xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ว.5 สั่งตาย เอกยุทธ อัญชันบุตร

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-คดีฆาตกรรมอุ้มฆ่า “นายเอกยุทธ อัญชันบุตร” นักธุรกิจชื่อดังเจ้าของเว็บไซต์อินไซเดอร์ ซึ่งประกาศตัวเป็นศัตรูกับระบอบทักษิณรวมถึงรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และในฐานะอดีตเจ้าพ่อแชร์ชาร์เตอร์ผู้นี้ กำลังถูกจับตามองจากสังคมอย่างไม่กระพริบตา เพราะสังคมไม่เชื่อว่า นี่เป็นคดีฆาตกรรมธรรมดาเพื่อหวังชิงทรัพย์จำนวน 5 ล้านบาท หากแต่มีเงื่อนงำและข้อพิรุธที่น่าสงสัยในหลายเรื่องหลายราวด้วยกัน

ไม่ว่าจะเป็นจากทิศทางของคดีที่มีการเบี่ยงประเด็นไปกันคนละทิศละทาง จากแรกเริ่มที่ทำทีประหนึ่งว่าเป็นนายเอกยุทธอุ้มตัวเองเพื่อสร้างประเด็นทางการเมือง กลายมาเป็นการฆาตกรรมเพื่อชิงทรัพย์ ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว เมื่อตรวจสอบศัตรูและคู่แค้นของนายเอกยุทธด้วยก็พบว่า ไม่สมควรอย่างยิ่งที่รีบด่วนสรุปว่าเป็นการฆาตกรรมเพื่อชิงทรัพย์ เพราะขนาดคดีกระจ้อยร่อยตำรวจยังไม่เคยตั้งแค่ประเด็นเดียว

ทั้งนี้ เนื่องจากนายเอกยุทธมี “โจทย์” ที่เข้าข่ายต้องสงสัยจำนวนมาก

นี่ถ้าญาติของนายเอกยุทธและนายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความส่วนตัวของนายเอกยุทธจับข้อพิรุธของคดีไม่ได้ คดีนี้ก็คงปิดฉากเรียบร้อยโรงเรียนจีนตามคำบัญชาของคนสั่งตายไปแล้ว

ใครอยู่เบื้องหลังคำสั่งตาย?
เสธ.คนดังเป็นคนปฏิบัติการจริงหรือ?
เกี่ยวข้องกับโฟร์ซีซันส์และน้ำแตกที่มัลดีฟส์หรือไม่?
เหล่านี้คือประเด็นที่จะต้องถอดรหัส

**พิรุธที่ 1
เบี่ยงประเด็นอุ้มตัวเอง ขีดวงคนขับรถฆ่าชิงทรัพย์

แรกเริ่มเดิมทีคดีฆาตกรรมอุ้มฆ่านายเอกยุทธ อัญชันบุตรที่หายตัวไปตั้งแต่วันที่ 6 มิถุนายน 2556 ที่ผ่านมาสร้างความสับสนให้กับสังคมเป็นอย่างมาก โดยหลังจากที่เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถควบคุมตัว “นายสันติภาพ เพ็งด้วง” หรือ “บอล” คนขับรถของนายเอกยุทธได้นั้นเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2556 พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบช.น. พล.ต.ต.อนุชัย เล็กบำรุง รอง ผบช.น. พล.ต.ต.ปริญญา จันทร์สุริยา รอง ผบช.น. พล.ต.ต. ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ รอง ผบช.น. พล.ต.ต.นัยวัฒน์ ผะเดิมชิต ผบก.น.4 พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน บช.น. ร่วมกันแถลงข่าวควบคุมตัวนายสันติภาพ ซึ่งทิศทางของข่าวและคดีที่ออกมาเป็นไปในทำนอง “นายเอกยุทธอุ้มตัวเองไปพม่าเพื่อสร้างประเด็นทางการเมืองเสียด้วยซ้ำ ไป”

ทั้งนี้ ในการแถลงข่าวนายสันติภาพระบุชัดเจนว่า ได้ยินนายเอกยุทธคุยโทรศัพท์กับปลายทางว่า “จะมารับหรือยังเดี๋ยวกูจะไปพม่า” แถมนายสันติภาพยังเล่าเหตุการณ์เป็นตุเป็นตะอีกต่างหากว่า ขณะเดินทางถึงปราณบุรีนายเอกยุทธได้บอกกับเขาว่า “เอ็งไม่ต้องบอกใครว่ามาส่งที่นี่ เอ็งไปพักแล้วค่อยกลับมาทำงานใหม่ตอนข้ากลับมา”

ที่สำคัญคือในการแถลงข่าวการจับกุมนายสันติภาพ เจ้าหน้าที่ตำรวจยังนำแผ่นกระดาษซึ่งเป็นลายมือของนายสันติภาพที่มีข้อความว่า “ถึงบริษัทเน็ตอีสท์ ผมไม่ได้หนีไปไหน แต่นายสั่งให้ผมหลบไปสักพักแล้วค่อยกลับมา ผมไปส่งนายที่ที่นายสั่งว่าห้ามบอกใคร และให้ผมย้อนกลับมาเมื่อนายกลับมา ลงชื่อ BALL” มาแสดงต่อหน้าสื่อมวลชนอีกต่างหาก

บริษัทเน็ตอีสท์ที่ว่านั้นก็คือบริษัทของนายเอกยุทธที่ตั้งอยู่ในย่านทาวน์อินทาวน์

อย่างไรก็ตาม ถ้าพินิจพิเคราะห์ข้อมูลที่นายสันติภาพเปิดปากเมื่อถูกจับกุมในวันแรกก็ต้องบอกว่า ราวกับเป็นบทละครที่มีการเขียนเอาไว้ล่วงหน้า ซึ่งไม่น่าเชื่อว่า คนอย่างนายสันติภาพจะสามารถเขียนขึ้นมาเองได้โดยที่ไม่มีใครบงการอยู่เบื้องหลัง

ขณะเดียวกันก็ต้องย้อนกลับไปถามเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วยเช่นกันว่า ทำไมในช่วงแรกถึงรีบนำตัวนายสันติภาพออกมาสู่สาธารณชน แถมยังปล่อยให้นายสันติภาพกำหนดทิศทางของข่าวให้เป็นไปอย่างที่ต้องการโดยที่มิได้มีการตรวจสอบให้ละเอียดถี่ถ้วน ซึ่งถ้าจะว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องที่น่าจะผิดปกติวิสัย จะว่ารีบร้อนจนผิดพลาดก็ไม่น่าจะใช่

นอกจากนั้นจากคดีอุ้มตัวเองไปพม่าก็พลิกอย่างฉับพลันทันทีเมื่อมีประเด็นเพิ่มเติมเข้ามาจากเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า อาจมีความเป็นไปได้ว่า นายเอกยุทธถูกอุ้มเพื่อรีดเงิน 5 ล้านบาท

“ผมไม่อยากพูดว่าเป็นการสร้างสถานการณ์หรือถูกอุ้มเพราะนายเอกยุทธหายตัวไปและยังไม่มีใครรู้ว่าอยู่ที่ไหน ตำรวจต้องสืบสวนต่อไป แต่สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดและหลักฐานที่ได้มา ทั้งเซิร์ฟเวอร์กล้องวงจรปิดที่ถูกถอดออกไปและการเอาสมุดเช็คไปให้เซ็นในรถโดยไม่ให้ใครไปพบตัว อีกทั้งไม่ยอมลงมาจากรถ ผมไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร จะต้องหาสาเหตุและตอบคำถามสังคมให้ได้ ทั้งนี้ มองว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่น่าจะมีการการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะมีการสืบสวนมาตั้งแต่ช่วงที่เกิดเหตุ ยังไม่มีพยานหลักฐานอะไรมาสนับสนุนได้ว่า สาเหตุการหายตัวไปของนายเอกยุทธมาจากเรื่องการเมือง”พล.ต.ท.คำรณวิทย์ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน

จากนั้นคดีก็มีความชัดเจนหลังชุดสืบสวนคลี่คลายคดีนำโดย พล.ต.ต.ปริญญา จันทร์สุริยา รอง ผบช.น.สั่งการให้ พ.ต.อ.นภันต์วุฒิ เลี่ยมสงวน ผกก.ดส.บช.น.ร่วมเค้นสอบนานกว่า 5 ชั่วโมงจนนายสันติภาพยอมรับว่าเป็นคนฆ่านายเอกยุทธโดยรัดคอเพื่อชิงทรัพย์ มีผู้ร่วมลงมือคือนายชวลิต วุ่นชุม นายธิวากร เกื้อทอง นายสุทธิพงศ์หรือเบิ้ม พิมพิสารและนายธีรกานต์ สงค์ขาว โดยนำศพไปทิ้งในพื้นที่จังหวัดพัทลุง เพราะแค้นที่ไล่แฟนสาวของตนเองที่ทำงานอยู่กับนายเอกยุทธที่บริษัทเน็ตอีสท์ออกจากงานหลังพบว่า มีการยักยอกเงินของบริษัทไป

กระนั้นก็ดี จุดพลิกผันที่ต้องบอกว่า ทำให้คดีนายเอกยุทธกลับมาสู่เส้นทางของความเป็นจริงก็คือการก้าวเข้ามาของ “นายสุวัตร อภัยภักดิ์” ในฐานะทนายความส่วนตัวของนายเอกยุทธ ที่ส่งคนเข้าร่วมสอบปากคำนายสันติภาพ คนขับรถของนายเอกยุทธ เพราะไม่เชื่อว่าจะเป็นไปตามที่นายสันติภาพให้การรับสารภาพว่า เป็นคนลงมือฆ่าเพื่อชิงทรัพย์ พร้อมระบุชัดว่า นายสันติภาพเกลือเป็นหนอนให้กับทีมอุ้มฆ่า โดยเอากุญแจให้เพื่อแลกกับเงิน เนื่องจากนายสันติภาพติดการพนันงอมแงม

ทั้งนี้ เชื่อว่านายสันติภาพรับเงิน 2 ทาง โดยรับเงินจากผู้บงการด้วย ซึ่งเชื่อว่าเป็นคนใหญ่คนโตที่อยากให้นายเอกยุทธตาย และการสังหารนายเอกยุทธน่าจะเกี่ยวข้องกับการเมือง

“ผมรู้จักนายสันติภาพพอสมควร และรู้ว่าไม่ใช่คนฉลาด จึงไม่สามารถวางแผนทำคนเดียวได้แน่นอน และตอนให้ปากคำก็มีพิรุธ ตอนแรกบอกว่ายิง ทีหลังบอกว่าบีบคอ เป็นการโกหกดิ้นไปดิ้นมา ซึ่งถ้ายิงก็ต้องมีพยานหลักฐาน มีเขม่าดินปืน การวางแผนฆ่านายเอกยุทธครั้งนี้เป็นการกระจายงานออกไปทำหลายสาย”นายสุวัตรให้สัมภาษณ์รายการ News Houe ทางสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี

ประเด็นที่นายสุวัตรกำลังจะบอกก็คือ นายสันติภาพน่าจะเป็นตัวละครสำคัญของเรื่องราวทั้งหมด เพราะมีหลายประเด็นที่ไม่สมเหตุสมผล โดยเฉพาะการเข้าควบคุมตัวนายสันติภาพได้สำเร็จ ซึ่งเมื่อตรวจสอบเหตุการณ์จากคำบอกว่าของตำรวจจะเห็นว่า นายสันติภาพถูกจับเสมือนหนึ่งต้องการให้ถูกจับ และเขาก็มิได้หลบหนีหรือไม่หลบซ่อนตัวแต่ประการใด

ที่สำคัญคือ นายสันติภาพย่อมรู้ว่า รถตู้พาหนะของนายเอกยุทธมีระบบติดตาม หรือ GPS อยู่ แถมนายสันติภาพยังขับรถไปมาบนนถนนทั้งๆ ที่รู้ว่าในปัจจุบันมีกล้องวงจรปิดติดอยู่เกลื่อนกลาดไปทั้งบ้านทั้งเมือง

นอกจากนี้ เหตุผลที่นายสันติภาพฆ่านายเอกยุทธเพราะโกรธที่ไล่แฟนออกจากจากก็ยังเป็นที่สงสัยว่า เป็นเหตุผลที่เพียงพอต่อการฆาตกรรมหรือไม่ แล้วถ้าหากนายเอกยุทธไล่แฟนของนายสันติภาพออกด้วยข้อหายักยอกทรัพย์ ทำไมถึงไม่จัดการกับนายสันติภาพที่เป็นแฟนด้วย ซึ่งทั้งหลายทั้งปวงจากเรื่องที่พยายามอุ้มตัวเองไปพม่าและจบที่การอุ้มฆ่าเพื่อชิงทรัพย์เพราะโกรธที่ไล่แฟนออกนั้น ส่อให้เห็นว่า เรื่องนี้มีการแก้เกมเป็นระยะๆ จากใครสั่งการ

นอกจากนี้ นายสุวัตรยังได้เปิดเผยเพิ่มเติมถึงข้อมูลสำคัญด้วยว่า
การสังหารนายเอกยุทธครั้งนี้มีการวางแผนเป็นขั้นเป็นตอนมาก่อนล่วงหน้ามานานแล้ว โดยนายสันติภาพแทรกซึมตัวเข้ามาทำงานกับนายเอกยุทธเมื่อประมาณ 7 เดือนก่อนหลังจากที่เอกยุทธไปมีเรื่องที่คาราโอเกะซิตี้ ย่านเลียบทางด่วน นายเอกยุทธสงสารจึงรับเข้ามาเป็นคนขับรถโดยไม่รู้ว่านายสันติภาพรู้จักกับทีมสังหารของนายทหารระดับ “เสธ.คนหนึ่ง” ซึ่งกว้างขวางย่านถนนรัชดาภิเษก

“ผมเชื่อว่าคดีนี้มีการจ้างวานฆ่านายเอกยุทธอย่างแน่นอน เนื่องจากพ่อของนายสันติภาพยอมรับว่าได้รับการว่างจ้างเป็นเงินสด 2 ล้านบาท ซึ่งได้ติดต่อขอคืนให้เจ้าหน้าที่ตำรวจแล้ว ใครเชื่อก็บ้าแล้วว่าคนอย่างนายสันติภาพจะเอาสติปัญญาที่ไหนมาไตร่ตรองฆ่าเอกยุทธได้อย่างเป็นขั้นเป็นตอนเช่นนี้ นี่คือการจัดฉากฆ่า ผมถามว่าสันติภาพมันจะทำคนเดียวได้อย่างไรตัวเอกยุทธไม่ใช่เล็กนะครับแถมเขายังพกปืนตลอดเวลาอีกต่างหาก เอกยุทธเป็นคนบู๊ไม่ใช่ว่าใครจะเข้าถึงตัวเขาได้ง่าย ๆ ไม่มีทางเลยถ้าไม่ถูกทีมงานมืออาชีพเล่นงาน ตอนนี้ตำรวจกำลังพยายามเบี่ยงเบนประเด็นและรีบปิดคดีเป็นการฆ่าชิงทรัพย์ สันติภาพทำตัวเกลือเป็นหนอนให้กับทีมอุ้มฆ่า โดยเอากุญแจให้เพื่อแลกกับเงิน เนื่องจากนายสันติภาพติดการพนัน และถูกนายเอกยุทธจับได้ว่ายักยอกเงิน 1 ล้านกว่าบาท”นายสุวัตร ระบุ

อย่างไรก็ดี ในกรณีของเสธ.คนดังซึ่งยังไม่เป็นที่เปิดเผยว่าเป็นใครนั้น ล่าสุดได้มีการสัมภาษณ์พล.อ.ไตรรงค์ อินทรทัต หรือ “เสธ.ไอซ์” อดีตหัวหน้าฝ่ายเสนาธิการประจำ รมว.กลาโหม และผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ ทบ. โดยเสธ.ไอซ์ยืนยันว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของนายเอกยุทธตามที่นายสุวัตร ทนายความได้ออกมาแฉว่ามี “เสธ.คนดัง” เกี่ยวข้องด้วย พร้อมประกาศชัเจนว่า หากใครพาดพิงมาถึงก็จะฟ้องร้อง โดยเชื่อมีความพยายามที่จะโยงให้มาเป็นประเด็นทางการเมือง และพุ่งเป้ามายังรัฐบาลเป็นหลัก ซึ่งสาเหตุที่โยงตนเองเข้าไปเพราะเป็นเพื่อนร่วมรุ่น ตท.10 กับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

**พิรุธที่ 2
ทำไมใช้ตำรวจชุดต้องคดีทนายสมชาย เป็ดเหลิมล่วงรู้ราวกับตาเห็น

อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่แค่เพียงข้อพิรุธดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นเท่านั้น เพราะในระหว่างที่เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนและสอบสวนคดีฆาตกรรมนายเอกยุทธก็มีจุดที่ชวนให้ต้องสงสัยในหลายประเด็นด้วยกัน

ประเด็นแรกคือท่าทีของ “ร.ต.อ.ดร.เฉลิม อยู่บำรุง” รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะที่ได้รับมอบหมายจากนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรให้กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

ก่อนที่นายสันติภาพจะเปิดปากรับสารภาพ เป็ดเหลิมได้พยากรณ์ล่วงหน้าราวกับตาเห็นเอาไว้ 3 ประเด็นด้วยกันคือ 1.เจ้าหน้าที่รัฐไม่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยเด็ดขาด 2.ไม่เชื่อว่านายเอกยุทธจะสร้างสถานการณ์ เพราะดังอยู่แล้วไม่ได้ประโยชน์อะไร และ 3.นายเอกยุทธถูกฆาตกรรมชิงทรัพย์

แถมในวันต่อมาเมื่อพบศพนายเอกยุทธแล้ว ร.ต.อ.เฉลิมยังให้สัมภาษณ์ย้ำเหมือนเดิมว่า “เกิดจากนายสันติภาพ เพ็งด้วง คนขับรถ เป้าประสงค์คือเงินสด 5 ล้านบาท บิดาของนายสันติภาพรับสารภาพแล้วว่า รับเงินจากลูกชายไป 2 ล้านบาท ไม่มีอะไรสลับซับซ้อน เป็นแต่เพียงว่า นายเอกยุทธรับคนมาไม่ได้ศึกษาประวัติ เลี้ยงลูกน้องไม่ได้ใจ”

และเมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า มีกระแสข่าวเรื่อง “เสธ.” มาอุ้มฆ่านายเอกยุทธ ร.ต.อ.เฉลิมก็สวนกลับมาทันทีว่า เสธ.ที่ไหน คนขับรถนั่นแหละ ส่วนที่นายสุวัตร อภัยภักดิ์ทนายความนายเอกยุทธไม่เชื่อและระบุว่าต้องมีเบื้องหลังนั้น ถ้ามีหลักฐานตนจะไปรับพร้อมกราบงามๆ เลย สังคมจะได้ชัดเจนว่าเสียชีวิตอย่างไร

“ส่วนที่ยังมีการมองกันว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องการเมืองนั้น ขอย้ำอีกครั้งว่า ใครใช้ความรุนแรงไม่ได้โดยเด็ดขาด จะไปฆ่าแกงกันทำไมเรื่องการเมือง สำหรับคนขับรถนายเอกยุทธนั้นจริงๆ มีคดีติดตัว เป็นคนซน นายเอกยุทธมองเด็กคนนี้บู๊ลิ้ม เลยอยากมีบู๊ลิ้มมาเดินตามหลัง คนเลี้ยงนักเลงได้จะต้องมีบารมี ถ้าไม่มีบารมีมักจะจบอย่างนี้”ร.ต.อ.เฉลิมย้ำเรื่องนี้อีกครั้ง

คำถามมีอยู่ว่า ทำไม ร.ต.อ.เฉลิมถึงไม่ปล่อยให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนสอบสวนไปตามปกติ เพราะการที่รองนายกรัฐมนตรีซึ่งกำกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติแสดงความเห็นในลักษณะดังกล่าวย่อมอดถูกสังคมตั้งข้อสังเกตไม่ได้ว่า มีเจตนาชี้นำคดี

แล้วก็มิใช่เรื่องการเมืองดอกหรือ ที่ทำให้นายราเมศ รัตนะเชวง ทีมกฎหมายและรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์โดนตีหัวจนแทบเอาชีวิตไม่รอดมาแล้วก่อนหน้านี้

ประเด็นถัดมาคือเรื่องของตำรวจที่ถูกสั่งการให้เป็นไล่ล่านายสันติภาพ ที่นำโดย พ.ต.อ.นภันต์วุฒิ เลี่ยมสงวน ผกก.ดส เนื่องจากต้องไม่ลืมว่า พ.ต.อ.นภันต์วุฒิมีชื่อเดิมว่า พ.ต.ท.ชัดชัย เลี่ยมสงวน ซึ่งขณะที่ใช้ชื่อเดิมดำรงตำแหน่งรอง ผกก.ป.

พ.ต.อ.นภันต์วุฒิหรือชื่อเดิมว่าชัดชัยมิใช่ใครอื่น หากแต่เคยตกเป็นผู้ต้องหาในคดีการหายตัวไปอย่างลึกลับของนายสมชาย นีละไพจิตร หรือ ทนายความมุสลิมที่มีข้อพิพาทกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร สมัยเรืองอำนาจเป็นนายกรัฐมนตรีกรณีจับแพะผู้ก่อความไม่สงบในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ จนถูกให้ออกจากราชการไว้ก่อนจนกระทั่งศาลมีคำสั่งยกฟ้อง ในที่สุดพ.ต.ท.ชัดชัย เลี่ยมสงวนก็สามารถกลับเข้ารับราชการตำรวจได้อีกครั้ง จนมาเปลี่ยนชื่อเป็น พ.ต.อ.นภันต์วุฒิ เลี่ยมสงวน นั่งตำแหน่ง ผกก.ดส ในยุครัฐบาลน้องสาว “ทักษิณ” เป็นใหญ่อีกครั้ง

จุดเริ่มต้นของการควบคุม “ไอ้บอล” ก็พบพิรุธเสียแล้ว เพราะกองกำกับสวัดิภาพเด็กและสตรี (กก.ดส.) ที่ พ.ต.อ.นภันต์วุฒิ ดูแลอยู่ไม่ได้มีอำนาจหน้าที่โดยตรงในการติดตามคดีการสูญหายของนายเอกยุทธ

นอกจากนี้ ในช่วงบ่ายวันที่ 10 มิถุนายน พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร.ออกมาให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ว่าได้ตัวคนขับรถและพบรถตู้โฟล์คของนายเอกยุทธแล้ว แต่เย็นวันเดียวกัน พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบช.น.ออกมาให้สัมภาษณ์ยืนยันยังไม่ได้มีการควบคุมตัวแต่อย่างใด อ้างว่าเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนและสื่อนำเสนอไปเอง

จนกระทั่งเช้าวันที่ 11 มิ.ย. ASTVผู้จัดการรายวันได้ข้อมูลจากแหล่งข่าวระดับสูงว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถควบคุมตัวนายสันติภาพไว้ได้แล้วพร้อมกับนำเสนอข่าวออกไป จน พล.ต.ท.คำรณวิทย์ยอมออกมาเปิดเผยว่าสามารถควบคุมตัวคนขับรถ และรถตู้ของนายเอกยุทธไว้ได้จริง

เรื่องจึงเริ่มแดงขึ้น! ออกมาสู่สาธารณชน!!!

ส่วนในวันที่ตำรวจนำ “ไอ้บอล” มาแถลงต่อสื่อมวลชนผิดแปลกจากคดีทั่วไปเพราะตำรวจเลือกที่จะให้ “ไอ้บอล” พูดเล่าเหตุการณ์ให้นักข่าวฟังมากกว่าจะนำตัวมาแถลงข่าวในฐานะผู้ต้องสงสัย

นี่ไม่นับรวมถึงกรณีฮาร์ดดิสก์กล้อง CCTV ที่เสมือนหนึ่งว่า ถูกฆ่าตัดตอนออกไปจากคดีเพราะแทบไม่มีการพูดถึง หรือกรณีของ “บอร์ดี้การ์ด” ที่ปกติจะต้องติดตามนายเอกยุทธเป็นประจำว่าทำไมในวันนั้นถึงไม่ปฏิบัติหน้าที่

โดยเฉพาะกรณีฮาร์ดดิสก์กล้องวงจรปิดนั้น ถ้าเป็นเพียงคดีฆาตกรรมธรรมดา ก็จะไม่มีทางเป็นไปได้มีจะมีการขโมยออกไป แต่สิ่งที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นว่า คดีนี้มีการไตร่ตรองและผู้ที่วางแผนอยู่ในระดับที่ไม่ธรรมดา

**พิรุธที่ 3
จากโฟร์ซีซั่นส์ถึงน้ำแตกที่มัลดีฟส์

สุดท้าย ถามว่า อะไรเป็นมูลเหตุและใครเป็นคนสั่งให้นายเอกยุทธต้องตายสถานเดียว

คำตอบในเรื่องนี้คงต้องย้อนกลับไปตรวจสอบพฤติกรรมของนายเอกยุทธ์ในช่วงที่ผ่านมาว่า เป็นศัตรูกับใครบ้าง เพราะจากทิศทางของคดีทั้งหมด สังคมยังคลางแคลงใจว่าน่าจะมีเงื่อนงำที่มากไปกว่านี้

ถ้าหากยังจำกันได้ก่อนหน้านี้ นายเอกยุทธมีคดีฟ้องร้องระหว่างเขากับ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เจ้าของวลีเด้ด “มีวันนี้เพราะพี่ให้” ให้คดีหมิ่นประมาทอันเนื่องมาจากเหตุที่เกิดขึ้นที่คาราโอเกะซิตี้ที่นายเอกยุทธถูกดำเนินคดีทำร้ายร่างกายพนักงานในร้านและทำให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์ในช่วงปลายปี 2555

แต่นั่นไม่หนักหนาสาหัสเท่ากับการที่เขาประกาศตัวเป็นศัตรูกับระบอบทักษิณ โดยประกาศทุ่มเงินพันล้านเพื่อล้มนายใหญ่ของคนเสื้อแดงมาแล้ว จากนั้น จุดที่ทำให้นายเอกยุทธเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในฐานะ “จอมแฉ” ก็เห็นจะหนีไม่พ้นการออกมาเปิดเผยปฏิบัติการ ว.5 อันลือลั่นของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ และถูกทำร้ายร่างกายจนกลายเป็นเรื่องที่กล่าวขานกันทั้งบ้านทั้งเมืองโดยที่แม้กระทั่งปัจจุบันนี้ก็ยังไม่อาจทำให้สังคมคลายข้อกังขาได้

ขณะที่ข้อความที่น่าสนใจในประเด็นเกี่ยวเนื่องกันก็คือก็เห็นจะเป็นหัวข้อที่เขาโพสต์ในเฟซบุ๊กเรื่อง “น้ำแตกที่มัลดีลฟ์” เอาไว้เมื่อวันที่ 1มิ.ย.

“สึนามิสวาทเข้าถล่มเกาะสวาท หาดสวรรค์ คลื่นซัดจนรีสอร์ทหรูสั่นสะเทือนไปทั้งเกาะ.ภารกิจ ว 5 ณ เกาะสวาท หาดสวรรค์ เดินตามทางของพี่ชายที่เคยใช้เป็นที่ปลดปล่อยความเครียดโดยให้นักร้องสาวขี่คอถ่ายรูปมาโชว์..ช่างบังเอิญที่หนุ่มใหญ่ผัวชาวบ้านเดินทางอ้างไปดูสถานที่ลงทุนบ้านแสรัก...โอสวรรค์กลางทะเล...”

ข้อความนี้ถือว่าฮือฮามาก ถูกแชร์ต่อกันไม่น้อยกว่า 261 ครั้ง มีคนเข้ามาแสดงความเห็นและเฉลยตัวละครไม่ต่างกับภาคแรก

นอกจากนี้ จากการตรวจสอบข้อความเพิ่มเติมในเฟซบุ๊กส่วนตัวของนายเอกยุทธ http://www.facebook.com/akeyuth.thaiinsider ก็พบเงื่อนงำและข้อมูลที่น่าสนใจ เนื่องเพราะข้อความที่นายเอกยุทธโพสต์ส่วนใหญ่จะเกี่ยวพันกับเรื่องราวทางการเมืองแทบทั้งสิ้น ยกตัวอย่างเช่น บางช่วงบางตอนของโพสต์ชิ้นสุดท้ายก่อนหน้าถูกอุ้มหายตัวไป

นายเอกยุทธโพสต์ในเฟซบุ๊กวันที่ 6 มิ.ย.เอาไว้ว่า “ผมยังไม่เคยเห็นใครบอกว่า..ไม่ให้ทักษิณกลับเมืองไทย..ไม่มีใครห้าม..มีแต่ใครๆก็อยากให้กลับทั้งนั้น..แต่ที่พล่ามว่าอยากกลับแต่ไม่กล้ากลับมาเองก็เพราะหนีคุกอยู่ไงครับ..ปากกล้าขาวสั่นอยู่เมืองนอก ทั้งๆที่มีขี้ข้าเป็นใหญ่เต็มบ้านเมือง มีน้องเป็นนายกฯ ..เหตุผลที่ไม่กลับไม่ใช่อะไรหรอกครับ..กลัวความจริงไง..

หรือเมื่อวันที่ 5มิ.ย.โพสต์เอาไว้ว่า “ต่างชาติช่วยกันถล่มหุ้นของกลุ่มมีอำนาจ..สงสัยคงแก้แค้นเรื่องค่าเงินมั้ง ? หุ้นร่วงอย่างนี้ทักกี้หน้ามืดไม่มีเงินจ่ายม็อบแน่...สงสัยต้องเชื่อมูดีสแล้วมั้งที่จะลดความน่าเชื่อถือ..เพราะหุ้นกลุ่มทักษิณร่วงเละ..55555”

วันเดียวกันนี้ เขายังโพสต์ข้อความถึงกรณี นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.พาณิชย์ ถูกนักข่าวต้อนจนมุมในการตอบคำถามเรื่องจำนำข้าว ว่า
“โง่ขนานแท้อีกตัวก็"ตลกขึ้นวอ"ที่พล่ามเรื่องเอาเงินภาษีไปถลุงรับซื้อข้าวราคาสูงจากพวกพ่อค้ามาทิ้งไว้ในโกดัง..กล้าพูดนะว่ายังไม่ได้ขายจะขาดทุนได้ไง ? พวกนี้คิดได้แค่นี้จริงๆ..ด้อยปัญญาเสียดายภาษีที่เสียกันเอามาให้พวกนี้โกงและถลุงกัน..และในความเป็นจริงนั้น ข้าวเหล่านี้เวียนเทียนกันมารับเงินไม่รู้กี่รอบแล้ว..และสต๊อกก็ไม่หลือตามจำนวน ขายแดรกกันไปเกือบหมดแล้ว..”

หรือวันที่ 3 มิ.ย.ที่โพสต์เอาไว้ว่า “ออกข่าวครึกโครมเรื่อง DSI. โดดเข้าทำคดีรถนอกนำเข้าและที่เผารถหรูก่อนจดทะเบียน..ผมว่าหากอยากจะจับจริงๆไปรอจับที่สภาและทำเนียบหรือตามกระทรวงต่างๆ..รถหรูๆที่นักการเมืองใช้กันน่ะ กี่คันที่เสียภาษีถูกต้องและพวกนั้นเอาเงินจากแหล่งใดมาซื้อ ? ตรวจของเหลิมก่อนเลยมั้ย ?

-เก็บมาฝาก...จากวันนี้ที่ "ผม" ไปศาลสู้กับ "คำรณวิทย์และพวก"...ดูกันครับhttp://thaiinsider.info/news2012b/column/specialscoops/23216-2013-06-03-10-32-19 'แจ้ด'แอนด์เดอะแก๊งค์!! ไม่แน่จริง-เบี้ยวไต่สวน อ้างอัยการแก้ต่างไม่ว่าง ถูกศาลตำหนิหน้าแหก

ทั้งหมดนี้ คือเงื่อนงำทั้งหลายทั้งปวงมีเชื่อว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมนายเอกยุทธ อัญชันบุตร ซึ่งก็คงต้องติดตามและตรวจสอบกันต่อไปว่า สุดท้ายแล้วเรื่องจะจบลงอย่างไร

แต่ที่แน่ๆ ก็คือคดีฆาตกรรมนายเอกยุทธคืออีกหนึ่งมหากาพย์ที่ประวัติศาสตร์จะต้องจารึกเอาไว้ว่า เกิดขึ้นในยุคที่หลายคนอ้างว่า เป็นประชาธิปไตยสุดขั้ว
นายเอกยุทธ อัญชันบุตร
ลำดับเหตุการณ์ “อุ้มฆ่า” เอกยุทธ อัญชันบุตร

6 มิถุนายน 2556

เวลา 18.00 น. นายเอกยุทธไปรับประทานอาหารเย็นกับกลุ่มเพื่อนที่ร้านครัวกระแต ย่านประดิพัทธ์ โดยมีนายสันติภาพ เพ็งด้วงเป็นคนขับรถรถตู้โฟล์คสวาเกน สีดำ ทะเบียน ฮ 9304 กรุงเทพมหานคร ซึ่งสอดคล้องกับภาพจากกล้องวงจรปิดหน้าร้านอาหารครัวกระแตที่ปรากฏภาพนายเอกยุทธและนายสันติภาพขณะอยู่ที่ร้าน จากนั้นนายสันติภาพได้ขับรถตู้โฟล์คออกไปและกลับมาอีกครั้งอีก 20 นาทีต่อมา

เวลา 22.30 น. นายเอกยุทธออกจากร้านอาหารครัวกระแต จากนั้นกลับบ้านย่านทาวอินทาวน์ และโทรศัพท์หาลูกชายแต่ติดต่อไม่ได้

7 มิถุนายน 2556

เวลา 00.05 น. กล้องวงจรปิดบันทึกภาพรถตู้โฟล์คของนายเอกยุทธ เข้าไปในซอยร้านอาหารบ้านต้นซุง เพื่อเดินทางไปต่อที่บริษัทไทยอินไซด์เดอร์ ทาวน์อินทาวน์ ซอย 3/2 เป็นเวลาไล่เลี่ยกับที่ลูกชายตัดสินใจขับรถจักรยานยนต์ วนไปที่บริษัทฯ โทรศัพท์กลับหานายเอกยุทธก็ติดต่อไม่ได้แล้ว และเห็นรถตู้สีดำไม่ได้ถูกจอดในที่จอดรถประจำ ก็ไม่ได้แปลกใจ เพราะนึกว่า นายเอกยุทธ กลับถึงบ้านแล้ว

เวลา 08.06 น. พบความเคลื่อนไหวของนายเอกยุทธที่บ้านเลขที่ 339/226 หมู่บ้านราชพฤกษ์ ถนนฉลองกรุง แขวงลำผักชี เขตลาดกระบัง กทม.

เวลา 09.00 น. นายเอกยุทธโทรศัพท์ให้นางศุภากร แหวนหล่อ พี่สาวนำสมุดเช็คไปส่งที่สนามบินสุวรรณภูมิ โดยมอบหมายให้นายณัฎฐวรรธ์ แหวนหล่อนำเช็คไปมอบให้นายเอกยุทธลงลายมือชื่อที่สนามบินสุวรรณภูมิ แต่ไม่พบนายเอกยุทธ พบแต่ นายสันติภาพ ซึ่งนายสันติภาพอ้างว่านายเอกยุทธให้มารับเช็คไปลงลายมือชื่อ หลังจากนั้นนายสันติภาพหายไปประมาณ 10 นาที จึงกลับมาพร้อมเช็คซึ่งนายเอกยุทธลงลายมือชื่อแล้ว เมื่อนำมาขึ้นเงิน ปรากฏว่าเช็คเด้ง เพราะลงปี พ.ศ. ผิด ธนาคารจึงได้สอบถามกับนายเอกยุทธ และได้รับการยืนยันว่า เป็นลายเซ็นต์จริง ธนาคารมอบเงินสด 5,000,000 บาท

เวลา 12.00 น. เพื่อนของนายเอกยุทธ พยายามติดต่อเพราะมีนัดตีกอล์ฟด้วยกัน แต่นายเอกยุทธตอบกลับมาว่า วันนี้ไม่สะดวก

จนกระทั่งเวลา 20.00 น. ในวันเดียวกันนั้น ญาติสามารถโทรศัพท์ติดต่อกับนายเอกยุทธได้ แต่นายเอกยุทธตอบกลับมาเพียงสั้นๆ และพยายามตัดบทการสนทนา และเป็นเบาะแสสุดท้ายก่อนจะติดต่อกับ นายเอกยุทธ ไม่ได้อีก

9 มิถุนายน 2556

เวลา 00.30 น. นางศุภากร แหวนหล่อ เข้าแจ้งความต่อตำรวจ สน.วังทองหลาง เพื่อให้ตามหานายเอกยุทธผู้เป็นน้องชายที่หายออกไปจากบ้านพักย่านทาวอินทาวน์ตั้งแต่เวลา 20.00 น.ของวันที่ 6 มิถุนายน หลังจากที่ลูกชายพบเซิร์ฟเวอร์บันทึกภาพกล้องวงจรปิดหายไปพร้อมกับความผิดปกติหลายอย่าง พร้อมทั้งเข้าร้องทุกข์กับตำรวจกองปราบปรามให้ช่วยติดตามหาตัว

วันที่ 10 มิถุนายน 2556

พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบช.น. และ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร. ได้รับทราบเกี่ยวกับการหายตัวไปของนายเอกยุทธ สั่งการให้เกาะรอยสืบสวนหาเบาะแส
จนกระทั่งเวลา 09.00 น. วันเดียวกันนั้น พบเบาะแสรถโฟล์ค สีดำ ทะเบียน ฮพ 9304 กทม. ที่คาดว่าใช้ก่อเหตุลักพาตัว นายเอกยุทธ ขับไปเส้นทางลงภาคใต้ ไปสิ้นสุดที่ จ.พัทลุง

วันที่ 11 มิถุนายน 2556

เวลา 08.00 น. ระหว่างไล่เรียงจากกล้องวงจรปิด ชุดสืบสวนพบเห็นรถตู้ขับขี่อยู่บนถนนเพชรเกษม มุ่งหน้าเข้า กทม.จึงติดตามมาถึงบริเวณปั๊มแก๊สริมถนนเพชรเกษม ต.กาหลง อ.เมือง จ.สมุทรสาคร จึงเข้าตรวจสอบ พบนายสันติภาพนั่งอยู่ภายในรถ จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมตัวนายสันติภาพโดยเบื้องต้นนายสันติภาพให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา

ต่อมา เมื่อเวลา 14.00 น. เกิดกระแสข่าวลือระบุว่า พบศพชายนิรนามในพื้นที่ จ.พัทลุง อ้างว่าเป็นศพของนายเอกยุทธ ที่ถูกลักพาตัวและหายตัวไปอย่างลึกลับ แต่ในท้ายที่สุดก็ได้รับการยืนยันว่ายังไม่ใช่

จนกระทั่ง เวลา 16.00 น. ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ได้ออกมาเปิดเผยเกี่ยวกับการหายตัวของ นายเอกยุทธ โดยระบุว่า นายเอกยุทธ ถูกฆ่าเสียชีวิตแล้ว พร้อมกับปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวกับคดีกล่าวหารัฐมนตรี ว.5 โฟร์ซีซั่นส์

เวลา 18.00 น. นายสันติภาพได้ยอมรับภาพว่า เป็นผู้ก่อเหตุลักพาตัวและฆ่านายเอกยุทธ โดยนำศพไปฝังไว้ที่ จ.พัทลุง และซัดทอดไปถึงเพื่อนอีก 2 คนที่อ้างว่าร่วมกันลงมือก่อเหตุครั้งนี้ เบื้องต้นคาดว่าเป็นเหตุฆาตกรรมเพื่อหวังเอาทรัพย์สิน

วันที่ 12 มิถุนายน 2556

เวลา 09.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรภาค 9 ได้ลงพื้นที่บริเวณป่าภูเขาจิงโจ้ ต.พนมวัง อ.เมือง จ.พัทลุง พร้อมกับนำตัวนายสันติภาพ พร้อมกับเพื่อนร่วมก่อเหตุอีก 2 คน มาชี้จุดที่นำร่าง นายเอกยุทธ มาอำพราง เบื้องต้นผู้ต้องหาทั้ง 3 ยังให้การสับสน ไม่สามารถระบุตำแหน่งได้ จึงต้องยกเลิกภารกิจไปชั่วคราว

จนกระทั่งเวลา 13.00 น. ได้มีการค้นพบศพชายนิรนาม สภาพเปลือยกาย บริเวณป่าภูเขาจิงโจ้ แต่ยังไม่สามารถระบุได้ว่าเป็น นายเอกยุทธ หรือไม่ จึงได้ส่งไปตรวจสอบผลทางดีเอ็นเอเพื่อยืนยันอีกครั้ง แต่ทางด้าน น้องสาวของนายเอกยุทธ ได้ยืนยันว่าศพที่ค้นพบคือพี่ชายอย่างแน่นอน โดยสังเกตจากตำหนิปานดำที่ใบหู

ศาลอาญาอนุมัติหมายจังผู้ต้องหาทีมฆ่านายเอกยุทธ ประกอบด้วยนายสันติภาพ เพ็งด้วง นายชวลิต วุ่นชุม นายสุทธิพงศ์ พิมพิสารและนายธิวากร เกื้อทอง
ศพของนายเอกยุทธขณะถูกขุดขึ้นมาหลังจากถูกฝังอำพรางคดีที่พัทลุง
พลิกปูมชีวิต เอกยุทธ อัญชันบุตร

เอกยุทธ อัญชันบุตร หรือในชื่อภาษาอังกฤษว่า จอร์จ ตัน (George Tan) เกิดเมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2502 เป็นบุตรคนที่ 3 จากจำนวน 5 คน ของ ร้อยโทแปลก อัญชันบุตร นายทหารคนสนิท จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ อดีตนายกรัฐมนตรี และนางนันทา ฉัตรกุล ณ อยุธยา จบการศึกษาที่โรงเรียนแม้นศรีวิทยา โรงเรียนเทพประสาทวิทยา และเรียนมัธยมศึกษาที่เมืองโอมาฮา รัฐเนแบรสกา สหรัฐอเมริกา ก่อนจะกลับมาทำธุรกิจรับเหมาก่อก่อสร้างร่วมกับพี่ชาย และไปเรียนต่อด้านเศรษฐศาสตร์การเงิน การคลัง ที่มหาวิทยาลัยแปซิฟิก ฮาวาย สหรัฐ

เมื่อเรียนจบ เอกยุทธ เริ่มทำธุรกิจคอมมอดิตี้ส์ โดยเปิดบริษัทนายหน้าซื้อขายคอมมอดิตี้ส์ และเงินตราต่างประเทศ ชื่อ “ชาร์เตอร์อินเวสต์เมนต์” เมื่อ พ.ศ. 2525ในปีถัดมาเป็นช่วงที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากในประเทศสูง ถึงร้อยละ 12 เอกยุทธ ในวัยเพียง 24 ปี คิดหากำไรจากส่วนต่างดอกเบี้ย โดยกู้เงินจากต่างประเทศอัตราดอกเบี้ยต่ำ ประมาณร้อยละ 3 มาฝากในสถาบันการเงินในประเทศเพื่อทำกำไร

บริษัทนายหน้าของเอกยุทธ ในระยะแรกมีเงินลงทุนจากนายทหารและนักการเมืองเป็นจำนวนมาก เมื่อเริ่มมีชื่อเสียง จึงมีประชาชนทั่วไปนำเงินเข้ามาลงทุน และรุ่งเรืองที่สุดเมื่อ พ.ศ. 2527 เพราะสมัยนั้นนิยมการลงทุนในเงินนอกระบบ เช่น แชร์แม่ชม้อย, แชร์แม่นกแก้ว และหันมาลงทุนกับแชร์ชาร์เตอร์

เดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2527 รัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ โดย สมหมาย ฮุนตระกูล ประกาศลดค่าเงินบาท และออกพระราชบัญญัติการกู้ยืมเงินอันเป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 มีการดำเนินการทางกฎหมายกับนางชม้อย ทิพยโส หรือ “แม่ชม้อย”หัวหน้าวงแชร์แม่ชม้อย และพันจ่าอากาศเอกหญิงนกแก้ว ใจยืน หัวหน้าวงแชร์แม่นกแก้ว

เอกยุทธ เดินทางออกนอกประเทศ หลังจากมีข่าวว่า ทางการจะออกหมายจับเมื่อกลางปี พ.ศ. 2528 และเกิดความตื่นตระหนกขึ้นเมื่อมีนายทหารฟ้องคดีเช็คของ นายเอกยุทธ ที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน และทำให้มีผู้เข้าร้องเรียนกับกองปราบเป็นจำนวนหลายพันคน ทางการประกาศอายัดทรัพย์สินของ เอกยุทธ บริษัท ชาร์เตอร์ฯ และผู้ถือหุ้น เพื่อนำออกขายทอดตลาด

เอกยุทธ หลบหนีออกจากประเทศไทย ไปที่มาเลเซีย และเดินทางต่อไปยังเยอรมนีตะวันตก เปลี่ยนชื่อเป็น “จอร์จ ตัน” และขอลี้ภัยการเมืองที่สวิตเซอร์แลนด์ จากนั้น ย้ายไปมหานครนิวยอร์ก และเริ่มทำธุรกิจในตลาดค้าหุ้นวอลล์สตรีท และทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ปัจจุบันมีธุรกิจหลักอยู่ในกรุงลอนดอน และกรุงกัวลาลัมเปอร์

ในระหว่างที่เอกยุทธ หลบคดีแชร์ชาร์เตอร์ อยู่ในเยอรมนีตะวันตก ได้พบกับพันเอกมนูญ รูปขจร โดยการประสานงานกับกลุ่มผู้นำสหภาพแรงงาน และร่วมกันก่อการกบฏ 9 กันยา เมื่อวันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2528 เพื่อล้มล้างรัฐบาล พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ แต่ไม่สำเร็จ หลังเหตุการณ์ เอกยุทธ หลบหนีกลับไปอยู่ที่เยอรมนีตะวันตกอีกครั้ง แล้วย้ายไปกรุงเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ และมหานครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา

หลังจากคดีโกงแชร์หมดอายุความ เอกยุทธ กลับมาเป็นข่าวคราวอีกครั้งในกลางปี พ.ศ. 2547 ในฐานะผู้จะให้การสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมประกาศทุ่มเงิน 1 พันล้านบาทเพื่อล้มรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แต่พรรคประชาธิปัตย์ได้ออกมาปฏิเสธข่าว จากนั้น เอกยุทธ ได้ร่วมกับกลุ่มประชาชนเพื่อชาติและราชบัลลังก์ เปิดปราศรัยขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ท้องสนามหลวงในเดือนกันยายน แต่มีผู้ร่วมไม่มากนัก เอกยุทธ จึงหันมาเปิดเว็บไซต์ ชื่อ ไทยอินไซเดอร์ โจมตี "ทักษิณ ชินวัตร" และเครือข่ายอย่างต่อเนื่อง


พล.ต.ท.คำรณวิทย์ขณะนำตัวนายสันติภาพมาแถลงข่าว
นายสุทธิพงษ์ หรือ“ไอ้เบิ้ม” พิมพิสาร  ผู้ต้องหาที่ถูกซัดทอดว่าเป็นคนลงมือใช้เชือกรองเท้ารัดคอนายเอกยุทธจนเสียชีวิต
พ.ต.อ.นภันต์วุฒิ เลี่ยมสงวน ผกก.ดส หรือในชื่อเดิม ชัดชัย เลี่ยมสงวน
ข้อความที่นายเอกยุทธโพสต์เอาไว้ในเฟซบุ๊กในขณะที่นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เดินทางไปที่เกาะมัลดีฟส์
ลายมือของนายสันติภาพที่ทำทีประหนึ่งว่านายเอกยุทธอุ้มตัวเองเพื่อสร้างสถานการณ์ทางการเมืองที่เจ้าหน้าที่ตำรวจนำมาแสดงในวันแถลงข่าวการควบคุมตัวนายสันติภาพ
กำลังโหลดความคิดเห็น