xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

มะเร็งร้ายของยิ่งลักษณ์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-ในช่วงที่ผ่านมา หลายคนเชื่อว่า กลุ่มนปช.หัวโจกของขบวนการเผาเมือง กลายเป็นจุดอ่อนของรัฐบาลยิ่งลักษณ์

โดยเฉพาะ ไอ้ตู่-จตุพร พรหมพันธุ์ และ ไอ้เต้น-ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ หัวโจกคนเสื้อดำ

นั่นจึงทำให้การจับกุม นายศรชัย ศรีดี อายุ 32 ปี หรือจ่ายักษ์ ผู้ต้องหาคดีฆ่ากำนันแดง ส่งผลต่อการสืบสาวหาคนชุดดำ

ทั้งนี้ได้เกิดเหตุคนร้ายใช้อาวุธปืนยิง นายบุญจริง พินิจ  หรือกำนันแดง อายุ 59 ปี กำนันตำบลแก่งหางแมว   อำเภอแก่งหางแมว จังหวัดจันทบุรี เสียชีวิตบริเวณบ้านพักวันที่ 3 มิ.ย.ที่ผ่านมา โดยหลังก่อเหตุคนร้ายขับรถยนต์ไปประสบอุบัติเหตุ ทำให้นายไฉน ปะมุตะกะ อายุ 40 ปี มือปืนเสียชีวิต ส่วนผู้ต้องหาอีก 2 คน มีนายธนะวัตร ศรีลาภ อายุ 47 ปี และนายศรชัย ศรีดี อายุ 32 ปี ได้รับบาดเจ็บสาหัส

ทันทีที่รู้ว่าเป็น จ่ายักษ์ สมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา เรียกร้องให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) หรือสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เร่งขอให้ศาลสั่งอายัดตัวนายศรชัย ศรีดี หรือจ่ายักษ์ ซึ่งประสบอุบัติเหตุระหว่างนั่งอยู่ในรถทีมสังหารกำนันแดง เนื่องจากนายศรชัย มีหมายจับของศาลในคดีที่เกี่ยวกับการชุมนุมทางการเมืองของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เมื่อปี 2553  

"นายศรชัยได้ปรากฏเป็นภาพของสื่อมวลชนชัดเจนว่า ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับครอบครองอาวุธสงครามภายในสถานีรถไฟฟ้าระหว่างการชุมนุมของคนเสื้อแดง และช่วยให้นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง แกนนำ นปช. หลบหนีการจับกุมที่โรงแรมเอสซีปาร์คด้วย จึงอยากให้ตำรวจและดีเอสไอ เร่งดำเนินการอายัดโดยเร็ว" นายสมชาย ระบุพฤติกรรมของมือปืนรายนี้

ชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ บอกรายละเอียดเพิ่มเติมว่า “1 ใน 2 คนร้าย ที่ได้รับบาดเจ็บคือ นายศรชัย หรือ จ่ายักษ์ อดีตทหารพรานค่ายปักธงชัย จ.นครราชสีมา และเป็นการ์ดให้กลุ่ม นปช. ช่วงชุมนุมปี 2552-2553 และนายศรชัย ยังมีหมายจับคดีครอบครองอาวุธสงคราม และขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่โรงแรมเอสซีปาร์ค และเชื่อว่าเป็นผู้รู้เห็นการสังหารหมู่ 6 ศพ ที่วัดปทุมวนารามราชวรวิหาร อีกทั้งยังมีความใกล้ชิด นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช. เพราะนายจตุพร เคยไปประกันตัวให้นายศรชัย เมื่อปี 2552”

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2552 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และ นายจตุพร พรหมพันธุ์ 2 แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) พาบุคคลที่คาดว่าจะเป็นผู้ต้องหาคดีทำร้ายร่างกาย ส.อ.อำนวย ทองรินทร์ สังกัดกองพันทหารราบ มณฑลทหารบกที่ 11 ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ดูแลการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2552 ประกอบด้วย นางนฤมล วรุณรุ่งโรจน์, นายกิตติศักดิ์ จีนขจร, นายศรชัย ศรีดี และนายประจวบ บุญสันเทียะ เข้ามอบตัวกับ พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผบช.น. (สมัยนั้น) จากนั้นได้ให้ทนายยื่นประกันตัวออกไป

อย่างไรก็ตาม นอกจากปัญหาจากแกนนำ นปช. ที่บงการการใช้อาวุธสงครามต่อสู้แล้ว ปัญหาการโกงโครงการจำนำข้าว ก็เป็นมะเร็งร้ายที่สำคัญที่สุดของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ จนทำให้เกิดการขาดทุนครั้งมโหฬารถึง 2.6 แสนล้านบาท

ที่สำคัญสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ มูดีส์ อินเวสเตอร์ส เซอร์วิส เตรียมปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของไทย จากความผิดพลาดในโครงการรับจำนำข้าว

แม้ บุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์ จะพยายามอธิบายว่า “โครงการรับจำนำข้าวที่ดำเนินการภายใต้รัฐบาลปัจจุบัน 3 โครงการ คือโครงรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปี 54/55 และปี 55/56 และโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรังปี 55 ไม่ได้ขาดทุน 260,000 ล้านบาท ตามที่เป็นข่าว มั่นใจว่าโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลชุดนี้จะขาดทุนต่อปีไม่เกิน 60,000-80,000 ล้านบาท หรือไม่มากไปกว่าการใช้เงินในโครงการประกันรายได้ของรัฐบาลชุดก่อนอย่างแน่นอน”

แต่สถานการณ์ไปไกลมากกว่า การ“ปั้นแต่งตัวเลข”เพื่อให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ไม่ชั่วร้ายมากกว่าที่เป็นอยู่

ที่สำคัญพรรคประชาธิปัตย์ เตรียมได้ฟ้องร้องคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เรื่องการระบายข้าวของรัฐบาล

โดยในปัจจุบันมีตัวละครเดินเรื่องสำคัญคือ พ.ต.นพ.วีรวุฒิ วัจนะพุกกะ เลขานุการ รมว.พาณิชย์ จนใครๆ ในกระทรวงพาณิชย์พากันก็เกรงกลัว

ทั้งนี้เมื่อวันที่ 5 มิ.ย.ที่ ผ่านมา นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วย นายบุญยอด สุขถิ่นไทย ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ เข้ายื่นหนังสือต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตรวจสอบ และชี้มูลความผิดกรณีทุจริตการระบายข้าวในโครงการรับจำนำข้าวให้เอกชน โดยยื่นผ่าน นายศักดิ์ชัย เมทินีพิศาลกุล ผอ.สำนักไต่สวนการทุจริตภาคการเมือง 1

นพ.วรงค์ กล่าวว่า ได้เรียกร้องให้ตรวจสอบคณะอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าวทั้ง 10 คน ที่มี นายภูมิ สาระผล อดีต รมช.พาณิชย์ เป็นประธาน และคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ ที่มี น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นประธาน รวมถึงเอกชน เพราะมีการขายข้าวให้กับโรงสีโชควรลักษณ์รุ่งกิจ อ.ท่าวุ้ง จ.ลพบุรี จำนวน 800 ตัน ตันละ 5,700 บาท จำนวนเงิน 4.56 ล้านบาท และโรงสีโชควรลักษณ์ รุ่งกิจได้ขายข้าวให้กับโรงสีทรัพย์ยืนยง ในวันรุ่งขึ้น ในราคาตันละ 12,000 บาท จำนวนเงิน 10 ล้านบาท โดยโรงสีทรัพย์ยืนยงได้โอนเงินล่วงหน้าให้กับโรงสีโชควรลักษณ์รุ่งกิจในวันที่ซื้อข้าวจากคณะกรรมการระบายข้าว

“ดังนั้น จึงเชื่อได้ว่าอาจมีการทุจริตจากโครงการนี้ เพราะสามารถที่จะขายข้าวได้ราคาขายได้ราคาสูงกว่าตันละ 5,700 บาท และเชื่อว่าโรงสีที่ซื้อข้าวในราคาถูกเป็นเครือข่ายของนักการเมืองในรัฐบาล” นพ.วรงค์ ตอกย้ำการทุจริต

นอกจากนั้น พฤติกรรมของ “ปลอดประสพ สุรัสวดี”เจ้าขุนมูลนายประจำรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ผู้ถือครองเงินกู้บริหารน้ำ 3.5 แสนล้านบาท โดยใครๆก็รู้ว่า น้ำลายปลอดไหลเยิ้ม ตั้งแต่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ

แต่น้ำลายที่เพิ่มขึ้น ยังไม่เท่ากับ “พฤติกรรมปากเสีย”ของปลอด

คนจำนวนมาก โดยเฉพาะคนในพื้นที่พากันคัดค้านโครงการบริหารของปลอด

แต่รองนายกรัฐมนตีคนนี้กลับไม่สนใจ เพราะไม่ใช่เทวดา

ที่สำคัญ ในการประชุมผู้นำด้านน้ำที่เชียงใหม่ ปลอดยังเหยียดหยามว่า ชาวบ้านว่าเป็นพวก "ขยะ" ทำให้เอ็นจีโอ นักเคลื่อนไหว นักสิทธิมนุษยชน ถึงกับสะดุ้งโหยง เพราะไม่คิดว่า "ปลอด" จะมองคนเห็นต่างเป็นเพียง "ขยะ"

ปลอดยังได้พูดสิ่งที่ทำให้ทุกคนถึงกับอ้าปากค้าง ในการชุมนุมคนเสื้อแดงที่ จ. เชียงใหม่ ว่า “ใจจริงแล้วเขาอยากเปรียบคนที่จะมาเห็นต่างเป็นสัตว์เลื้อยคลานประเภทหนึ่ง ด้วยซ้ำ”

ท๊๋สำคัญ ปลอด ยังถุยน้ำลายพ่นใส่หน้าตัวเอง ถึงการก่อสร้างศูนย์ประชุมนานาชาติ ที่ภูเก็ต ที่ฝ่ายค้านเรียกร้องให้ดำเนินการว่า

"ก็ไม่สร้างให้ จะมีปัญหาไหมล่ะ วันหน้าจะสร้างให้แน่นอน เมื่อภูเก็ตเห็นความดีของพวกเรา และเลือกคนของเรา วันนั้นผมจะไปทำให้ วันนี้ไม่มีอารมณ์จะทำ"

นั่นจึงทำให้มีการนัดรวมพลขับไล่ปลอดให้พ้น รัฐบาลยิ่งลักษณ์

แต่อย่างไรก็ตาม ควรไล่ยิ่งลักษณ์ ไปพร้อมกับปลอด น่าจะเหมาะสม

หญิงชั่ว กับคนปากเสีย พอจะจับคู่ได้พอเหมาะพอดี !!



กำลังโหลดความคิดเห็น