** เชื่อว่าบรรดา"กุนซือ"ของ ทักษิณ ชินวัตร จะต้องระดมสมองกันหนักหน่วงว่าจะแก้เกม "ขาลง" สารพัดปัญหาที่ประดังเข้ามาอย่างไร เพราะแต่ละเรื่องที่โดนในตอนนี้ล้วนแล้วแต่หนักหนาสาหัสทั้งสิ้น ก่อนหน้านี้แค่เรื่องขาดทุนโครงการจำนำข้าวก็ทำเอาไปไม่เป็น ต้องเปลี่ยนหน้าทีมชี้แจงมาแล้วสองสามรอบจาก "หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ" อย่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กิตติรัตน์ ณ ระนอง ก็ยังไม่ได้ผล คนยังไม่เชื่อตัวเลข เพราะยังเห็นว่าเป็นการปกปิดตัวเลข ได้รับข้อมูลไม่จริง ต่อมาก็เปลี่ยนใหม่มาเป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ บุญทรง เตริยาภิรมย์ มาตั้งโต๊ะแถลงเป็นทีมใหญ่ ราวกับว่ามีการเตรียมการมาดี แต่ที่ไหนได่กลายเป็นว่า "เละ" กว่าเดิม
กลายเป็นว่าถูกสื่อต้อนเข้ามุมจนไปไม่เป็น เสียศูนย์มาจนถึงวันนี้ และที่สำคัญผลจากการชี้แจงของบุญทรง และทีมงานนักพูดระดับทอล์กโชว์อย่าง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ยิ่งกลายเป็นการสร้างภาพลบให้กับรัฐบาลแบบฝังทั้งเป็น กันเลยทีเดียว
จนกระทั่งมีการเปลี่ยนแปลงล่าสุดมาเป็น วราเทพ รัตนากร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี มาทำหน้าที่แจกแจงตัวเลขแทน ซึ่งนาทีนี้แม้จะออกมาดีแค่ไหน ทำได้ดีแค่ไหน มันก็แทบไม่มีความหมาย เพราะชาวบ้านเขาไม่เชื่อ ในทางตรงกันข้ามกลับเป็นการเข้าใจว่าเป็นการ "ตบแต่งตัวเลข" แหกตาไปเสียอีก มีแต่ภาพลบ
หรือนโยบายก่อนหน้านี้ ทั้งในเรื่องโครงการรถคันแรก ที่เอาเข้าจริงกลับไม่เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ กลายเป็นการสร้างหนี้เสียให้ครัวเรือนเพิ่มขึ้น เหมือนกับการกระตุ้นให้ประชาชนในวัยทำงานต้องเป็นหนี้เพิ่มขึ้น จากภาระการผ่อนชำระจนอ่วม ขณะเดียวกันต้องมีการรัดเข็มขัด ลดการใช้จ่ายจนส่งผลให้การจับจ่ายลดลง ยอดขายสินค้าเครื่องอุปโภคบริโภค ลดลงอย่างไม่น่าเชื่อ
ที่น่าสนใจก็คือ ผลงานของรัฐบาลที่ผ่านมาเกือบสองปีเต็มล้วนแล้วไม่มีความประทับใจสักเรื่องเดียว โดยเฉพาะปัญหาค่าครองชีพ "ข้าวของแพง" จนเกิดภาพ "แพงทั้งแผ่นดิน" ย้อนศรกลับมารัดคอรัฐบาลชุดนี้เข้าไปเต็มๆ จากเดิมที่เคยกล่าวหาค่อนขอดคนอื่น ครั้งก่อนเคยโบ้ยว่าพวก "อำมาตย์" คอยกลั่นแกล้ง แต่เมื่อมาถึงวันนี้มันก็เถียงไม่ออก ต้องรับไปเต็มๆ
นอกจากนี้ จากเดิมเคยกล่าวหาคนอื่นว่าดีแต่กู้ หรือกู้มาโกง มาตอนนี้กลับกลายเป็นว่ารัฐบาลของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ตัวแทนของระบอบทักษิณ กลับมีตัวเลขมากกว่ารัฐบาลก่อนๆ มากมายเป็นประวัติศาสตร์ ขณะเดียวกันที่บอกว่าเป็นการกู้มาเพื่อดำเนินการอย่างเร่งด่วนให้ทันท่วงที อย่างกรณีเงินกู้ 3.5 แสนล้านบาท เพื่อมาบริหารจัดการน้ำก็กลายเป็นว่ามีแต่ข่าวอื้อฉาว ทุกโครงการไม่มีรายละเอียด ไม่ได้ผ่านการศึกษาทางด้านสิ่งแวดล้อม รวมไปถึงการมีส่วนร่วมของคนในพื้นที่ และประชาชนที่ถือว่าเป็นเจ้าของเงินภาษี ซึ่งก็หมายรวมถึงพระราชบัญญัติเงินกู้ 2 ล้านล้านบาท ที่กำลังเร่งดำเนินการกันแบบหามรุ่งหามค่ำ
แต่นั่นไม่เท่ากับผลประโยชน์ส่วนตัวของ ทักษิณ ชินวัตร ที่มองว่ารัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กำลังทำทุกอย่างอย่างเร่งรีบ และไม่ต้องเกรงใจใคร ความหมายก็คือ ผลักดันกันแบบ "หน้าด้านๆ" นั่นแหละ ทั้งเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ การออกพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม และพระราชบัญญัติปรองดองฯ เป้าหมายปลายทางก็เพียงแค่ทำให้ทักษิณ ได้พ้นผิด ได้ทรัพย์สินที่ศาลสั่งยึดทรัพย์จากคดีทุจริตกลับคืนมา รวมไปถึงได้กลับมามีอำนาจทางการเมืองอีกรอบเท่านั้น
ปรากฏการณ์และความเคลื่อนไหวดังกล่าว ล้วนแล้วแต่การสะสมสร้างอารมณ์โกรธให้กับชาวบ้านมากขึ้นทุกวัน เพราะมองว่านี่คือความเห็นแก่ตัวเอาเปรียบคนอื่น ขณะที่ผลงานของรัฐบาลตัวเองที่เชิดเข้ามา กลับทำผลงานห่วยแตกเท่าที่เห็นกันอยู่ นาทีนี้ไม่ต้องสาธยายอะไรมาก ทุกอย่างสัมผัสได้รู้สึกได้ทั่วไปอยู่แล้ว
อ้อเกือบลืมไป ยังมีเรื่องชายแดนใต้ที่เป็นเรื่องสำคัญที่สะท้อนให้เห็นถึงความล้มเหลวอย่างชัดเจน ปฏิเสธไม่ได้ และมีแนวโน้มสูงว่าหากรัฐบาลชุดนี้ยังบริหารอยู่ต่อไปก็เป็นไปได้สูงที่จะต้องกลายเป็นเขตปกครองพิเศษ หรืออย่างน้อยจะถูกยกระดับให้กลายเป็นปัญหาสากล นานาชาติจะเข้ามาแทรกแซงในที่สุด
สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นและกำลังโยงเข้ามาถึงรัฐบาล และเพิ่มแต้มลบอย่างไม่น่าเชื่อก็คือ ผลจากคดีฆ่า เอกยุทธ อัญชันบุตร นักธุรกิจชื่อดังที่สังคมมองว่ามีพิรุธ มีการ "จัดฉาก" โดย "คนมีสี (กากี)" ในเครือข่ายของรัฐบาล น่าสงสัยตั้งแต่รองนายกฯ คนคุมตำรวจอย่าง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ผบ.ชน. พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ที่ถูกมองว่ารวบรัดปิดคดี ว่าเป็นการฆ่าชิงทรัพย์ เอาแต่เงินสดที่บังคับให้เซ็นต์เช็กเบิกเงิน 5 ล้านเท่านั้น ส่วนสร้อยคอ พระเลี่ยมทอง แหวน กลับนำไปโยนทิ้งน้ำ ขณะเดียวกันผู้ต้องหาที่อ้างว่าเป็นคนฆ่า ก็มีความพยายามสูงอุตส่าห์นำศพใส่รถที่ติดจีพีเอส ขับตระเวณจากกรุงเทพฯไปฝังที่พัทลุง บ้านเกิดกว่า 700 กิโลเมตร ผ่านด่านตรวจไปตลอดทาง ขณะเดียวกันเมื่อพิจารณาจากลักษณะการสอบสวน การแถลงข่าว ล้วนแล้วแต่มีพิรุธแทบจะทุกขั้นตอน มันจึงช่วยไม่ได้ที่ชาวบ้านเขาจะสงสัยว่า นี่คือการ "จัดฉาก" และเป็นการ "อุ้มฆ่า" จาก "รัฐตำรวจ" สร้างความอึดอัดสะสมความไม่พอใจมากขึ้นไปอีก
ทุกเรื่องล้วนโยงเข้าหารัฐบาลทั้งสิ้น แม้กระทั่งความห่วยแตกของการบริหารงานของรัฐบาลที่เป็นคนของครอบครัวชินวัตร ดังนั้นเมื่อเกิดปัญหา เกิดความเสื่อมศรัทธา ถูกมองว่าทรยศต่อความไว้วางใจ มันก็ยิ่งทำให้เกิดภาวะ "ขาลง" อย่างรวดเร็ว ชนิดที่เรียกว่าแทบจะตั้งรับไม่ทัน สังเกตได้จากการเกิดขึ้นของกลุ่ม "หน้ากากขาว" รวมไปถึงกลุ่มต่อต้านรัฐบาล และระบอบทักษิณ ที่ผุดขึ้นมาทั่วประเทศ และมีปริมาณเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
** สาเหตุไม่มีอะไรมากไปกว่าอารมณ์ "เหลืออด" นั่นแหละ และยิ่งเพิ่มกรณี "รัฐตำรวจ"เข้าไปอีก มันก็จะฉุดไม่อยู่ เพราะนี่คือการท้าทายความรู้สึกของประชาชนจนขาดผึงได้ทุกเมื่อ !!
กลายเป็นว่าถูกสื่อต้อนเข้ามุมจนไปไม่เป็น เสียศูนย์มาจนถึงวันนี้ และที่สำคัญผลจากการชี้แจงของบุญทรง และทีมงานนักพูดระดับทอล์กโชว์อย่าง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ยิ่งกลายเป็นการสร้างภาพลบให้กับรัฐบาลแบบฝังทั้งเป็น กันเลยทีเดียว
จนกระทั่งมีการเปลี่ยนแปลงล่าสุดมาเป็น วราเทพ รัตนากร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี มาทำหน้าที่แจกแจงตัวเลขแทน ซึ่งนาทีนี้แม้จะออกมาดีแค่ไหน ทำได้ดีแค่ไหน มันก็แทบไม่มีความหมาย เพราะชาวบ้านเขาไม่เชื่อ ในทางตรงกันข้ามกลับเป็นการเข้าใจว่าเป็นการ "ตบแต่งตัวเลข" แหกตาไปเสียอีก มีแต่ภาพลบ
หรือนโยบายก่อนหน้านี้ ทั้งในเรื่องโครงการรถคันแรก ที่เอาเข้าจริงกลับไม่เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ กลายเป็นการสร้างหนี้เสียให้ครัวเรือนเพิ่มขึ้น เหมือนกับการกระตุ้นให้ประชาชนในวัยทำงานต้องเป็นหนี้เพิ่มขึ้น จากภาระการผ่อนชำระจนอ่วม ขณะเดียวกันต้องมีการรัดเข็มขัด ลดการใช้จ่ายจนส่งผลให้การจับจ่ายลดลง ยอดขายสินค้าเครื่องอุปโภคบริโภค ลดลงอย่างไม่น่าเชื่อ
ที่น่าสนใจก็คือ ผลงานของรัฐบาลที่ผ่านมาเกือบสองปีเต็มล้วนแล้วไม่มีความประทับใจสักเรื่องเดียว โดยเฉพาะปัญหาค่าครองชีพ "ข้าวของแพง" จนเกิดภาพ "แพงทั้งแผ่นดิน" ย้อนศรกลับมารัดคอรัฐบาลชุดนี้เข้าไปเต็มๆ จากเดิมที่เคยกล่าวหาค่อนขอดคนอื่น ครั้งก่อนเคยโบ้ยว่าพวก "อำมาตย์" คอยกลั่นแกล้ง แต่เมื่อมาถึงวันนี้มันก็เถียงไม่ออก ต้องรับไปเต็มๆ
นอกจากนี้ จากเดิมเคยกล่าวหาคนอื่นว่าดีแต่กู้ หรือกู้มาโกง มาตอนนี้กลับกลายเป็นว่ารัฐบาลของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ตัวแทนของระบอบทักษิณ กลับมีตัวเลขมากกว่ารัฐบาลก่อนๆ มากมายเป็นประวัติศาสตร์ ขณะเดียวกันที่บอกว่าเป็นการกู้มาเพื่อดำเนินการอย่างเร่งด่วนให้ทันท่วงที อย่างกรณีเงินกู้ 3.5 แสนล้านบาท เพื่อมาบริหารจัดการน้ำก็กลายเป็นว่ามีแต่ข่าวอื้อฉาว ทุกโครงการไม่มีรายละเอียด ไม่ได้ผ่านการศึกษาทางด้านสิ่งแวดล้อม รวมไปถึงการมีส่วนร่วมของคนในพื้นที่ และประชาชนที่ถือว่าเป็นเจ้าของเงินภาษี ซึ่งก็หมายรวมถึงพระราชบัญญัติเงินกู้ 2 ล้านล้านบาท ที่กำลังเร่งดำเนินการกันแบบหามรุ่งหามค่ำ
แต่นั่นไม่เท่ากับผลประโยชน์ส่วนตัวของ ทักษิณ ชินวัตร ที่มองว่ารัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กำลังทำทุกอย่างอย่างเร่งรีบ และไม่ต้องเกรงใจใคร ความหมายก็คือ ผลักดันกันแบบ "หน้าด้านๆ" นั่นแหละ ทั้งเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ การออกพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม และพระราชบัญญัติปรองดองฯ เป้าหมายปลายทางก็เพียงแค่ทำให้ทักษิณ ได้พ้นผิด ได้ทรัพย์สินที่ศาลสั่งยึดทรัพย์จากคดีทุจริตกลับคืนมา รวมไปถึงได้กลับมามีอำนาจทางการเมืองอีกรอบเท่านั้น
ปรากฏการณ์และความเคลื่อนไหวดังกล่าว ล้วนแล้วแต่การสะสมสร้างอารมณ์โกรธให้กับชาวบ้านมากขึ้นทุกวัน เพราะมองว่านี่คือความเห็นแก่ตัวเอาเปรียบคนอื่น ขณะที่ผลงานของรัฐบาลตัวเองที่เชิดเข้ามา กลับทำผลงานห่วยแตกเท่าที่เห็นกันอยู่ นาทีนี้ไม่ต้องสาธยายอะไรมาก ทุกอย่างสัมผัสได้รู้สึกได้ทั่วไปอยู่แล้ว
อ้อเกือบลืมไป ยังมีเรื่องชายแดนใต้ที่เป็นเรื่องสำคัญที่สะท้อนให้เห็นถึงความล้มเหลวอย่างชัดเจน ปฏิเสธไม่ได้ และมีแนวโน้มสูงว่าหากรัฐบาลชุดนี้ยังบริหารอยู่ต่อไปก็เป็นไปได้สูงที่จะต้องกลายเป็นเขตปกครองพิเศษ หรืออย่างน้อยจะถูกยกระดับให้กลายเป็นปัญหาสากล นานาชาติจะเข้ามาแทรกแซงในที่สุด
สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นและกำลังโยงเข้ามาถึงรัฐบาล และเพิ่มแต้มลบอย่างไม่น่าเชื่อก็คือ ผลจากคดีฆ่า เอกยุทธ อัญชันบุตร นักธุรกิจชื่อดังที่สังคมมองว่ามีพิรุธ มีการ "จัดฉาก" โดย "คนมีสี (กากี)" ในเครือข่ายของรัฐบาล น่าสงสัยตั้งแต่รองนายกฯ คนคุมตำรวจอย่าง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ผบ.ชน. พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ที่ถูกมองว่ารวบรัดปิดคดี ว่าเป็นการฆ่าชิงทรัพย์ เอาแต่เงินสดที่บังคับให้เซ็นต์เช็กเบิกเงิน 5 ล้านเท่านั้น ส่วนสร้อยคอ พระเลี่ยมทอง แหวน กลับนำไปโยนทิ้งน้ำ ขณะเดียวกันผู้ต้องหาที่อ้างว่าเป็นคนฆ่า ก็มีความพยายามสูงอุตส่าห์นำศพใส่รถที่ติดจีพีเอส ขับตระเวณจากกรุงเทพฯไปฝังที่พัทลุง บ้านเกิดกว่า 700 กิโลเมตร ผ่านด่านตรวจไปตลอดทาง ขณะเดียวกันเมื่อพิจารณาจากลักษณะการสอบสวน การแถลงข่าว ล้วนแล้วแต่มีพิรุธแทบจะทุกขั้นตอน มันจึงช่วยไม่ได้ที่ชาวบ้านเขาจะสงสัยว่า นี่คือการ "จัดฉาก" และเป็นการ "อุ้มฆ่า" จาก "รัฐตำรวจ" สร้างความอึดอัดสะสมความไม่พอใจมากขึ้นไปอีก
ทุกเรื่องล้วนโยงเข้าหารัฐบาลทั้งสิ้น แม้กระทั่งความห่วยแตกของการบริหารงานของรัฐบาลที่เป็นคนของครอบครัวชินวัตร ดังนั้นเมื่อเกิดปัญหา เกิดความเสื่อมศรัทธา ถูกมองว่าทรยศต่อความไว้วางใจ มันก็ยิ่งทำให้เกิดภาวะ "ขาลง" อย่างรวดเร็ว ชนิดที่เรียกว่าแทบจะตั้งรับไม่ทัน สังเกตได้จากการเกิดขึ้นของกลุ่ม "หน้ากากขาว" รวมไปถึงกลุ่มต่อต้านรัฐบาล และระบอบทักษิณ ที่ผุดขึ้นมาทั่วประเทศ และมีปริมาณเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
** สาเหตุไม่มีอะไรมากไปกว่าอารมณ์ "เหลืออด" นั่นแหละ และยิ่งเพิ่มกรณี "รัฐตำรวจ"เข้าไปอีก มันก็จะฉุดไม่อยู่ เพราะนี่คือการท้าทายความรู้สึกของประชาชนจนขาดผึงได้ทุกเมื่อ !!