพรรคคอมฯ ไทยกันอย่างล้นหลาม
ยังผลให้แนวรบทางการเมืองและการทหารของพรรคคอมฯ ไทยเติบโต ทั้งในชนบทและเมืองอย่างรวดเร็วชนิดก้าวกระโดด ทำเอารัฐเผด็จการไทยหวาดผวาภัยคอมฯ อย่างหนัก
ที่สำคัญ..แม้รัฐบาลไทยสมัย “หม่อมคึกฤทธิ์” จะเปิดความสัมพันธ์กับคอมฯ จีนแล้ว แต่ห้วงนั้พรรคคอมฯ จีนก็ยังให้การสนับสนุนพรรคคอมฯ ไทยในแทบทุกด้าน ทั้งอาวุธยุทโธปกรณ์และที่ตั้งสถานีวิทยุ “สปท.” ที่ส่งคลื่นเสียงออกมาจากผืนแผ่นดินจีนนั่นเอง
แถมจีนยังเป็นจุดที่พรรคคอมฯ ไทย ส่งสมาชิกและแนวร่วมฯ ไปร่ำเรียนลัทธิมาร์กซ์ และฝึกฝนการสู้รบแบบกองโจรในสงคราม “ชนบทล้อมเมือง” อีกต่างหาก
อ้อ..หลายคนที่ใกล้ชิด “ไอ้เหลี่ยม” ในวันนี้ ก็เคย “เข้าป่าจับปืน” ร่วมกับพรรคคอมฯ ไทยด้วยครับ!
ตุลาคม 2516 จรดต้นปี 2518 รัฐบาลอาจารย์ “สัญญา ธรรมศักดิ์” ได้เข้าบริหารชาติไทยในยุคประชาธิปไตยเบ่งบานไปทุกหย่อมหญ้า ท่ามกลางคลื่น “ขวาพิฆาตซ้าย” ที่ก่อตัวขึ้นอย่างเงียบเชียบ
จนกระทั่งมีการเลือกตั้งทั่วไป ในวันที่ 26 มกราคม 2518 ก็เกิดเหตุ “พลิกล็อก” ทางการเมืองขึ้นเมื่อ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่ได้ ส.ส.มากเป็นอันดับหนึ่ง คือ 72 คน แต่กลับไม่ได้เป็นนายกฯ ของชาติไทย เพราะถูก ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ผู้เป็นน้องชายที่เป็นหัวหน้าพรรคกิจสังคม ซึ่งได้ ส.ส.เพียงแค่ 18 คน แซงโค้งตัดหน้าขึ้นเป็นนายกฯ คนที่ 36 ของชาติไทย ในวันที่ 14 มีนาคม 2518
ห้วงนั้น รัฐบาล “หม่อมคึกฤทธิ์” ต้องเผชิญหน้ากับการชุมนุมของผู้คนในวงการต่างๆ ไม่เว้นแต่ละวัน แถมกระแส “โดมิโน-คอมมิวนิสต์” ก็โหมกระหน่ำชาติไทยอย่างรุนแรงอีกด้วย
จน “ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช” นายกฯ กับ “พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ” รมว.ต่างประเทศ ต้องรีบเดินทางไปเปิดความสัมพันธ์ทางการทูตกับสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างเป็นทางการ ในวันที่ 1กรกฎาคม 2518
เพื่ออาศัย “จีน-พี่เอื้อยใหญ่” ของพรรคคอมฯ ไทย ช่วยกดดันพรรคคอมฯ ไทยให้ยุติปฏิบัติการล้มล้างระบอบการเมืองไทยปัจจุบัน ดังนั้น ภาพ “คึกฤทธิ์” จับมือกับ “เหมา เจ๋อตุง” จึงฮือฮาไปทั้งโลก เพราะมันมีความหมายลึกๆ ไม่น้อยซ่อนเร้นอยู่ในนั้น
แต่รัฐบาล “หม่อมคึกฤทธิ์” ดำรงอยู่ได้ไม่นาน ก็เกิดความขัดแย้งทางการเมืองมากมาย บวกกับยังมีการขัดผลประโยชน์ของนักการเมืองอย่างหนัก จน “หม่อมคึกฤทธิ์” จำต้องยุบสภา ในวันที่ 12 มกราคม 2519
การเลือกตั้งครั้งใหม่ เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2519 พรรคประชาธิปัตย์ชนะอย่างท่วมท้น และได้เป็นแกนนำตั้งรัฐบาล ทำให้ “ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช” ได้เป็นนายกฯ คนที่ 37 ในวันที่ 20 เมษายน 2519
รัฐบาล “หม่อมเสนีย์” ต้องเผชิญกับคลื่นประชาธิปไตยเบ่งบาน ซึ่งมีการชุมนุมเรียกร้องสารพัดเรื่อง ทั้งของกรรมกร-ชาวไร่ชาวนา-พนักงานรัฐวิสาหกิจ-ข้าราชการต่างๆ การเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ปัญหาราคาสินค้าการเกษตรตกต่ำ รวมทั้งให้รัฐบาลแก้ปัญหาข้าวของราคาแพง เป็นต้น
ในขณะเดียวกันกับนักศึกษาจำนวนไม่น้อยของทุกมหาวิทยาลัย ได้ลงสัมผัสชีวิตจริงของผู้คนบนแผ่นดินไทย ผ่านการทำกิจกรรมออกค่ายรับรู้ทุกข์สุขของประชาชนอย่างกว้างขวางทั้งในเมืองและชนบท
ยุคนั้น..ภายใต้ความอ่อนแอของรัฐบาลไทย ที่นำโดยรัฐบาล “หม่อมเสนีย์” การชุมนุมต่อสู้เพื่อความถูกต้องชอบธรรมที่ผุดขึ้นอย่างกว้างขวางราวดอกเห็ดนั้น บางกลุ่มก็มีเคลื่อนไหวโดยนักศึกษาและประชาชน ที่รักชาติรักประชาธิปไตยอย่างแท้จริง และบางกลุ่มก็มีสมาชิกพรรคคอมฯ ไทยนำหรือหนุนหลังอยู่
ขณะที่ในรัฐบาล “หม่อมเสนีย์” เอง ก็มีเงา “ขวาพิฆาตซ้าย” ของนักการเมืองบางคน ใช้สื่อของรัฐและกลไกรัฐทั้งตำรวจ-ทหารให้ร้ายป้ายสีนักศึกษาและประชาชนอยู่ตลอดเวลา ด้วยการโกหกแบบ “เหวี่ยงแห” ว่า การชุมนุมเคลื่อนไหวเรียกร้องความเป็นธรรมทั้งหมดในเวลานั้น มีคอมฯ ไทยบงการอยู่เบื้องหลังทั้งสิ้น
จนในที่สุด..สถานการณ์การเมืองก็ถึงจุดการปราบปรามเข่นฆ่าประชาชน ที่รักชาติรักประชาธิปไตย โดยกำหนดให้มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และท้องสนามหลวง เป็นลานประหารชีวิตคนไทยถึง 46 รายอย่างโหดเหี้ยม ท่ามกลางสายตาผู้คนทั้งโลก เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519
โดยมีการสร้างสถานการณ์นำเอา “จอมพลถนอม” ห่มผ้าเหลืองเดินทางกลับประเทศไทย เพื่อเป็นชนวนเหตุการชุมนุมต่อต้านของผู้คน ก่อนจะนำไปสู่การฆ่าหมู่คนไทยอย่างป่าเถื่อน ทั้งแขวนคอและเผาหมู่คนทั้งเป็นใต้ต้นมะขาม อีกทั้งฆ่าข่มขืนนักศึกษาหลายคนอย่างทารุณ ก่อนจะทำรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาล “มะเขือเผา-เสนีย์” ลงในที่สุด
รัฐบาลเผด็จการทหารได้ขึ้นครองเมืองอีกครั้ง มี ผบ.สส.พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ เป็นหัวเรือใหญ่ที่ทำรัฐประหาร ในนาม “คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน” ก่อนจะตั้ง “นายธานินทร์ กรัยวิเชียร” เป็นนายกฯ คนที่ 39 ของชาติไทย โดยสื่อมวลชนให้ฉายาว่า “รัฐบาลหอย”
การเข่นฆ่าคนไทยอย่างป่าเถื่อนของอำนาจรัฐ “เผด็จการทหาร” ครั้งนั้น ทำให้นักศึกษาและประชาชนจำนวนหนึ่งถูกจับกุมคุมขัง บางส่วนหลบลี้ภัย “ขวาพิฆาตซ้าย” ไปอยู่ยังต่างแดน แต่ผู้คนมากมายที่ไม่พอใจรัฐบาลเผด็จการทหาร ได้พากัน “เข้าป่าจับปืน” เพื่อต่อสู้โค่นล้มอำนาจรัฐไทยร่วมกับพรรคคอมฯ ไทยกันอย่างล้นหลาม
ยังผลให้แนวรบทางการเมืองและการทหารของพรรคคอมฯ ไทยเติบโต ทั้งในชนบทและเมืองอย่างรวดเร็วชนิดก้าวกระโดด ทำเอารัฐเผด็จการไทยหวาดผวาภัยคอมฯ อย่างหนัก
ที่สำคัญ..แม้รัฐบาลไทยสมัย “หม่อมคึกฤทธิ์” จะเปิดความสัมพันธ์กับคอมฯ จีนแล้ว แต่ห้วงนั้พรรคคอมฯ จีนก็ยังให้การสนับสนุนพรรคคอมฯ ไทยในแทบทุกด้าน ทั้งอาวุธยุทโธปกรณ์และที่ตั้งสถานีวิทยุ “สปท.” ที่ส่งคลื่นเสียงออกมาจากผืนแผ่นดินจีนนั่นเอง
แถมจีนยังเป็นจุดที่พรรคคอมฯ ไทย ส่งสมาชิกและแนวร่วมฯ ไปร่ำเรียนลัทธิมาร์กซ์ และฝึกฝนการสู้รบแบบกองโจรในสงคราม “ชนบทล้อมเมือง” อีกต่างหาก
อ้อ..หลายคนที่ใกล้ชิด “ไอ้เหลี่ยม” ในวันนี้ ก็เคย “เข้าป่าจับปืน” ร่วมกับพรรคคอมฯ ไทยด้วยครับ!