xs
xsm
sm
md
lg

ถ้าทุกหมู่บ้าน-คอนโด มีห้องสมุดดีๆ / สุวัฒน์ ทองธนากุล

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ผ่านช่วงวันหยุดยาวในโอกาสฉลอง “วันสงกรานต์” หลายท่านได้มีโอกาสทำบุญและรดน้ำขอพรจากผู้ใหญ่ที่เคารพตามประเพณีไทย ขณะที่ผู้คนจำนวนมากได้มีโอกาสกลับภูมิลำเนาเพื่อไปกราบไหว้รับพรจากพ่อแม่และญาติมิตรอย่างมีความสุข
บรรยากาศเช่นนี้ ทางราชการจึงได้ให้ความหมายของวันที่ 13 เมษายนในอีกมิติหนึ่งว่าเป็น “วันผู้สูงอายุแห่งชาติ” และวันถัดมา 14 เมษายน เป็น “วันครอบครัว” เพื่อส่งเสริมการสร้างความอบอุ่นของครอบครัว
ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เมื่อวันแถลงข่าว กรุงเทพเมืองหนังสือโลก 2556 เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนชาวไทยเห็นความสำคัญของการอ่านมากยิ่งขึ้น งานนี้มี ณัฐอร โสภณ รองนางสาวไทย อันดับ 2 ประจำปี 2555 มาร่วมพูดคุยถึงประโยชน์ของการอ่าน และการบำเพ็ญประโยชน์ด้วยการอ่านหนังสือให้คนตาบอดฟัง โอกาสนี้ยังมีการขับร้องเพลง “อ่านกันสนั่นเมือง” โดย ยืนยง โอภากุล หรือ แอ๊ด คาราบาว ซึ่งแต่งขึ้นเพื่อใช้รณรงค์ในโครงการนี้
แต่ในช่วงเดือนเดียวกันนี้ยังมีวันสำคัญที่มีผลต่อการยกระดับคุณภาพชีวิตและการส่งเสริมการอ่านของคนไทยให้มากขึ้น คณะรัฐมนตรีชุดก่อนกำหนดให้ปี 2552-2561 เป็น “ทศวรรษแห่งการอ่าน” โดยการแต่งตั้งคณะกรรมการส่งเสริมการอ่านเพื่อสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต พร้อมกับกำหนดให้วันที่ 2 เมษายนของทุกปีเป็น “วันรักการอ่าน” และยังเป็น “วันหนังสือเด็กแห่งชาติ” อีกด้วย เพื่อกระตุ้นให้มีการผลิตและส่งเสริมการอ่านตั้งแต่วัยเด็ก
นอกจากนี้ ในระดับสากลยังกำหนดวันที่ 23 เมษายน เป็น “วันหนังสือและลิขสิทธิ์โลก” และในปีนี้เป็นพิเศษกับประเทศไทยตรงที่องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ UNESCO โดยมีคณะกรรมการพิจารณาเลือกให้กรุงเทพมหานคร เป็น “เมืองหนังสือโลก ประจำปี 2556” (Bangkok World Book Capital 2013) ตามแผนที่แสดงความมุ่งมั่นที่จะขับเคลื่อนสู่เป้าหมายการเป็นเมืองที่รักการอ่าน !
ทั้งนี้ กทม.ในนามประเทศไทย โดยความร่วมมือขององค์กรสมาคมและภาคีเครือข่ายด้านการจัดพิมพ์และการส่งเสริมการอ่าน ยืนยันด้วยแผนการสนับสนุน ส่งเสริม และจะมีกิจกรรมส่งเสริมการอ่านอย่างต่อเนื่องโดยมีแผนงบประมาณรายจ่ายและแหล่งทุนสนับสนุนเต็มที่

7 เมืองที่เสนอตัวเข้าชิงครั้งนี้ ได้แก่ 1.กรุงเทพมหานคร (ประเทศไทย) 2.ไคโร (อียิปต์) 3.อินเซิน (เกาหลีใต้) 4. เควซอน (ฟิลิปปินส์) 5. ควิโต (เอกวาดอร์) 6. เซินเจิ้น (สาธารณรัฐประชาชนจีน) 7. ชาร์จาห์ (สหรัฐอาหรับเอมิเรสต์)
พิธีมอบธงภารกิจเมืองหนังสือโลก กำหนดมีขึ้นในค่ำวันที่ 23 เมษายนนี้ ณ พลับพลาเจษฎาบดินทร์ ที่ผ่านฟ้า ริมถนนราชดำเนิน โดยตัวแทนจากกรุงเยเรวาน ประเทศอาร์เมเนีย จะส่งมอบตำแหน่งสู่กรุงเทพมหานคร เมืองหนังสือโลกของปีนี้ และปีหน้า กทม.จะส่งธงต่อให้เมืองพอร์ต ฮาร์คอร์ต ประเทศไนจีเรีย
ในการนี้ กทม.ได้จัดการประชุมนานาชาติในพิธีการมอบตำแหน่งเมืองหนังสือโลกประจำปี 2556 และมีกิจกรรมการต้อนรับภารกิจครั้งนี้ ระหว่างวันที่ 21-23 เมษายน ศกนี้ น่าจะเกิดการรับรู้ต่อกิจกรรมกระตุ้นการอ่านได้บ้าง และเรื่องดีๆ ต่อสังคมไทยเช่นนี้ก็น่าจะมีแผนต่อยอดการส่งเสริมการอ่านให้เป็นวัฒนธรรมต่อไปโดยเชิญชวนขอความร่วมมือจากภาคส่วนต่างๆ ทั้งวัด โรงเรียน วงการธุรกิจเพื่อช่วยให้ กทม. เข้าสู่ระดับการเป็นเมืองหนังสือโลกที่เป็นจริง
ดังตัวอย่างหน่วยงานภาคเอกชนที่มีจิตอาสาทำขึ้นเองรายนี้
จรัญ เกษร ผู้ใหญ่ใจดีตัวแทน LPN
LPN ได้เปิด “ห้องสมุดมีชีวิต “ส่งเสริมเยาวชนรักการอ่าน มีเป้าหมายการสร้างให้เป็น “ชุมชนน่าอยู่” ด้วยการส่งเสริมการอ่าน เพราะเป็นรากฐานสำคัญของชีวิต
LPN ลงทุนทำธุรกิจคอนโดมิเนียม ขยายโครงการโดดเด่นไปในทำเลต่างๆ ทั่วเมืองกรุง และประสบความสำเร็จก็เพราะมีวิสัยทัศน์ “การพัฒนาและการเติบโตอย่างยั่งยืน” ซึ่งย่อมต้องมีความรับผิดชอบต่อผู้เกี่ยวข้อง หรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสียด้วยหลักธรรมาภิบาล และการสร้างคุณค่าทั้งเชิงธุรกิจ และชุมชน รวมทั้งเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
จรัญ เกษร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลุมพินี พรอพเพอร์ตี้ เมเนจเมนท์ บริษัทในเครือ LPN ที่รับหน้าที่บริหารจัดการโครงการได้ยึดต้นแบบการบริหารจัดการห้องสมุดมาจากสำนักงานอุทยานการเรียนรู้ หรือ TK Park เพื่อพัฒนาห้องสมุดโดยเริ่มที่โครงการลุมพินี พาร์ค ปิ่นเกล้า เมื่อเร็วๆ นี้ และจะต่อยอดพัฒนาต่อๆ ไปในโครงการ LPN อื่นๆ
ทั้งนี้ เพื่อจัดให้มีห้องสมุดที่มีคุณภาพ เป็นสถานที่เหมาะแก่การเรียนรู้และพัฒนาทักษะการอ่านหนังสือให้แก่เจ้าของร่วมภายในโครงการ ภายในห้องสมุดจัดให้มีมุมคอมพิวเตอร์พร้อมลงโปรแกรมจาก TK Park ได้แก่ TK games E-book อีกทั้งยังจะพัฒนาห้องสมุดให้เป็นแหล่งเรียนรู้ตลอดชีวิตภายในโครงการอย่างยั่งยืน
เมื่อเร็วๆ นี้ หลังจบพิธีเปิดห้องสมุดมีน้องๆ ที่เข้าร่วมกิจกรรมต่างเพลิดเพลินด้วยกิจกรรมเสริมทักษะการเรียนรู้ทางด้านศิลปะ เช่น การวาดภาพถุงผ้าใส่หนังสือตามสไตล์ตัวเอง กิจกรรมถ่ายภาพเก๋ๆ โพสต์ท่าสวยๆ แบบอินเทรนด์สุดๆ เกมเซียมซีแสนสนุก เป็นต้น ปิดท้ายความสุขด้วยกิจกรรมละครนิทานแสงเงาสุดพิสวงเรื่องดาวน้อยสีน้ำเงิน และทำของเล่นหุ่นเงาและการ์ด Pop-up กิจกรรมแสนสนุกบวกด้วยสาระคับคั่งเช่นนี้ดึงดูดสมาชิกในโครงการให้ร่วมกิจกรรมได้อย่างมากมายเลยทีเดียว
น่ายินดีที่ LPN เชื่อว่าห้องสมุดมีชีวิตสามารถเกิดขึ้นได้ในบริบทที่หลากหลาย ถึงแม้รูปแบบการใช้บริการของแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน แต่ทุกคนก็มีเป้าหมายเดียวกัน คือการอ่านและการเรียนรู้เพื่อเพิ่มทักษะให้กับตนเอง ทั้งยังพัฒนาและส่งเสริม “ห้องสมุดมีชีวิต” ให้เกิดในทุกโครงการ เพื่อสร้างจิตสำนึกรักการอ่านหนังสือให้แก่เจ้าของร่วมทุกคน เพราะการอ่านหนังสือเป็นการพัฒนาชีวิตอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ภายในห้องสมุดมีชีวิตที่สดใส
ข้อคิด...
การที่กรุงเทพมหานคร ได้รับคัดเลือกให้เป็น “เมืองหนังสือโลก” ประจำปีนี้ นับเป็นเกียรติและเป็นเรื่องที่ดีในการมีพันธสัญญา (Commitment) ของผู้บริหาร กทม. ในการดำเนินการตามแผนที่จะสนับสนุนส่งเสริมให้เกิดวัฒนธรรมการอ่านของคนเมืองหลวงของประเทศนี้ซึ่งอาจจะเป็นแบบอย่างที่ดีในการขยายผลต่อไปในภูมิภาคต่างๆ
เพราะการอ่านเป็นเรื่องสำคัญส่วนหนึ่งของการพัฒนาคุณภาพประชากร ซึ่งผู้นำการบริหารเมืองไปจนระดับประเทศต้องมีความตระหนักและความมุ่งมั่นผลักดันอย่างจริงจังจึงจะได้ชื่อว่าเป็นผู้บริหารภาครัฐที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม หรือ CSR
การที่ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการ กทม. ที่เข้ารับตำแหน่งครั้งใหม่แถลงว่าจะส่งเสริมการอ่านหนังสือให้คนกรุงเทพฯ โดยตั้งเป้าว่าจะเพิ่มจำนวนเฉลี่ยการอ่านให้ได้ปีละ 10-20 เล่ม ภายในปี 2556 โดยจะมุ่งกระตุ้นที่เด็กและเยาวชนก่อนเพื่อหนีสถิติเดิมจากที่มีการสำรวจพบว่าคนไทยมีอัตรเฉลี่ยอ่านหนังสือปีละ 5 เล่ม ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างชาวเวียดนามอ่านกันปีละ 60 เล่ม สิงคโปร์ปีละ 45 เล่ม และ มาเลเซีย ปีละ 40 เล่ม
นับว่าเป็นเป้าหมายที่ท้าทายมาก จากที่เห็นว่าอัตราการอ่านหนังสือของคนไทย ยังน้อยมาก
แต่การสร้างวัฒนธรรมรักการอ่านก็ใช่ว่าจะเกิดผลสำเร็จเพียงเพราะการรณรงค์ด้วยคำขวัญ หรือ การจัดงานจัดกิจกรรมเท่านั้น แต่การจะเกิดผลลัพธ์อย่างยั่งยืนต้องส่งเสริมทั้งด้านกระตุ้นสร้างผู้อ่าน (Demand) ที่ใฝ่การเรียนรู้ และมีสถานที่ และสื่อเพื่อสนองการอ่าน (Supply) ที่สะดวกและมีระบบการจัดการที่ดี
ลองคิดดูถ้าหน่วยงานธุรกิจที่มีผู้คนอยู่อาศัย หรือมีคนทำงานจำนวนมากได้มีโอกาสอ่านหนังสือดีๆ เพื่อพัฒนาความคิดใฝ่ดี พัฒนาศักยภาพในการทำงานและการดำเนินชีวิตที่ดี สังคมจะดีขึ้นมากแน่นอน
ตัวอย่างในกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีหมู่บ้าน คอนโดมิเนียม โรงงาน และ อาคารสำนักงานมากมาย ถ้าทุกแห่งร่วมมือกันจัดสถานที่ให้เป็นห้องสมุด หรือ ห้องอ่านหนังสือ และสื่อการเรียนรู้
กทม.ก็น่าจะขอความร่วมมือให้เกิดสิ่งดีๆ ต่อสังคม และจัดการให้คำแนะนำการจัดระบบการจัดการและดูแลคัดสรรหนังสือที่มีคุณค่ามาให้สมาชิกแต่ละชุมชนได้อ่านกัน การเพิ่มขึ้นทั้งปริมาณหนังสือที่อ่าน และคุณภาพคนไทยโดยเฉลี่ยย่อมจะดีขึ้นแน่นอน และจะเป็นผลงานที่มีคุณค่ายิ่งของท่านผู้ว่า กทม.ยุคใหม่ครับ

suwatmgr@gmail.com
กำลังโหลดความคิดเห็น