ASTVผู้จัดการรายวัน- กระทรวงพลังงานสรุปผลสอบไฟดับ 14 จ.ภาคใต้เป็นเหตุสุดวิสัยเอาผิดกับใครไม่ได้ แต่ค่าไฟไร้กังวลเหตุราคาก๊าซฯลดส่งผลให้ค่าไฟงวดหน้า(ก.ย.-ธ.ค.56) จ่อลง 4-5 สตางค์ต่อหน่วย
นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รมว.พลังงาน เปิดเผยหลังการประชุมร่วมกับผู้บริหารระดับสูงกระทรวงพลังงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อตรวจสอบหาสาเหตุกรณีไฟฟ้าดับ 14 จังหวัดภาคใต้เมื่อ 21 พ.ค.ที่ผ่านมาหลังได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงซึ่งล่าสุดได้สรุปแนวทางแล้วว่าเป็นเหตุสุดวิสัยที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.)
“ ทางคณะกรรมการได้ตั้งประเด็นสอบ 3 เรื่องคือ เหตุสุดวิสัยหรือไม่ เมื่อเกิดแล้วได้ดำเนินงานตามคู่มือปฏิบัติงานหรือไม่ และมีมาตรการป้องกันระยะสั้นและระยาวอย่างไร ซึ่งผลตรวจสอบพบเป็นเหตุสุดวิสัย โดยพบสายส่ง 500 เควีจอมบึง บางสะพานถูกปลดบำรุงรักษา และอีกเส้นถูกฟ้าผ่าเมื่อกฟผ.รับซื้อไฟจากมาเลเซียเข้ามาเสริมก็เกิดขัดข้องจึงทำให้ไฟดับซึ่งเหตุการณ์ไฟดับเกิดขึ้นภายในระยะเวลาที่สั้นมากเพียง 5.2 วินาทีเท่านั้น”นายพงษ์ศักดิ์กล่าว
อย่างไรก็ตามน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีได้สั่งให้กระทรวงพลังงานเป็นแกนนำในการดูแล 3 การไฟฟ้าคือกฟผ. การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค(กฟภ.)และการไฟฟ้านครหลวง(กฟน.) โดยมอบให้กฟผ.เป็นแม่งานไปร่วมหารือกับคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน(เรกูเลเตอร์)ที่จะร่วมกันวางระบบป้องกันการตัดไฟอัตโนมัติว่ามีจุดไหนต้องเพิ่มเติมและให้ไปหาพื้นที่ที่จะดับใช้จากผู้ใช้เช่นเอกชนที่พร้อมจะให้ตัดไฟ หรือพื้นที่ใด จังหวัดใด ที่จะกระทบต่อเศรษฐกิจน้อยสุดเพื่อป้องกันปัญหาไฟดับเป็นวงกว้าง
“ที่ประชุมได้รับทราบมาตรการระยะสั้นและระยะยาว โดยมาตรการระยะสั้นเช่น กฟผ.และกฟภ.จะทบทวนการตั้งค่าและปรับปรุงการทำงานอุปกรณ์ปลดโหลดเพื่อดับไฟผู้ใช้ไฟบางส่วน กฟผ.จะทบทวนแผนกู้ระบบไฟฟ้ากลับคืน ส่วนระยะยาวเช่น วางแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าภาคใต้ให้เพียงพอกับความต้องการ เพิ่มระบบสายส่ง 500 เควีในภาคใต้ ฯลฯ”รมว.พลังงานกล่าว
นายดิเรก ลาวัณย์ศิริ ประธานเรกูเลเตอร์ กล่าวว่า กรณีไฟฟ้าดับภาคใต้กฟผ.ได้ไปซื้อไฟจากมาเลเซียมาเสริมระบบ 380 เมกะวัตต์ คิดเป็นวงเงินประมาณ 13 ล้านบาทซึ่งตามหลักการแล้วเมื่อเป็นเหตุสุดวิสัยคงจะไม่สามารถให้กฟผ.รับภาระได้อย่างไรก็ตามแต่เมื่อคิดเป็นค่าไฟฟ้าแล้วกระทบเพียง 1 สตางค์ต่อหน่วยเท่านั้นและแนวโน้มค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติหรือ Ft งวดหน้า(ก.ย.-ต.ค.56) มีแนวโน้มปรับลดลง 4-5 สตางค์ต่อหน่วยเนื่องจากราคาก๊าซฯที่สะท้อนน้ำมันย้อนหลัง 6 เดือนมีราคาถูกลง ดังนั้นส่วนนี้จึงแทบจะไม่มีผลต่อค่าไฟ
นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รมว.พลังงาน เปิดเผยหลังการประชุมร่วมกับผู้บริหารระดับสูงกระทรวงพลังงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อตรวจสอบหาสาเหตุกรณีไฟฟ้าดับ 14 จังหวัดภาคใต้เมื่อ 21 พ.ค.ที่ผ่านมาหลังได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงซึ่งล่าสุดได้สรุปแนวทางแล้วว่าเป็นเหตุสุดวิสัยที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.)
“ ทางคณะกรรมการได้ตั้งประเด็นสอบ 3 เรื่องคือ เหตุสุดวิสัยหรือไม่ เมื่อเกิดแล้วได้ดำเนินงานตามคู่มือปฏิบัติงานหรือไม่ และมีมาตรการป้องกันระยะสั้นและระยาวอย่างไร ซึ่งผลตรวจสอบพบเป็นเหตุสุดวิสัย โดยพบสายส่ง 500 เควีจอมบึง บางสะพานถูกปลดบำรุงรักษา และอีกเส้นถูกฟ้าผ่าเมื่อกฟผ.รับซื้อไฟจากมาเลเซียเข้ามาเสริมก็เกิดขัดข้องจึงทำให้ไฟดับซึ่งเหตุการณ์ไฟดับเกิดขึ้นภายในระยะเวลาที่สั้นมากเพียง 5.2 วินาทีเท่านั้น”นายพงษ์ศักดิ์กล่าว
อย่างไรก็ตามน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีได้สั่งให้กระทรวงพลังงานเป็นแกนนำในการดูแล 3 การไฟฟ้าคือกฟผ. การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค(กฟภ.)และการไฟฟ้านครหลวง(กฟน.) โดยมอบให้กฟผ.เป็นแม่งานไปร่วมหารือกับคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน(เรกูเลเตอร์)ที่จะร่วมกันวางระบบป้องกันการตัดไฟอัตโนมัติว่ามีจุดไหนต้องเพิ่มเติมและให้ไปหาพื้นที่ที่จะดับใช้จากผู้ใช้เช่นเอกชนที่พร้อมจะให้ตัดไฟ หรือพื้นที่ใด จังหวัดใด ที่จะกระทบต่อเศรษฐกิจน้อยสุดเพื่อป้องกันปัญหาไฟดับเป็นวงกว้าง
“ที่ประชุมได้รับทราบมาตรการระยะสั้นและระยะยาว โดยมาตรการระยะสั้นเช่น กฟผ.และกฟภ.จะทบทวนการตั้งค่าและปรับปรุงการทำงานอุปกรณ์ปลดโหลดเพื่อดับไฟผู้ใช้ไฟบางส่วน กฟผ.จะทบทวนแผนกู้ระบบไฟฟ้ากลับคืน ส่วนระยะยาวเช่น วางแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าภาคใต้ให้เพียงพอกับความต้องการ เพิ่มระบบสายส่ง 500 เควีในภาคใต้ ฯลฯ”รมว.พลังงานกล่าว
นายดิเรก ลาวัณย์ศิริ ประธานเรกูเลเตอร์ กล่าวว่า กรณีไฟฟ้าดับภาคใต้กฟผ.ได้ไปซื้อไฟจากมาเลเซียมาเสริมระบบ 380 เมกะวัตต์ คิดเป็นวงเงินประมาณ 13 ล้านบาทซึ่งตามหลักการแล้วเมื่อเป็นเหตุสุดวิสัยคงจะไม่สามารถให้กฟผ.รับภาระได้อย่างไรก็ตามแต่เมื่อคิดเป็นค่าไฟฟ้าแล้วกระทบเพียง 1 สตางค์ต่อหน่วยเท่านั้นและแนวโน้มค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติหรือ Ft งวดหน้า(ก.ย.-ต.ค.56) มีแนวโน้มปรับลดลง 4-5 สตางค์ต่อหน่วยเนื่องจากราคาก๊าซฯที่สะท้อนน้ำมันย้อนหลัง 6 เดือนมีราคาถูกลง ดังนั้นส่วนนี้จึงแทบจะไม่มีผลต่อค่าไฟ
