ชาวไทยหลายพันคนอาศัยอยู่ในย่านกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เมืองหลวงของสหรัฐอเมริกา จำนวนหนึ่งไปตั้งหลักแหล่งทำมาหากินอย่างถาวรมานานและมีลูกหลานเป็นอเมริกันเต็มตัว อีกส่วนหนึ่งเพิ่งเข้าไปไม่นานรวมทั้งผู้ที่ไปทำงานราชการด้วย
สภาพสังคมไทยที่นั่นไม่ต่างกับสังคมไทยในเมืองไทย มีสมาคมและชมรมไทยหลายแห่งซึ่งรวมตัวกันในรูปของสมาคมทั่วไปและในรูปของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งโดยเฉพาะ เช่น สมาคมชาวอีสานและสมาคมชาวไทยเชื้อสายจีนไหหลำ วัดศาสนาพุทธที่มีเจ้าอาวาสเป็นพระสงฆ์ไทยและอุปถัมภ์โดยคนไทยมีด้วยกัน 5 แห่งซึ่งเป็นธรรมยุติกนิกาย 3 แห่ง การที่มีวัดมากขนาดนั้นส่วนหนึ่งเพราะเมื่อพระหรือฆราวาสตกลงกันไม่ได้ก็แยกไปตั้งวัดใหม่ดังที่เกิดขึ้นในเมืองไทยไม่มีผิด
ในจำนวนกลุ่มต่างๆ นั้น มีกลุ่มหนึ่งซึ่งตั้งชื่อว่า Thai D C Forum กลุ่มนี้จดทะเบียนเป็นองค์กรเอกชนแนวไม่แสวงหากำไรด้วยจุดมุ่งหมายในด้านการเป็นเวทีสำหรับคนไทยที่จะพูดคุยและแลกเปลี่ยนความรู้กันในด้านสังคม เศรษฐกิจและการเมือง เนื่องจากกลุ่มนี้มีผู้ขับเคลื่อนเป็นสมาชิกอยู่ในกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) บางครั้งจึงมีผู้เข้าใจผิดคิดว่าเป็นกลุ่มเดียวกัน แต่นั่นไม่ใช่ ผู้ที่เข้าร่วมกิจกรรมของ Thai D C Forum อาจไม่เป็นสมาชิกของกลุ่ม พธม. และผู้เป็นสมาชิกของกลุ่ม พธม. อาจไม่เข้าร่วมกิจกรรมของ Thai D C Forum
เมื่อคราวที่คุณสนธิ ลิ้มทองกุล เดินทางไปเยี่ยมกลุ่มคนไทยในเมืองต่างๆ ในอเมริกาเมื่อปลายเดือนพฤษภาคม Thai D C Forum เป็นผู้จัดงานรับประทานอาหารเย็นร่วมกันสำหรับคนไทยในย่านกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เมื่อคืนวันที่ 24 พฤษภาคม ณ ร้านอาหารไทยในย่านชานเมือง ก่อนเปิดโอกาสให้ฟังการเล่าเรื่องราวในเมืองไทยของคุณสนธิ งานนั้นจัดในนามของ Thai D C Forum เนื่องจากผู้จัดต้องการจะสื่อให้คนไทย (และฝรั่งซึ่งสนใจในเมืองไทย) ในย่านนั้นทราบว่า งานเปิดให้ผู้สนใจเข้าร่วมได้ทุกคน Thai D C Forum ยึดปฏิบัติในแนวนี้มานาน และในวันที่ 8 มิถุนายน ซึ่งเป็นหลังวันที่ส่งบทความนี้ ก็จะจัดให้มีการรับประทานอาหารร่วมกันที่ร้านเดิมเพื่อพบปะกับคณะของวุฒิสมาชิกไทยที่เดินทางไปศึกษาดูงานด้านธรรมาภิบาลในอเมริกาอันมี ส.ว.รสนา โตสิตระกูล เป็นผู้นำ
คงเป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า แม้จะไปทำมาหากินในสหรัฐอเมริกาเป็นเวลานาน คนไทยส่วนใหญ่ยังมีความเป็นคนไทยเต็มร้อย มีความห่วงใยในบ้านเมืองและติดตามข่าวสารเกี่ยวกับเหตุการณ์ในบ้านเกิดอย่างใกล้ชิด การมาพบปะกันและร่วมฟังคุณสนธิและคนไทยที่เดินทางไปในย่านนั้นเสมอก็ด้วยเหตุนั้น ก่อนการบรรยายของคุณสนธิ คุณบรรจบ เจริญชลวานิช ได้อ่านแถลงการณ์เกี่ยวกับความห่วงใยในสถานการณ์ของบ้านเมืองดังนี้ –
ถึง เพื่อนไทย
เมื่อไม่นานมานี้ ท่านผู้พิพากษาศาลสูง “ซูนี่” ได้กล่าวถึงบทบาทของประชาชน ต่อการพัฒนาการเมืองการปกครองประเทศ ไว้อย่างน่าสนใจว่า “มันเป็นความรับผิดชอบของประชาชนทุกคนในการสร้างประเทศที่ต้องการ โดยไม่ปล่อยให้ประเทศเป็นไปตามยถากรรม”
คำกล่าวของท่านผู้พิพากษา ชี้ให้เห็นความสำคัญของการเมืองภาคประชาชน และย้ำถึงความจริงสองประการคือ...ดินแดน(อเมริกา)แห่งนี้ มิได้เกิดจากฟ้า(พระเจ้า)ประทาน ชาวอเมริกัน มิได้เติบโตบนแผ่นดินทอง ซึ่งน้ำเต็มไปด้วยปลา นาเต็มไปด้วยข้าว เช่นชาวไทย...การถากถางสร้างประเทศของชาวอเมริกันเริ่มจากการเดินเรือฝ่าน้ำ ข้ามสมุทรมายังดินแดนแห่งนี้... เริ่มตั้งแต่การประทังชีพด้วยซากสดๆ ของเพื่อน เมีย และ ผัว ในเจมส์ทาวน์ จนถึงการสละชีวิตนับหมื่นเพื่ออิสรภาพ จนถึงการสละแขนขานับล้าน ในการสู้รบระหว่างพี่น้อง จากสองขั้วความคิด... ชาวอเมริกัน มิได้ถูกหล่อหลอมจากเบ้าของการรอคอยการอุปถัมภ์ ประเภท มีวันนี้เพราะพี่ให้...แต่เกิดจากเบ้าแห่งการต่อสู้ เพื่อการดำรงอยู่ เพื่อการปลดปล่อยตนจากการเป็นทาส ทั้งทางกาย และจิตวิญญาณ...
ความจริงอีกประการคือ การพัฒนาประเทศอเมริกา มิได้เกิดจากลายลักษณ์อักษรในรัฐธรรมนูญเท่านั้น อเมริกาเปลี่ยนแปลงไปสู่ความเป็น “A more perfect union” เป็นประเทศที่ วันนี้ดีกว่าเมื่อวาน และจะดียิ่งขึ้นในวันพรุ่ง เพราะมีระบอบที่เริ่มจากคุณธรรม และเพราะชาวอเมริกัน ไม่ยอมหยุดนิ่ง นั่งเฉย ปล่อยให้การสร้างและพัฒนาบ้านเมือง เป็นไปตามยถากรรม หรืออยู่ในความควบคุมของรัฐบาลและนักการเมืองเพียงถ่ายเดียว... ตั้งแต่การจุดประกายเรียกร้องสิทธิสตรีของ Lucretia Mott ในปี 1848 ที่ Seneca Falls ถึงการเดินขบวนสู่กรุงวอชิงตัน นำโดย Martin Luther King Jr. ในปี 1963 อเมริกาเป็นประเทศที่ดีกว่าเมื่อวาน ด้วยการยอมรับสิทธิของคนผิวสี และสตรี อันเกิดจากการขับเคลื่อนของภาคประชาชนทั้งสิ้น บ้างก็ผลักดันด้วยการโหวต บ้างก็กดดันด้วยพลังมวลชน และที่แน่ๆ คือ ชาวอเมริกันไม่นิ่งเฉยยอมให้นักการเมืองเข้ารุมเร้า ชำเราประเทศ อย่างเร่งรีบ เช่นที่เห็นกันอยู่ในประเทศไทย...
ความเข้าใจหน้าที่ ความรับผิดชอบต่อประเทศ และการไม่ยอมตกเป็นทาสนักการเมือง ของชาวอเมริกัน ทำให้นักการเมืองประเภท Impotent มีอำนาจแต่ใช้ไม่เป็น และประเภท Crooked ใช้อำนาจโดยทุจริต เกินขอบเขต เพื่อตนเองและพวกพ้อง หลุดเข้ามาสร้างความเสียหายให้ประเทศได้ไม่ง่ายนัก...
ผลของการไม่เป็นอเมริกันเฉย ชาวอเมริกันตื่นรู้ ไม่ตกเป็นเหยื่อของสื่อประเภทกระบอกเสียง และนักวิชาการประเภทรับจ้างค้าประชาธิปไตย ซึ่งมักตั้งตนเป็นศูนย์กลางความรู้ ขยายความเชื่อว่าระบบเท่านั้น สามารถแก้ปัญหาได้ทั้งหมด โดยไม่คำนึงถึงว่าระบบที่ดีสร้างจากเจตนาสุจริต กอปรกับแบบอย่างการเคารพเจตนารมณ์ของระบบ และท่าทีของผู้ทรงอำนาจต่างหากที่จะนำไปสู่ระบบที่มีเสถียรภาพ และสามารถแก้ปัญหาส่วนใหญ่ของประเทศได้...
ผลของการไม่เป็นอเมริกันเฉย อเมริกาจึงเป็นประเทศที่ดีกว่าเมื่อวานเสมอมา โดยไม่ต้องใช้วิธีอนาธิปไตย จ้างมวลชนมาสาดเลือดตามวิถีโบราณ สร้างป้อมคูประตูค่าย กลางเมืองหลวง เผาบ้านทำลายเมือง บุกยึดสถานพยาบาล ไล่ล่าหมายฆ่านายกฯ สร้างความเสียหายต่อชีวิต เลือดเนื้อ และทรัพย์สินของประชาชน จนเป็นที่ก่นด่าสาปแช่งของคนทั่วไป เพียงเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจวาสนา ในการสืบสายเลือด ครองบัลลังก์...
ผลของการไม่เป็นอเมริกันเฉย อเมริกาจึงไม่มีนักโทษหนีคุก บริหารประเทศ ทำลายรากฐานสังคมและการเมืองที่พัฒนามายาวนาน เพื่อสนองตัณหาของตน ตระกูล และพรรคพวก ทำลายองคาพยพของประเทศทุกรูปแบบ ยอมรับกฎหมายเมื่อได้ประโยชน์ ปฏิเสธกฎหมาย ทำลายศาล เมื่อกระบวนการนั้นเป็นโทษ...
ผลของการไม่เป็นอเมริกันเฉย อเมริกาจึงไม่มีสภาที่เต็มไปด้วยสัตบุรุษ พร้อมออกกฎหมายเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน ไม่เต็มไปด้วยอสัตบุรุษ ที่เข้ามาเพื่อยกมือรับรองโครงการต่างๆ ซึ่งรัฐบาลจัดหามาจากความวิบัติของประชาชน...
ผลของการไม่เป็นอเมริกันเฉย อเมริกาจึงไม่มีรัฐบาลที่ผู้นำต้องร้องหาข้อยุติในศาล ว่าตนเป็นหญิงงามเมืองจากกำแพงดิน หรือเป็นหญิงคนชั่วขายชาติกันแน่...
แต่เพราะเป็นไทยเฉย และการที่สื่อยอมขายตัวลดต่ำลงเป็นเพียงกระบอกเสียง และการรับจ้างค้าประชาธิปไตยของเหล่านักวิชาการส่วนหนึ่ง ชนชั้นรากหญ้าจึงหลงเข้าใจว่า “Election for the Filthy Riches” ซึ่งปักธงให้ได้มาซึ่ง รัฐบาลของมหาเศรษฐีโสโครก โดยมหาเศรษฐีโสโครก เพื่อมหาเศรษฐีโสโครก และการสนับสนุนด้วยศัพท์สูงๆ ของนักวิชาการเหล่านั้น บิดเบือนให้หลงไปว่า ประชาธิปไตยจอมปลอม (Psudo-Democracy) ที่นำมาเสนอ และการบริหารประเทศ โดยวงศาคณาญาติ (Nepotism) ของหมู่โจรปล้นประเทศ (Kleptachy) และเหล่ามหาเศรษฐีโสโครก (Oligarchy) ซึ่งนิยามโดยรวมว่า “ทักษิณ” นั้นคือประชาธิปไตย...
แต่เพราะเป็นไทยเฉย ความอ่อนแอจึงเกิดในภาคประชาชน จนชาวไทยส่วนหนึ่งถูกสะกดให้เกลียดชังอดีต พร้อมทำลายสังคมและวัฒนธรรมของตน ด้วยบทเพลงปฏิวัติอันคร่ำครึของชนชาติตะวันตก โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบรุนแรง และทะเลเลือดที่อาจเกิดขึ้นในสังคมไทย...
แต่เพราะเป็นไทยเฉย และเคียดแค้นชิงชังอดีต คนไทยส่วนนั้น ยอมมองข้ามความโสโครกที่ลอยตรงหน้าในปัจจุบัน ตั้งใจมั่น สะสางบัญชีแค้นในอดีต แทนการป้องกันวงจรอุบาทว์ใหม่ที่กำลังคืบคลาน เข้ายึดครองบ้านเมืองของระบอบประชาธิปไตยรับจ้าง จากอำนาจเงินของมหาเศรษฐีโสโครก...
แต่เพราะเป็นไทยเฉย นักการเมืองจึงลุอำนาจทำลายระบบ ปฏิเสธการตรวจสอบ ด้วยกลโกงการเมือง แปลความ หลีกเลี่ยงกฎหมายทุกรูปแบบ ไปถึงการล้ออำนาจประธานาธิบดี มาใช้ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยไม่แยแสต่อกฎหมายบ้านเมือง...
แต่เพราะเป็นไทยเฉย ประเทศไทยจึงถูกวิจารณ์จากสื่อระดับโลกว่า รัฐบาลไทยซึ่งนำโดยน้องสาว ที่แท้คือรัฐบาลสไกป์ ซึ่งบริหารโดยมือที่มองเห็นของผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ พี่ชายนักโทษหนีคุก...
เวลานี้ น่าจะเหมาะสมแล้ว ที่เราประชาชนชาวไทยทุกหมู่ ทุกเหล่า ต้องละทิ้งความต่าง รักษาวาจา ถนอมท่าที อ่อนน้อมต่อกัน เปลี่นทัศนคติต่อเพื่อนไทยเสียใหม่ จากการมองว่า “หากคุณไม่ใช่เพื่อนเรา คุณคือศัตรูของเรา” มาเป็น “หากคุณไม่ใช่ศัตรูเรา คุณคือเพื่อนของเรา” เพื่อยังความสามัคคี ร่วมกันปฏิเสธระบอบทักษิณอย่างจริงจัง เป็นครั้งสุดท้าย...
มิฉะนั้นแล้ว เราอาจไม่มีโอกาสเลือก ว่าเราต้องการระบอบการปกครองแบบใด ระหว่าง “ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” หรือ”ประชาธิปไตยจอมปลอม อันมีมหาเศรษฐีโสโครก นักโทษหนีคุก เป็นประมุข”
การบรรยายของคุณสนธิแบ่งเป็นสองตอนคือ ตอนแรกเป็นการแจงให้เห็นว่าเนื้อหาที่นักโทษหนีคุกสไกป์เข้ามาในการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงในย่านราชประสงค์ในโอกาสครบรอบ 3 ปีของการเผาบ้านเผาเมืองเมื่อเดือนพฤษภาคม 2553 นั้นเป็นการโกหกและหลอกลวงทั้งเพ ตอนที่สองเป็นเรื่องเกี่ยวกับการมุ่งเอาชีวิตของคุณสนธิโดยฝ่ายเสียประโยชน์
จะไม่ขอพูดถึงรายละเอียดในที่นี้เนื่องจากผู้ที่ติดตามสื่อในเครือผู้จัดการย่อมรับรู้การวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการโกหกหลอกลวงของนักโทษคนนั้นแล้ว และคุณสนธิได้เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการมุ่งเอาชีวิตตนในรายการของเอเอสทีวีเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม แล้วเช่นกัน
ผู้จัดงานคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าว่าเนื้อหาที่คุณสนธิจะเล่าจะเป็นเรื่องราวหนักๆ ฉะนั้น เพื่อให้บรรยากาศเบาลงบ้างจึงขอให้ผมแต่งและขับเสภาให้ผู้มาร่วมงานฟังสักบทสองบท ผมอดฟังลูกยอไม่ไหวจึงแต่งและขับเสภาแนวเด็กเลี้ยงควายซึ่งผมเคยเป็นในอดีตให้ผู้มาร่วมงานฟังชื่อ “สิบสองปีที่ผ่านพ้นและคนไทยสองกลุ่ม” (การขับเสภานั้นอาจมีกัลยาณมิตรนำขึ้น Youtube ในโอกาสหน้าสำหรับผู้ที่มีเวลาฟังเสภาแบบลูกทุ่ง) ก่อนขับเสภา ผมอธิบายสั้นๆ ถึงที่มาของชื่อเสภาและเนื้อหาบางส่วนโดยเฉพาะเรื่องความกังวลของผมตั้งแต่เห็นคนไทยถูกมอมเมาด้วยนโยบายประชานิยมแบบเลวร้ายมาเป็นเวลากว่า 12 ปี ผมได้พยายามอธิบายให้คนไทยฟังผ่านสื่อต่างๆ รวมทั้งการเขียนหนังสือและบทความมาตั้งแต่ปี 2544 แต่ไม่ค่อยมีใครฟัง นอกจากนั้น ยังได้อธิบายเรื่องฟักแม้วซึ่งมีความหมายหลายอย่างและเรื่องทฤษฎีผีเสื้อกระพือปีกอีกด้วย (ผมเรียก The Butterfly Effect ใน The Chaos Theory หรือทฤษฎีความอลวนว่าทฤษฎีผีเสื้อกระพือปีก) ทฤษฎีนี้มีการพิสูจน์แล้วว่า ในภาวะที่เหมาะสม แรงลมจากการกระพือปีกของผีเสื้อเพียงตัวเดียวจะก่อให้เกิดพายุใหญ่ ผมเชื่อว่าพฤติกรรมของคนไทยเพียงคนเดียวแต่ไม่รู้ว่าใครอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ได้ทั้งในทางดีและทางร้าย
เสภามีเนื้อหาดังนี้ –
ในช่วงของ สิบสองปี ที่พ้นผ่าน
มีเหตุการณ์ ก่อทุกข์ จุกอกผม
นึกขึ้นมา คราใด ให้ระทม
ความขื่นขม มีราก จากกลุ่มคน
กลุ่มที่หนึ่ง ซึ่งคงรู้ กันอยู่แล้ว
พวกฟักแม้ว เศษมนุษย์ สุดฉ้อฉล
มันกลับกลอก หลอกมอมเมา เหล่าปวงชน
ด้วยสินบน สารพัด มันจัดมา
ใช้อำนาจ กวาดทรัพย์ นับแสนล้าน
แล้วบงการ ให้เปิดทาง สร้างปัญหา
กฎบ้านเมือง เรื่องศีลธรรม ไม่นำพา
การเข่นฆ่า คนดีๆ มีทั่วไป
แม้พระองค์ ผู้ทรงธรรม์ มันไม่เว้น
ทำตัวเป็น เสมือนเจ้า เฝ้าสาไถย
สร้างหุบเหว เลวทราม หยามคนไทย
ความจัญไร บ่มเพาะ เกาะพารา
กลุ่มที่สอง เหล่าผองไทย ใหญ่ที่สุด
เป็นมนุษย์ ชนิดหนึ่ง ซึ่งหนังหนา
แม้บ้านเมือง มีเรื่องใหญ่ ไม่นำพา
ยึดหลักว่า เอาตัวรอด เป็นยอดดี
ความดูดาย กลายเป็นบาป สาปประเทศ
จมกิเลส อัปยศ หมดราศี
โอกาสรอด ตลอดไป คงไม่มี
สิบสองปี หัวอกผม ได้ตรมตรอม
ที่มากัน คืนวันนี้ คิดดีแล้ว
ไล่ฟักแม้ว โคตรอุบาทว์ เชื้อชาติขอม
จะตายเป็น เข็ญใจ จะไม่ยอม
ขอสู้จอม ทรชน จนล่มจม
มาร่วมเป็น เช่นผีเสื้อ ผู้เชื่อมั่น
ว่าสักวัน ภาวะ จะเหมาะสม
ปีกบางบาง จะสร้าง กระแสลม
เป็นพายุ แห่งสังคม อุดมการณ์
เสภาสะท้อนผลการศึกษาสังคมไทยของผมในช่วงเวลา 15 ปีที่ผ่านมา ผมพยายามศึกษาให้ลึกลงไปว่าเพราะอะไรสังคมไทยจึงเป็นอย่างที่เป็นในบริบทของวิวัฒนาการด้านการพัฒนาเศรษฐกิจซึ่งผมเริ่มศึกษามาตั้งแต่ครั้งยังอยู่ในมหาวิทยาลัย ผมสรุปว่า สิ่งหนึ่งซึ่งสร้างปัญหาให้สังคมไทยคือความดูดายของคนไทยโดยทั่วไป
พวกทรราชและนักการเมืองฉ้อฉลเข้าใจในนิสัยของคนไทยในด้านนี้ดี พวกเขาจึงกร่างที่จะทำอะไรทรามๆ ตามใจชอบเพราะแน่ใจว่าจะไม่มีคนไทยกี่คนออกมาต่อต้าน พวกเขาเข้าใจถูกต้อง ในช่วงเวลา 12 ปีจึงมีเหตุการณ์อัปยศต่างๆ เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยมีคนไทยจำนวนไม่มากออกมาต่อต้าน ผมเชื่อว่าความดูดายเป็นบาป ทั้งกลุ่มคนทำทรามและกลุ่มคนดูดายมีส่วนสร้างความเสียหายร้ายแรงพอๆ กัน
ผลการศึกษาสังคมไทยของผมส่วนหนึ่งพิมพ์ออกมาในหนังสือชื่อ มองเมืองไทย: จากสิบปีของการใช้หนี้แผ่นดิน (เนื่องจากหนังสือเล่มนี้ไม่มีแจกแล้ว อีกไม่นานจะนำมาให้อ่าน หรือดาวน์โหลดกันได้ในเว็บไซต์ของมูลนิธินักอ่านบ้านนา www.bannareader.org) นอกจากนั้น อีกบางส่วนจะพิมพ์ออกมาในหนังสือชื่อ เมื่อคิดให้ดีไทยนี้ฉลาด โดยสำนักพิมพ์โพสต์บุ๊คซึ่งจะพิมพ์ภาคภาษาอังกฤษในรูปของ E-book ชื่อ A Guide to the Perfect Thai Idiot ด้วย
เสภาถูกส่งต่อไปหลายแห่ง ในกระบวนการนั้น ผมได้รับการตอบรับทางอีเมลสั้นๆ หลายครั้งรวมทั้งอีเมลที่แนบมานี้ด้วย ผมตัดคำหนึ่งออกเนื่องจากเห็นว่ามันไม่น่าพิมพ์ออกมาทางสื่อ แต่คงเนื้อหาทุกอย่างไว้ในรูปเดิม
ที่แท้ก้อคือ ลูกกะ (..ตัดออก..) ไอ้เจ๊กลิ้ม ไอ้เจ๊กกบฏ โธ่ไม่น่าเลย... เห็นกันอยู่หลัดๆ สวัสดีคนไทย คนไทย คนไทย.......
ท่านผู้เจริญ..สั้นๆ
1. เจ๊ก.ธิเสี้ยม ยุไทยให้แตกแยก
2.บัง.ธิ รับจ้างปฏิวัติ ยึดอำนาจ แล้วไง..
3.ไอ้แกว.สิทธิ์ อยากเป็นนายกฯ จำบ่ม ทำมาหากินไม่เป็น ตะกรุมตะกราม อนุมัติเงิน ตี 1 ตี 2
ทำทุกอย่าง..ถ่อย..เถื่อน..ทั้งนอกสภา ในสภา ส่วนประชาไม่ยินยอม ใครล่ะ คนไทยไงล่ะ
หลอกทุกอย่าง ใส่ร้าย ป้ายสี เพื่อกดขี่ ใครล่ะ คนไทย.. คนไทย ยอมโง่อีกหรือ อย่าปลุกระดมเลย พี่....
อีเมลนี้ไม่มีชื่อติดมาด้วย แต่ผมทราบว่ามาจากนักเรียนฝึกหัดครูรุ่นน้องในสมัยที่ผมเรียนวิชาครูอยู่ที่วิทยาลัยครูเทพสตรี ลพบุรี หรือมหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี ในปัจจุบัน ผมอ่านแล้วก็รู้สึกท้อใจไปชั่วครู่และสงสัยว่า ถ้าผู้ได้เล่าเรียนถึงชั้นอุดมศึกษาและมีภูมิหลังเป็นครูคิดและทำเช่นนี้ เมืองไทยยังจะมีหวังเหลืออยู่อีกหรือ แต่ความท้อใจนั้นหายไปในเวลาไม่นาน ความมุ่งมั่นที่จะ “กระพือปีก” ต่อไปก็กลับคืนมา
ในงานนี้ ชาวไทยในย่านกรุงวอชิงตันได้ลงขันกันเป็นเงินจำนวนกว่า 1 หมื่นดอลลาร์แล้วฝากคุณสนธิมาเพื่อนำไปสนับสนุนเอเอสทีวีและการสู้คดีของคนไทยกลุ่มหนึ่งซึ่งถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ก่อการร้ายในเหตุการณ์เกี่ยวกับการชุมนุม 193 วันของ พธม.
ณ วันนี้ เริ่มมีการเคลื่นไหวของคนไทยในรูปของการสวมหน้ากากขาว “กาย ฟอว์กส์” ออกมาชุมนุมต่อต้านรัฐบาลและการทำงานแบบฉ้อฉลของคนรอบด้าน พร้อมทั้งการมีส่วนเกี่ยวข้องของนักโทษหนีคุก ชาวไทยในอเมริกาได้เริ่มเข้าร่วมการเคลื่อนไหวนี้โดยมีการชุมนุมใหญ่ในย่านฮอลลีวูดของนครลอสแอนเจลิสเมื่อวันอาทิตย์ที่ 2 มิถุนายนซึ่งตามรายงานมีคนไทยไปร่วมเกือบ 500 คน สมาชิก Thai D C Forum ติดตามการเคลื่นไหวนี้อย่างใกล้ชิด วันไหนและที่ใดที่เราไม่มีโอกาสไปร่วม เราขอเป็นกำลังใจและพร้อมจะให้การสนับสนุนเท่าที่พวกเราทำได้เสมอ
สภาพสังคมไทยที่นั่นไม่ต่างกับสังคมไทยในเมืองไทย มีสมาคมและชมรมไทยหลายแห่งซึ่งรวมตัวกันในรูปของสมาคมทั่วไปและในรูปของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งโดยเฉพาะ เช่น สมาคมชาวอีสานและสมาคมชาวไทยเชื้อสายจีนไหหลำ วัดศาสนาพุทธที่มีเจ้าอาวาสเป็นพระสงฆ์ไทยและอุปถัมภ์โดยคนไทยมีด้วยกัน 5 แห่งซึ่งเป็นธรรมยุติกนิกาย 3 แห่ง การที่มีวัดมากขนาดนั้นส่วนหนึ่งเพราะเมื่อพระหรือฆราวาสตกลงกันไม่ได้ก็แยกไปตั้งวัดใหม่ดังที่เกิดขึ้นในเมืองไทยไม่มีผิด
ในจำนวนกลุ่มต่างๆ นั้น มีกลุ่มหนึ่งซึ่งตั้งชื่อว่า Thai D C Forum กลุ่มนี้จดทะเบียนเป็นองค์กรเอกชนแนวไม่แสวงหากำไรด้วยจุดมุ่งหมายในด้านการเป็นเวทีสำหรับคนไทยที่จะพูดคุยและแลกเปลี่ยนความรู้กันในด้านสังคม เศรษฐกิจและการเมือง เนื่องจากกลุ่มนี้มีผู้ขับเคลื่อนเป็นสมาชิกอยู่ในกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) บางครั้งจึงมีผู้เข้าใจผิดคิดว่าเป็นกลุ่มเดียวกัน แต่นั่นไม่ใช่ ผู้ที่เข้าร่วมกิจกรรมของ Thai D C Forum อาจไม่เป็นสมาชิกของกลุ่ม พธม. และผู้เป็นสมาชิกของกลุ่ม พธม. อาจไม่เข้าร่วมกิจกรรมของ Thai D C Forum
เมื่อคราวที่คุณสนธิ ลิ้มทองกุล เดินทางไปเยี่ยมกลุ่มคนไทยในเมืองต่างๆ ในอเมริกาเมื่อปลายเดือนพฤษภาคม Thai D C Forum เป็นผู้จัดงานรับประทานอาหารเย็นร่วมกันสำหรับคนไทยในย่านกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เมื่อคืนวันที่ 24 พฤษภาคม ณ ร้านอาหารไทยในย่านชานเมือง ก่อนเปิดโอกาสให้ฟังการเล่าเรื่องราวในเมืองไทยของคุณสนธิ งานนั้นจัดในนามของ Thai D C Forum เนื่องจากผู้จัดต้องการจะสื่อให้คนไทย (และฝรั่งซึ่งสนใจในเมืองไทย) ในย่านนั้นทราบว่า งานเปิดให้ผู้สนใจเข้าร่วมได้ทุกคน Thai D C Forum ยึดปฏิบัติในแนวนี้มานาน และในวันที่ 8 มิถุนายน ซึ่งเป็นหลังวันที่ส่งบทความนี้ ก็จะจัดให้มีการรับประทานอาหารร่วมกันที่ร้านเดิมเพื่อพบปะกับคณะของวุฒิสมาชิกไทยที่เดินทางไปศึกษาดูงานด้านธรรมาภิบาลในอเมริกาอันมี ส.ว.รสนา โตสิตระกูล เป็นผู้นำ
คงเป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า แม้จะไปทำมาหากินในสหรัฐอเมริกาเป็นเวลานาน คนไทยส่วนใหญ่ยังมีความเป็นคนไทยเต็มร้อย มีความห่วงใยในบ้านเมืองและติดตามข่าวสารเกี่ยวกับเหตุการณ์ในบ้านเกิดอย่างใกล้ชิด การมาพบปะกันและร่วมฟังคุณสนธิและคนไทยที่เดินทางไปในย่านนั้นเสมอก็ด้วยเหตุนั้น ก่อนการบรรยายของคุณสนธิ คุณบรรจบ เจริญชลวานิช ได้อ่านแถลงการณ์เกี่ยวกับความห่วงใยในสถานการณ์ของบ้านเมืองดังนี้ –
ถึง เพื่อนไทย
เมื่อไม่นานมานี้ ท่านผู้พิพากษาศาลสูง “ซูนี่” ได้กล่าวถึงบทบาทของประชาชน ต่อการพัฒนาการเมืองการปกครองประเทศ ไว้อย่างน่าสนใจว่า “มันเป็นความรับผิดชอบของประชาชนทุกคนในการสร้างประเทศที่ต้องการ โดยไม่ปล่อยให้ประเทศเป็นไปตามยถากรรม”
คำกล่าวของท่านผู้พิพากษา ชี้ให้เห็นความสำคัญของการเมืองภาคประชาชน และย้ำถึงความจริงสองประการคือ...ดินแดน(อเมริกา)แห่งนี้ มิได้เกิดจากฟ้า(พระเจ้า)ประทาน ชาวอเมริกัน มิได้เติบโตบนแผ่นดินทอง ซึ่งน้ำเต็มไปด้วยปลา นาเต็มไปด้วยข้าว เช่นชาวไทย...การถากถางสร้างประเทศของชาวอเมริกันเริ่มจากการเดินเรือฝ่าน้ำ ข้ามสมุทรมายังดินแดนแห่งนี้... เริ่มตั้งแต่การประทังชีพด้วยซากสดๆ ของเพื่อน เมีย และ ผัว ในเจมส์ทาวน์ จนถึงการสละชีวิตนับหมื่นเพื่ออิสรภาพ จนถึงการสละแขนขานับล้าน ในการสู้รบระหว่างพี่น้อง จากสองขั้วความคิด... ชาวอเมริกัน มิได้ถูกหล่อหลอมจากเบ้าของการรอคอยการอุปถัมภ์ ประเภท มีวันนี้เพราะพี่ให้...แต่เกิดจากเบ้าแห่งการต่อสู้ เพื่อการดำรงอยู่ เพื่อการปลดปล่อยตนจากการเป็นทาส ทั้งทางกาย และจิตวิญญาณ...
ความจริงอีกประการคือ การพัฒนาประเทศอเมริกา มิได้เกิดจากลายลักษณ์อักษรในรัฐธรรมนูญเท่านั้น อเมริกาเปลี่ยนแปลงไปสู่ความเป็น “A more perfect union” เป็นประเทศที่ วันนี้ดีกว่าเมื่อวาน และจะดียิ่งขึ้นในวันพรุ่ง เพราะมีระบอบที่เริ่มจากคุณธรรม และเพราะชาวอเมริกัน ไม่ยอมหยุดนิ่ง นั่งเฉย ปล่อยให้การสร้างและพัฒนาบ้านเมือง เป็นไปตามยถากรรม หรืออยู่ในความควบคุมของรัฐบาลและนักการเมืองเพียงถ่ายเดียว... ตั้งแต่การจุดประกายเรียกร้องสิทธิสตรีของ Lucretia Mott ในปี 1848 ที่ Seneca Falls ถึงการเดินขบวนสู่กรุงวอชิงตัน นำโดย Martin Luther King Jr. ในปี 1963 อเมริกาเป็นประเทศที่ดีกว่าเมื่อวาน ด้วยการยอมรับสิทธิของคนผิวสี และสตรี อันเกิดจากการขับเคลื่อนของภาคประชาชนทั้งสิ้น บ้างก็ผลักดันด้วยการโหวต บ้างก็กดดันด้วยพลังมวลชน และที่แน่ๆ คือ ชาวอเมริกันไม่นิ่งเฉยยอมให้นักการเมืองเข้ารุมเร้า ชำเราประเทศ อย่างเร่งรีบ เช่นที่เห็นกันอยู่ในประเทศไทย...
ความเข้าใจหน้าที่ ความรับผิดชอบต่อประเทศ และการไม่ยอมตกเป็นทาสนักการเมือง ของชาวอเมริกัน ทำให้นักการเมืองประเภท Impotent มีอำนาจแต่ใช้ไม่เป็น และประเภท Crooked ใช้อำนาจโดยทุจริต เกินขอบเขต เพื่อตนเองและพวกพ้อง หลุดเข้ามาสร้างความเสียหายให้ประเทศได้ไม่ง่ายนัก...
ผลของการไม่เป็นอเมริกันเฉย ชาวอเมริกันตื่นรู้ ไม่ตกเป็นเหยื่อของสื่อประเภทกระบอกเสียง และนักวิชาการประเภทรับจ้างค้าประชาธิปไตย ซึ่งมักตั้งตนเป็นศูนย์กลางความรู้ ขยายความเชื่อว่าระบบเท่านั้น สามารถแก้ปัญหาได้ทั้งหมด โดยไม่คำนึงถึงว่าระบบที่ดีสร้างจากเจตนาสุจริต กอปรกับแบบอย่างการเคารพเจตนารมณ์ของระบบ และท่าทีของผู้ทรงอำนาจต่างหากที่จะนำไปสู่ระบบที่มีเสถียรภาพ และสามารถแก้ปัญหาส่วนใหญ่ของประเทศได้...
ผลของการไม่เป็นอเมริกันเฉย อเมริกาจึงเป็นประเทศที่ดีกว่าเมื่อวานเสมอมา โดยไม่ต้องใช้วิธีอนาธิปไตย จ้างมวลชนมาสาดเลือดตามวิถีโบราณ สร้างป้อมคูประตูค่าย กลางเมืองหลวง เผาบ้านทำลายเมือง บุกยึดสถานพยาบาล ไล่ล่าหมายฆ่านายกฯ สร้างความเสียหายต่อชีวิต เลือดเนื้อ และทรัพย์สินของประชาชน จนเป็นที่ก่นด่าสาปแช่งของคนทั่วไป เพียงเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจวาสนา ในการสืบสายเลือด ครองบัลลังก์...
ผลของการไม่เป็นอเมริกันเฉย อเมริกาจึงไม่มีนักโทษหนีคุก บริหารประเทศ ทำลายรากฐานสังคมและการเมืองที่พัฒนามายาวนาน เพื่อสนองตัณหาของตน ตระกูล และพรรคพวก ทำลายองคาพยพของประเทศทุกรูปแบบ ยอมรับกฎหมายเมื่อได้ประโยชน์ ปฏิเสธกฎหมาย ทำลายศาล เมื่อกระบวนการนั้นเป็นโทษ...
ผลของการไม่เป็นอเมริกันเฉย อเมริกาจึงไม่มีสภาที่เต็มไปด้วยสัตบุรุษ พร้อมออกกฎหมายเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน ไม่เต็มไปด้วยอสัตบุรุษ ที่เข้ามาเพื่อยกมือรับรองโครงการต่างๆ ซึ่งรัฐบาลจัดหามาจากความวิบัติของประชาชน...
ผลของการไม่เป็นอเมริกันเฉย อเมริกาจึงไม่มีรัฐบาลที่ผู้นำต้องร้องหาข้อยุติในศาล ว่าตนเป็นหญิงงามเมืองจากกำแพงดิน หรือเป็นหญิงคนชั่วขายชาติกันแน่...
แต่เพราะเป็นไทยเฉย และการที่สื่อยอมขายตัวลดต่ำลงเป็นเพียงกระบอกเสียง และการรับจ้างค้าประชาธิปไตยของเหล่านักวิชาการส่วนหนึ่ง ชนชั้นรากหญ้าจึงหลงเข้าใจว่า “Election for the Filthy Riches” ซึ่งปักธงให้ได้มาซึ่ง รัฐบาลของมหาเศรษฐีโสโครก โดยมหาเศรษฐีโสโครก เพื่อมหาเศรษฐีโสโครก และการสนับสนุนด้วยศัพท์สูงๆ ของนักวิชาการเหล่านั้น บิดเบือนให้หลงไปว่า ประชาธิปไตยจอมปลอม (Psudo-Democracy) ที่นำมาเสนอ และการบริหารประเทศ โดยวงศาคณาญาติ (Nepotism) ของหมู่โจรปล้นประเทศ (Kleptachy) และเหล่ามหาเศรษฐีโสโครก (Oligarchy) ซึ่งนิยามโดยรวมว่า “ทักษิณ” นั้นคือประชาธิปไตย...
แต่เพราะเป็นไทยเฉย ความอ่อนแอจึงเกิดในภาคประชาชน จนชาวไทยส่วนหนึ่งถูกสะกดให้เกลียดชังอดีต พร้อมทำลายสังคมและวัฒนธรรมของตน ด้วยบทเพลงปฏิวัติอันคร่ำครึของชนชาติตะวันตก โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบรุนแรง และทะเลเลือดที่อาจเกิดขึ้นในสังคมไทย...
แต่เพราะเป็นไทยเฉย และเคียดแค้นชิงชังอดีต คนไทยส่วนนั้น ยอมมองข้ามความโสโครกที่ลอยตรงหน้าในปัจจุบัน ตั้งใจมั่น สะสางบัญชีแค้นในอดีต แทนการป้องกันวงจรอุบาทว์ใหม่ที่กำลังคืบคลาน เข้ายึดครองบ้านเมืองของระบอบประชาธิปไตยรับจ้าง จากอำนาจเงินของมหาเศรษฐีโสโครก...
แต่เพราะเป็นไทยเฉย นักการเมืองจึงลุอำนาจทำลายระบบ ปฏิเสธการตรวจสอบ ด้วยกลโกงการเมือง แปลความ หลีกเลี่ยงกฎหมายทุกรูปแบบ ไปถึงการล้ออำนาจประธานาธิบดี มาใช้ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยไม่แยแสต่อกฎหมายบ้านเมือง...
แต่เพราะเป็นไทยเฉย ประเทศไทยจึงถูกวิจารณ์จากสื่อระดับโลกว่า รัฐบาลไทยซึ่งนำโดยน้องสาว ที่แท้คือรัฐบาลสไกป์ ซึ่งบริหารโดยมือที่มองเห็นของผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ พี่ชายนักโทษหนีคุก...
เวลานี้ น่าจะเหมาะสมแล้ว ที่เราประชาชนชาวไทยทุกหมู่ ทุกเหล่า ต้องละทิ้งความต่าง รักษาวาจา ถนอมท่าที อ่อนน้อมต่อกัน เปลี่นทัศนคติต่อเพื่อนไทยเสียใหม่ จากการมองว่า “หากคุณไม่ใช่เพื่อนเรา คุณคือศัตรูของเรา” มาเป็น “หากคุณไม่ใช่ศัตรูเรา คุณคือเพื่อนของเรา” เพื่อยังความสามัคคี ร่วมกันปฏิเสธระบอบทักษิณอย่างจริงจัง เป็นครั้งสุดท้าย...
มิฉะนั้นแล้ว เราอาจไม่มีโอกาสเลือก ว่าเราต้องการระบอบการปกครองแบบใด ระหว่าง “ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” หรือ”ประชาธิปไตยจอมปลอม อันมีมหาเศรษฐีโสโครก นักโทษหนีคุก เป็นประมุข”
การบรรยายของคุณสนธิแบ่งเป็นสองตอนคือ ตอนแรกเป็นการแจงให้เห็นว่าเนื้อหาที่นักโทษหนีคุกสไกป์เข้ามาในการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงในย่านราชประสงค์ในโอกาสครบรอบ 3 ปีของการเผาบ้านเผาเมืองเมื่อเดือนพฤษภาคม 2553 นั้นเป็นการโกหกและหลอกลวงทั้งเพ ตอนที่สองเป็นเรื่องเกี่ยวกับการมุ่งเอาชีวิตของคุณสนธิโดยฝ่ายเสียประโยชน์
จะไม่ขอพูดถึงรายละเอียดในที่นี้เนื่องจากผู้ที่ติดตามสื่อในเครือผู้จัดการย่อมรับรู้การวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการโกหกหลอกลวงของนักโทษคนนั้นแล้ว และคุณสนธิได้เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการมุ่งเอาชีวิตตนในรายการของเอเอสทีวีเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม แล้วเช่นกัน
ผู้จัดงานคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าว่าเนื้อหาที่คุณสนธิจะเล่าจะเป็นเรื่องราวหนักๆ ฉะนั้น เพื่อให้บรรยากาศเบาลงบ้างจึงขอให้ผมแต่งและขับเสภาให้ผู้มาร่วมงานฟังสักบทสองบท ผมอดฟังลูกยอไม่ไหวจึงแต่งและขับเสภาแนวเด็กเลี้ยงควายซึ่งผมเคยเป็นในอดีตให้ผู้มาร่วมงานฟังชื่อ “สิบสองปีที่ผ่านพ้นและคนไทยสองกลุ่ม” (การขับเสภานั้นอาจมีกัลยาณมิตรนำขึ้น Youtube ในโอกาสหน้าสำหรับผู้ที่มีเวลาฟังเสภาแบบลูกทุ่ง) ก่อนขับเสภา ผมอธิบายสั้นๆ ถึงที่มาของชื่อเสภาและเนื้อหาบางส่วนโดยเฉพาะเรื่องความกังวลของผมตั้งแต่เห็นคนไทยถูกมอมเมาด้วยนโยบายประชานิยมแบบเลวร้ายมาเป็นเวลากว่า 12 ปี ผมได้พยายามอธิบายให้คนไทยฟังผ่านสื่อต่างๆ รวมทั้งการเขียนหนังสือและบทความมาตั้งแต่ปี 2544 แต่ไม่ค่อยมีใครฟัง นอกจากนั้น ยังได้อธิบายเรื่องฟักแม้วซึ่งมีความหมายหลายอย่างและเรื่องทฤษฎีผีเสื้อกระพือปีกอีกด้วย (ผมเรียก The Butterfly Effect ใน The Chaos Theory หรือทฤษฎีความอลวนว่าทฤษฎีผีเสื้อกระพือปีก) ทฤษฎีนี้มีการพิสูจน์แล้วว่า ในภาวะที่เหมาะสม แรงลมจากการกระพือปีกของผีเสื้อเพียงตัวเดียวจะก่อให้เกิดพายุใหญ่ ผมเชื่อว่าพฤติกรรมของคนไทยเพียงคนเดียวแต่ไม่รู้ว่าใครอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ได้ทั้งในทางดีและทางร้าย
เสภามีเนื้อหาดังนี้ –
ในช่วงของ สิบสองปี ที่พ้นผ่าน
มีเหตุการณ์ ก่อทุกข์ จุกอกผม
นึกขึ้นมา คราใด ให้ระทม
ความขื่นขม มีราก จากกลุ่มคน
กลุ่มที่หนึ่ง ซึ่งคงรู้ กันอยู่แล้ว
พวกฟักแม้ว เศษมนุษย์ สุดฉ้อฉล
มันกลับกลอก หลอกมอมเมา เหล่าปวงชน
ด้วยสินบน สารพัด มันจัดมา
ใช้อำนาจ กวาดทรัพย์ นับแสนล้าน
แล้วบงการ ให้เปิดทาง สร้างปัญหา
กฎบ้านเมือง เรื่องศีลธรรม ไม่นำพา
การเข่นฆ่า คนดีๆ มีทั่วไป
แม้พระองค์ ผู้ทรงธรรม์ มันไม่เว้น
ทำตัวเป็น เสมือนเจ้า เฝ้าสาไถย
สร้างหุบเหว เลวทราม หยามคนไทย
ความจัญไร บ่มเพาะ เกาะพารา
กลุ่มที่สอง เหล่าผองไทย ใหญ่ที่สุด
เป็นมนุษย์ ชนิดหนึ่ง ซึ่งหนังหนา
แม้บ้านเมือง มีเรื่องใหญ่ ไม่นำพา
ยึดหลักว่า เอาตัวรอด เป็นยอดดี
ความดูดาย กลายเป็นบาป สาปประเทศ
จมกิเลส อัปยศ หมดราศี
โอกาสรอด ตลอดไป คงไม่มี
สิบสองปี หัวอกผม ได้ตรมตรอม
ที่มากัน คืนวันนี้ คิดดีแล้ว
ไล่ฟักแม้ว โคตรอุบาทว์ เชื้อชาติขอม
จะตายเป็น เข็ญใจ จะไม่ยอม
ขอสู้จอม ทรชน จนล่มจม
มาร่วมเป็น เช่นผีเสื้อ ผู้เชื่อมั่น
ว่าสักวัน ภาวะ จะเหมาะสม
ปีกบางบาง จะสร้าง กระแสลม
เป็นพายุ แห่งสังคม อุดมการณ์
เสภาสะท้อนผลการศึกษาสังคมไทยของผมในช่วงเวลา 15 ปีที่ผ่านมา ผมพยายามศึกษาให้ลึกลงไปว่าเพราะอะไรสังคมไทยจึงเป็นอย่างที่เป็นในบริบทของวิวัฒนาการด้านการพัฒนาเศรษฐกิจซึ่งผมเริ่มศึกษามาตั้งแต่ครั้งยังอยู่ในมหาวิทยาลัย ผมสรุปว่า สิ่งหนึ่งซึ่งสร้างปัญหาให้สังคมไทยคือความดูดายของคนไทยโดยทั่วไป
พวกทรราชและนักการเมืองฉ้อฉลเข้าใจในนิสัยของคนไทยในด้านนี้ดี พวกเขาจึงกร่างที่จะทำอะไรทรามๆ ตามใจชอบเพราะแน่ใจว่าจะไม่มีคนไทยกี่คนออกมาต่อต้าน พวกเขาเข้าใจถูกต้อง ในช่วงเวลา 12 ปีจึงมีเหตุการณ์อัปยศต่างๆ เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยมีคนไทยจำนวนไม่มากออกมาต่อต้าน ผมเชื่อว่าความดูดายเป็นบาป ทั้งกลุ่มคนทำทรามและกลุ่มคนดูดายมีส่วนสร้างความเสียหายร้ายแรงพอๆ กัน
ผลการศึกษาสังคมไทยของผมส่วนหนึ่งพิมพ์ออกมาในหนังสือชื่อ มองเมืองไทย: จากสิบปีของการใช้หนี้แผ่นดิน (เนื่องจากหนังสือเล่มนี้ไม่มีแจกแล้ว อีกไม่นานจะนำมาให้อ่าน หรือดาวน์โหลดกันได้ในเว็บไซต์ของมูลนิธินักอ่านบ้านนา www.bannareader.org) นอกจากนั้น อีกบางส่วนจะพิมพ์ออกมาในหนังสือชื่อ เมื่อคิดให้ดีไทยนี้ฉลาด โดยสำนักพิมพ์โพสต์บุ๊คซึ่งจะพิมพ์ภาคภาษาอังกฤษในรูปของ E-book ชื่อ A Guide to the Perfect Thai Idiot ด้วย
เสภาถูกส่งต่อไปหลายแห่ง ในกระบวนการนั้น ผมได้รับการตอบรับทางอีเมลสั้นๆ หลายครั้งรวมทั้งอีเมลที่แนบมานี้ด้วย ผมตัดคำหนึ่งออกเนื่องจากเห็นว่ามันไม่น่าพิมพ์ออกมาทางสื่อ แต่คงเนื้อหาทุกอย่างไว้ในรูปเดิม
ที่แท้ก้อคือ ลูกกะ (..ตัดออก..) ไอ้เจ๊กลิ้ม ไอ้เจ๊กกบฏ โธ่ไม่น่าเลย... เห็นกันอยู่หลัดๆ สวัสดีคนไทย คนไทย คนไทย.......
ท่านผู้เจริญ..สั้นๆ
1. เจ๊ก.ธิเสี้ยม ยุไทยให้แตกแยก
2.บัง.ธิ รับจ้างปฏิวัติ ยึดอำนาจ แล้วไง..
3.ไอ้แกว.สิทธิ์ อยากเป็นนายกฯ จำบ่ม ทำมาหากินไม่เป็น ตะกรุมตะกราม อนุมัติเงิน ตี 1 ตี 2
ทำทุกอย่าง..ถ่อย..เถื่อน..ทั้งนอกสภา ในสภา ส่วนประชาไม่ยินยอม ใครล่ะ คนไทยไงล่ะ
หลอกทุกอย่าง ใส่ร้าย ป้ายสี เพื่อกดขี่ ใครล่ะ คนไทย.. คนไทย ยอมโง่อีกหรือ อย่าปลุกระดมเลย พี่....
อีเมลนี้ไม่มีชื่อติดมาด้วย แต่ผมทราบว่ามาจากนักเรียนฝึกหัดครูรุ่นน้องในสมัยที่ผมเรียนวิชาครูอยู่ที่วิทยาลัยครูเทพสตรี ลพบุรี หรือมหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี ในปัจจุบัน ผมอ่านแล้วก็รู้สึกท้อใจไปชั่วครู่และสงสัยว่า ถ้าผู้ได้เล่าเรียนถึงชั้นอุดมศึกษาและมีภูมิหลังเป็นครูคิดและทำเช่นนี้ เมืองไทยยังจะมีหวังเหลืออยู่อีกหรือ แต่ความท้อใจนั้นหายไปในเวลาไม่นาน ความมุ่งมั่นที่จะ “กระพือปีก” ต่อไปก็กลับคืนมา
ในงานนี้ ชาวไทยในย่านกรุงวอชิงตันได้ลงขันกันเป็นเงินจำนวนกว่า 1 หมื่นดอลลาร์แล้วฝากคุณสนธิมาเพื่อนำไปสนับสนุนเอเอสทีวีและการสู้คดีของคนไทยกลุ่มหนึ่งซึ่งถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ก่อการร้ายในเหตุการณ์เกี่ยวกับการชุมนุม 193 วันของ พธม.
ณ วันนี้ เริ่มมีการเคลื่นไหวของคนไทยในรูปของการสวมหน้ากากขาว “กาย ฟอว์กส์” ออกมาชุมนุมต่อต้านรัฐบาลและการทำงานแบบฉ้อฉลของคนรอบด้าน พร้อมทั้งการมีส่วนเกี่ยวข้องของนักโทษหนีคุก ชาวไทยในอเมริกาได้เริ่มเข้าร่วมการเคลื่อนไหวนี้โดยมีการชุมนุมใหญ่ในย่านฮอลลีวูดของนครลอสแอนเจลิสเมื่อวันอาทิตย์ที่ 2 มิถุนายนซึ่งตามรายงานมีคนไทยไปร่วมเกือบ 500 คน สมาชิก Thai D C Forum ติดตามการเคลื่นไหวนี้อย่างใกล้ชิด วันไหนและที่ใดที่เราไม่มีโอกาสไปร่วม เราขอเป็นกำลังใจและพร้อมจะให้การสนับสนุนเท่าที่พวกเราทำได้เสมอ