วานนี้ ( 29 พ.ค.) นายวิวัฒน์ชัย กุลมาตย์ หัวหน้าพรรคพลังงานไทย ได้เข้ายื่นคำร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดินผ่านนายรักษเกชา แฉ่ฉาย โฆษกสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ขอให้ตรวจสอบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะผู้รักษาการตามพ.ร.บ.ประกอบกิจการพลังงาน 2550 คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และการไฟฟ้านครหลวง เกี่ยวกับนโบายการตัดไฟฟ้าของประชาชน โดยเห็นว่าควรมีการยืนหยุ่นให้กับประชาชนที่ค้างจ่ายค่าไฟฟ้า เช่น คิดเป็นดอกเบี้ยปรับแทนการตัดไฟฟ้า เพื่อไม่ให้เกิดเหตุสลดใจซ้ำรอยกรณีเด็กนักเรียน 2 พี่น้อง ถูกไฟคลอกเสียชีวิต เนื่องจากจุดเทียนทำการบ้าน เพราะบ้านถูกตัดไฟจากการค้างจ่ายค่าไฟฟ้า
ทั้งนี้ นายวิวัฒน์ชัย กล่าวว่า การตัดไฟทวงหนี้เป็นการละเมิดต่อบุคคลอย่างชัดเจน เพราะไฟฟ้าเป็นสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานที่ทุกคนมีสิทธิ์ได้รับ อย่างน้อยเพื่อการดำรงชีพ อีกทั้งทุกบ้านจะต้องมีการประกันหม้อไฟฟ้า ซึ่งค่าประกันหม้อไฟฟ้าน่าจะพอๆ กับค่าไฟฟ้าที่ต้องจ่าย 2 เดือน วิธีการตัดไฟฟ้าเมื่อประชาชนไม่จ่ายในทันที และยังปรับรวมถึงคิดค่าติดตั้งใหม่ จึงถือเป็นการละเมิดสิทธิ ไม่เอื้อประชาชน ขาดหลักธรรมาภิบาล เพราะในกรณีส่วนราชการค้างชำระหนี้หลายล้านบาท การไฟฟ้าก็ยังไม่ได้ตัดไฟแต่อย่างใด
จึงขอให้ผู้ตรวจการแผ่นดินเข้าไปตรวจสอบนโยบายและเสนอแนะให้มีการแก้ไข โดยอาจให้รัฐบาลช่วยบรรเทาทุกข์และมีการแจ้งเตือน หรือมีการหรี่ไฟฟ้าหากครอบครัวนั้น ค้างจ่ายค่าไฟฟ้าเกิน 2 เดือน และให้กรมประชาสงเคราะห์เข้าไปช่วยดูแลในกรณีเป็นครอบครัวที่ยากจน แต่หากพิสูจน์ได้ว่า มีเงิน แล้วไม่ยอมจ่ายค่าไฟฟ้า ก็ให้มีการปรับ 2-3 เท่าของค่าไฟฟ้าที่ต้องจ่ายจริง
ในวันเดียวกันนี้ ที่รัฐสภา นายมนตรี ปาน้อยนนท์ ส.ส.ประจวบคีรีขันธ์ พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการพลังงาน สภาฯ พร้อมด้วยนายเชน เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการองค์กรตามรัฐธรรมนูญ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน และกองทุน สภาฯ ร่วมกันแถลงข่าวภายหลังได้เชิญ นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รมว.พลังงาน รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ไฟฟ้าดับในพื้นที่ 14 จังหวัดภาคใต้ อาทิ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) การฟ้าส่วนภูมิภาค(กฟภ.) สำนักงานนโยบายแผนพลังงาน เมื่อวันที่ 21 พ.ค.ที่ผ่านมา เข้าชี้แจงต่อกรรมาธิการฯนานกว่า 6 ชม.
โดย นายมนตรี กล่าวว่า ทางกฟผ.ได้ชี้แจงว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เพราะในวันดังกล่าวได้มีการปลดสายส่งไฟฟ้า 500 เควี 1 เส้น เพื่อซ่อมบำรุง ประกอบกับเกิดเหตุฟ้าผ่าสายส่งขนาด 500 เควี อีก 1 เส้นที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ ทำให้ต้องใช้สายส่งขนาดเล็ก 230 เควี ส่งไฟฟ้าไปยังพื้นที่ภาคใต้ ขณะเดียวกันเกิดความขัดข้องทำให้ไม่สามารถรับไฟฟ้าจากประเทศมาเลเซียได้ ทำให้ไฟฟ้าดับทั้งพื้นที่ 14 จังหวัด ซึ่งกฟผ.ก็ไม่สามารถให้คำยืนยันได้ว่าจะไม่เกิดเหตุดังกล่าวอีก
นายมนตรี กล่าวต่อว่า รมว.พลังงาน ได้ชี้แจงว่า เรื่องที่เกิดขึ้นไม่มีเบื้องหน้าเบื้องหลังเกี่ยวกับการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน ใน จ.กระบี่ และหากจะสร้างโรงไฟฟ้าแห่งใหม่ต้องทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ และต้องขอความร่วมมือจากส.ส.ในพื้นที่
ด้านนายเชน กล่าวว่า กรรมาธิการฯ ได้เสนอ 8 มาตรการป้องกันไฟดับ ว่า 1.ควรมีมาตรการเพื่อป้องกันปัญหาทั้งระยะสั้นและระยะยาว 2.ควรพัฒนาสายส่งไฟฟ้าทั่วประเทศให้เป็นสายส่งแรงสูงขนาด 500 เควี เพราะหากสายส่งใดมีปัญหาก็สามารถจ่ายไฟฟ้าผ่านสายส่งอื่นได้ 3.ควรส่งเสริมและพัฒนาผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ ลม น้ำ เป็นต้น 4.ควรมีมาตรการที่ชัดเจนว่าจะสร้างโรงไฟฟ้าเพิ่มเติมหรือไม่ในพื้นที่ใด 5.ควรมีมาตรการที่ชัดเจนในการควบคุมการออกใบอนุญาตซื้อขายไฟฟ้าเพื่อแก้ไขปัญหา กรณีผู้มีใบอนุญาต ไม่ผลิตไฟฟ้าแต่กลับนำใบอนุญาตไปขายต่อ 6.โรงไฟฟ้าที่มีอยู่เดิมควรพัฒนาเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตและใช้ประโยชน์จากโรงไฟฟ้าที่มีให้มากขึ้นโดยเฉพาะในพื้นที่ภาคใต้ ควรนำทรัพยากรที่ผลิตได้ในพื้นที่ เช่นน้ำมันปาล์มมาเป็นเชื้อเพลิง 7.ควรประชาสัมพันธ์เพื่อเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจ 8.เวลาเกิดเหตุต้องมการสื่อสารให้ชัดเจน ต้องแจ้งรายละเอียดในการแก้ไขปัญหา
ทั้งนี้ นายวิวัฒน์ชัย กล่าวว่า การตัดไฟทวงหนี้เป็นการละเมิดต่อบุคคลอย่างชัดเจน เพราะไฟฟ้าเป็นสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานที่ทุกคนมีสิทธิ์ได้รับ อย่างน้อยเพื่อการดำรงชีพ อีกทั้งทุกบ้านจะต้องมีการประกันหม้อไฟฟ้า ซึ่งค่าประกันหม้อไฟฟ้าน่าจะพอๆ กับค่าไฟฟ้าที่ต้องจ่าย 2 เดือน วิธีการตัดไฟฟ้าเมื่อประชาชนไม่จ่ายในทันที และยังปรับรวมถึงคิดค่าติดตั้งใหม่ จึงถือเป็นการละเมิดสิทธิ ไม่เอื้อประชาชน ขาดหลักธรรมาภิบาล เพราะในกรณีส่วนราชการค้างชำระหนี้หลายล้านบาท การไฟฟ้าก็ยังไม่ได้ตัดไฟแต่อย่างใด
จึงขอให้ผู้ตรวจการแผ่นดินเข้าไปตรวจสอบนโยบายและเสนอแนะให้มีการแก้ไข โดยอาจให้รัฐบาลช่วยบรรเทาทุกข์และมีการแจ้งเตือน หรือมีการหรี่ไฟฟ้าหากครอบครัวนั้น ค้างจ่ายค่าไฟฟ้าเกิน 2 เดือน และให้กรมประชาสงเคราะห์เข้าไปช่วยดูแลในกรณีเป็นครอบครัวที่ยากจน แต่หากพิสูจน์ได้ว่า มีเงิน แล้วไม่ยอมจ่ายค่าไฟฟ้า ก็ให้มีการปรับ 2-3 เท่าของค่าไฟฟ้าที่ต้องจ่ายจริง
ในวันเดียวกันนี้ ที่รัฐสภา นายมนตรี ปาน้อยนนท์ ส.ส.ประจวบคีรีขันธ์ พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการพลังงาน สภาฯ พร้อมด้วยนายเชน เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการองค์กรตามรัฐธรรมนูญ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน และกองทุน สภาฯ ร่วมกันแถลงข่าวภายหลังได้เชิญ นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รมว.พลังงาน รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ไฟฟ้าดับในพื้นที่ 14 จังหวัดภาคใต้ อาทิ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) การฟ้าส่วนภูมิภาค(กฟภ.) สำนักงานนโยบายแผนพลังงาน เมื่อวันที่ 21 พ.ค.ที่ผ่านมา เข้าชี้แจงต่อกรรมาธิการฯนานกว่า 6 ชม.
โดย นายมนตรี กล่าวว่า ทางกฟผ.ได้ชี้แจงว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เพราะในวันดังกล่าวได้มีการปลดสายส่งไฟฟ้า 500 เควี 1 เส้น เพื่อซ่อมบำรุง ประกอบกับเกิดเหตุฟ้าผ่าสายส่งขนาด 500 เควี อีก 1 เส้นที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ ทำให้ต้องใช้สายส่งขนาดเล็ก 230 เควี ส่งไฟฟ้าไปยังพื้นที่ภาคใต้ ขณะเดียวกันเกิดความขัดข้องทำให้ไม่สามารถรับไฟฟ้าจากประเทศมาเลเซียได้ ทำให้ไฟฟ้าดับทั้งพื้นที่ 14 จังหวัด ซึ่งกฟผ.ก็ไม่สามารถให้คำยืนยันได้ว่าจะไม่เกิดเหตุดังกล่าวอีก
นายมนตรี กล่าวต่อว่า รมว.พลังงาน ได้ชี้แจงว่า เรื่องที่เกิดขึ้นไม่มีเบื้องหน้าเบื้องหลังเกี่ยวกับการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน ใน จ.กระบี่ และหากจะสร้างโรงไฟฟ้าแห่งใหม่ต้องทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ และต้องขอความร่วมมือจากส.ส.ในพื้นที่
ด้านนายเชน กล่าวว่า กรรมาธิการฯ ได้เสนอ 8 มาตรการป้องกันไฟดับ ว่า 1.ควรมีมาตรการเพื่อป้องกันปัญหาทั้งระยะสั้นและระยะยาว 2.ควรพัฒนาสายส่งไฟฟ้าทั่วประเทศให้เป็นสายส่งแรงสูงขนาด 500 เควี เพราะหากสายส่งใดมีปัญหาก็สามารถจ่ายไฟฟ้าผ่านสายส่งอื่นได้ 3.ควรส่งเสริมและพัฒนาผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ ลม น้ำ เป็นต้น 4.ควรมีมาตรการที่ชัดเจนว่าจะสร้างโรงไฟฟ้าเพิ่มเติมหรือไม่ในพื้นที่ใด 5.ควรมีมาตรการที่ชัดเจนในการควบคุมการออกใบอนุญาตซื้อขายไฟฟ้าเพื่อแก้ไขปัญหา กรณีผู้มีใบอนุญาต ไม่ผลิตไฟฟ้าแต่กลับนำใบอนุญาตไปขายต่อ 6.โรงไฟฟ้าที่มีอยู่เดิมควรพัฒนาเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตและใช้ประโยชน์จากโรงไฟฟ้าที่มีให้มากขึ้นโดยเฉพาะในพื้นที่ภาคใต้ ควรนำทรัพยากรที่ผลิตได้ในพื้นที่ เช่นน้ำมันปาล์มมาเป็นเชื้อเพลิง 7.ควรประชาสัมพันธ์เพื่อเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจ 8.เวลาเกิดเหตุต้องมการสื่อสารให้ชัดเจน ต้องแจ้งรายละเอียดในการแก้ไขปัญหา
