ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-และแล้วปฏิบัติการ “โลกล้อมประเทศ” ของนักโทษหนีคดีคอร์รัปชั่นนาม “ทักษิณ ชินวัตร” ก็อุบัติขึ้นอีกครั้ง ล่าสุดเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา นช.ทักษิณได้ไปสร้างภาพประกาศศักดาถึงแดนพญาอินทรี ซึ่งการเดินทางไปนิยอร์กของเขาครั้งนี้ผู้สันทัดกรณีชี้ว่านอกจากจะเป็นการปูทางก่อนที่น้องสาวสุดที่รัก “น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรีของไทย จะเดินทางไปเยือนสหรัฐในระยะเวลาอันใกล้นี้แล้ว ยังเป็นการจงใจสื่อนัย “นายกฯคู่ขนาน ยิ่งลักษณ์-ทักษิณ” เพื่อให้นานาชาติทั่วโลกรับทราบโดยพฤตินัยว่าเขานั้นมีบทบาทและความสำคัญ เป็น “นายกตัวจริง” ที่ยืนอยู่ข้างหลังนายกฯยิ่งลักษณ์มาตลอด ดังนั้นการสนับสนุนนช.ทักษิณก็ไม่ต่างจากการสนับสนุนรัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่กำลังเรืองอำนาจอยู่ขณะนี้
เพราะหากมองย้อนไปจะพบว่าหลายครั้งหลายคราที่นายกฯ ยิ่งลักษณ์มีกำหนดการจะเดินทางไปเยือนประเทศใดประเทศหนึ่งอย่างเป็นทางการ ก็มักปรากฏภาพของ นช.ทักษิณ ที่เดินทางไปยังประเทศนั้นๆ ก่อนหน้าในระยะเวลาไล่เลี่ยกันเสมอ อย่างเช่นครั้งที่นายกฯยิ่งลักษณ์ ไปกรุงพนมเปญ กัมพูชา เพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 21 ในระหว่างวันที่ 18-20 พฤศจิกายน 2555 ก่อนหน้านั้น น.ช.ทักษิณ ก็เดินทางไปพนมเปญ เพื่อเยี่ยมอาการป่วยของบิดาสมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ในวันที่ 16 เม.ย.2555
ต่อมาวันที่ 28 ก.พ.2556 นายกฯยิ่งลักษณ์ซึ่งเดินทางไปเยือนประเทศมาเลเซียเพื่อพูดคุยกับ นายนาจิบ ราซัค นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ถึงความร่วมมือในการการแก้ปัญหาความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยนายกยิ่งลักษณ์ได้กล่าวอย่างชัดเจนว่าความสำเร็จในครั้งนี้ส่วนหนึ่งต้องยกความดีให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่เข้ามามีส่วนร่วมทำให้มีการหาออกร่วมกันในการแก้ปัญหา ขณะที่ นช.ทักษิณได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่าเขานั้นได้เดินทางไปพบมหาเธร์โมฮัมหมัด อดีตนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย และ นายนาจิบ ราซัค นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เพื่อแลกเปลี่ยนความเห็นเรื่องอาเซียน
ล่าสุดเมื่อวันที่ 12 มิ.ย.2556 นช.ทักษิณ ก็เดินทางไปนิวยอร์ก เพื่อไปเจรจากับนักธุรกิจ และนักลงทุนในสหรัฐฯ ขณะที่นายกฯยิ่งลักษณ์ได้เปิดเผยก่อนหน้านี้ ว่ามีแผนที่จะเดินทางไปเยือนสหรัฐฯอย่างเป็นทางการ โดยเมื่อ 29 พ.ค. 2556 นายกฯยิ่งลักษณ์ในฐานะแขกเกียรติยศซึ่งไปร่วมงานเลี้ยงรับรองเฉลิมฉลองมิตรภาพไทย-สหรัฐ ในโอกาสที่การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างทั้งสองประเทศครบ 180 ปี ที่กระทรวงการต่างประเทศของไทย ได้ระบุขณะกล่าวเปิดงานว่าจะไปเยือนสหรัฐฯเพื่อเข้าพบกับประธานาธิบดีบารัค โอบามา เพื่อหารือเกี่ยวกับการเสริมสร้างความเป็นหุ้นส่วนไทย-สหรัฐฯ และผลประโยชน์ต่อภูมิภาค
“ดิฉันขอชื่นชมความสัมพันธ์ไทย-สหรัฐฯที่ใกล้ชิดและดำเนินมาครบรอบ 180 ปี โดยไทยเป็นพันธมิตรที่เก่าแก่ที่สุดของสหรัฐฯในเอเชีย และปัจจุบันมิตรภาพนับวันยิ่งแน่นแฟ้น ด้วยการยึดมั่นในคุณค่าประชาธิปไตยและสิทธมนุษยชนร่วมกัน อีกทั้งมีวิสัยทัศน์ร่วมกันในการเป็นหุ้นส่วนที่พัฒนาเติบโต และสร้างประโยชน์ต่อภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก และหวังว่าจะได้หารือเพื่อเสริมสร้างความเป็น หุ้นส่วนไทย-สหรัฐ และผลประโยชน์ต่อภูมิภาคกับประธานาธิบดีบารัก โอบามา ผู้นำสหรัฐ ที่กรุงวอชิงตัน ดีซี ในอนาคตอันใกล้นี้” นายกฯยิ่งลักษณ์ กล่าว
อย่างไรก็ดีเป็นที่น่าสังเกตว่าในการเดินทางไปสหรัฐครั้งนี้ทักษิณก็ยังคงใช้กลยุทธ์เดิมคือพยายามใช้สื่อและพื้นที่ในต่างประเทศเป็นเวทีในการบิดเบือนสร้างภาพว่าเขาถูกยึดทรัพย์และปล้นอำนาจ โดยอดีตนายกฯ ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวในชื่อ 'Thaksin Shinawatra' ว่า เขานั้นเคยร่ำรวยในระดับเดียวกับ Mr.Carlos Slim เจ้าพ่อด้านการสื่อสารของเม็กซิโก แต่ปัจจุบันเขาต้องยากจนลงเพราะถูกยึดทรัพย์
“ ผมกำลังอยู่ที่นิวยอร์ก ประเทศสหรัฐฯ ทำให้นึกถึง Mr.Carlos Slim เจ้าพ่อด้านการสื่อสารของเม็กซิโก ที่เคยมาเจอกันเมื่อครั้งได้รับเชิญมาพูดในงานของบริษัท Lehman Brothers วันที่ 6 ต.ค.37 โดยขณะนั้นมีการประเมินทรัพย์สิน ซึ่งก็มีอยู่ใกล้เคียงกัน แต่ปัจจุบัน นายคาร์ลอส ติดอันดับคนที่รวยที่สุดเป็นอันดับที่ 5 ของโลก ขณะที่ผมเองถูกยึดทรัพย์ และจนลงไปเยอะ ซึ่งก็ไม่เสียใจ เพราะได้รับใช้ชาติ” ส่วนหนึ่งของข้อความที่ นช.ทักษิณโพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก
ซึ่งสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันในการ “ส่งสาร” ของ นช.ทักษิณ และ นายกฯยิ่งลักษณ์ ก็คือ “ การเพรียกหาประชาธิปไตย และอ้างว่า ทักษิณ ถูกแย่งอำนาจ”
จะเห็นได้ว่าหลังจากที่ พ.ต.ท.ทักษิณ พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หลังเกิดรัฐประหาร 19 ก.ย.2549 และตกเป็นผู้ต้องหาคดีคอร์รัปชั่น ถูกศาลสั่งจำคุก 2 ปี ในคดีที่ดินรัชดา เขาก็พยายามใช้ต่างชาติเป็นเครื่องมือเพื่อล้างผิดให้กับตัวเองและหาแรงสนับสนุนเพื่อหวนคืนสู่อำนาจมาโดยตลอด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานั้น น.ช.ทักษิณได้จ้างล็อบบี้ยิสต์ชื่อดังของสหรัฐอเมริกาถึง 4 บริษัท เป็นตัววางกลเกมการเมืองบนเวทีโลก อันได้แก่
1. BGR Government Affairs ซึ่งเขาว่าจ้างให้ดูแลงานล็อบบี้นักการเมืองในสหรัฐ และประชาสัมพันธ์ความเป็นนักประชาธิปไตยของตนเอง
2. Amsterdam & Peroff เป็นสำนักงานกฎหมายของนายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ซึ่งขณะนี้เป็นทนายให้กับคนเสื้อแดง ส่งเรื่อง 98 ศพ ไปยังศาลอาญาระหว่างประเทศ
3. Kobre & Kim LLP เป็นบริษัทที่ทักษิณว่าจ้างให้ล็อบบี้ด้านการวางแผนต่าง ๆด้าน นโยบาย
4. Baker Botts LLP เป็นตัวจักรสำคัญในการล็อบบี้นักการเมืองในสหรัฐ เนื่องจากมีนายเจมส์ เบเกอร์ อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ สมัยประธานาธิบดีจอร์ช บุช เป็นเจ้าของ
โดยทักษิณต้องทุ่มเงินไม่น้อยกว่า 1 ล้านเหรียญสหรัฐเพื่อว่าจ้างล็อบบี้ยิสต์ตลอดเวลาที่ต้องเดินทางรอบโลก ซึ่งบรรดาล็อบบี้ยิสต์ในสหรัฐฯ ที่ นช.ทักษิณทุ่มเงินลงไป ล้วนเป็นบุคคลที่เคยทำงานใกล้ชิดกับคนมีตำแหน่งในทำเนียบขาว และในสภาคองเกรสของสหรัฐฯ แทบทั้งสิ้น ซึ่งการทุ่มเงินจำนวนมหาศาลครั้งนี้ทำให้ นช.ทักษิณ พลิกสถานการณ์จากบุคคลต้องห้ามที่สหรัฐไม่ให้เข้าประเทศในยุครัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ สามารถกลับไปยืนบนแผ่นดินสหรัฐได้อีกครั้งเมื่อเดือนสิงหาคมปีก่อน
นอกจากนั้นยังมีข้อสังเกตว่าการเดินทางของ พ.ต.ท.ทักษิณครั้งนี้เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบกเดินทางได้รับเชิญกองทัพบกสหรัฐฯ ให้เดินทางไปเยือนสหรัฐระหว่างวันที่ 1-10 มิถุนายน ทำให้หลายฝ่ายอดแคลงใจไม่ได้ว่าจะมีการพบปะกันระหว่าง นักโทษหนีคดีคอร์รัปชั่นกับบิ๊กทหารของไทยหรือไม่ ?
เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งหนึ่งที่รัฐบาลเพื่อไทยภายใต้ระบอบทักษิณหวั่นใจอยู่ไม่น้อยก็คือการปฏิวัติรัฐประหารดังที่เคยเกิดขึ้นเมื่อครั้ง 19 ก.ย.2549 ดังนั้นในขณะที่การเมืองไทยกำลังร้อนระอุจากกระแสต่อต้านของภาคประชาชนที่ไม่พอใจกับพฤติกรรมคอร์รัปชั่นอย่างมโหฬารและการใช้อำนาจเผด็จการของรัฐบาลภายใต้การนำของนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ภายใต้ปฏิบัติการ “หน้ากากขาว” ที่พร้อมใจกันออกมาชุมนุมในพื้นที่ต่างๆทั่วประเทศอย่างต่อเนื่องมาตั้งต้นเดือน มิ.ย. การเจรจาเพื่อขอให้ทหารอยู่ในที่ตั้งจึงเป็นสิ่งหนึ่งที่ทักษิณพึงกระทำเพื่อรักษาอำนาจของรัฐบาลเพื่อไทยไว้ให้นานที่สุด
เมื่อศึกในกำลังระอุ และไม่แน่ใจว่าจะทัดทานได้อีกนานเท่าไหร่ ยุทธการ โลกล้อมประเทศ ตามแบบอย่างที่ นช.ทักษิณ ปูทางไว้จึงเป็นอีกยุทธศาสตร์หนึ่งที่นายกฯยิ่งลักษณ์จำเป็นต้องนำมาใช้ เพราะไม่แน่ว่าหากประเทศมหาอำนาจได้ผลประโยชน์ที่มากพอ ก็อาจหันมาสนับสนุนนักโทษหนีคดีคอร์รัปชั่นให้กลับมามีอำนาจอีกครั้งหนึ่ง