จับตาเงินบาทอ่อนค่าต่อเนื่อง หลังแตะ 30.60 คาดเงินไหลออกจากตลาดหุ้น ขณะที่แบงก์ชาติเตรียมส่งพนักงานไปฝึกงานบริหารอัตราแลกเปลี่ยน และเงินทุนเคลื่อนย้ายที่ธนาคารกลางเกาหลีใต้ 6 เดือน เพื่อสร้างความรู้และเทคนิคดูแลค่าเงิน คาดระยะต่อไปจะส่งพนักงานไปฝึกงานกับธนาคารกลางอื่นๆ ในเอเชียแปซิฟิกด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวค่าเงินบาทวานนี้ (6 มิ.ย.) เงินบาทปิดตลาดที่ระดับ 30.58/60 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่าลงเล็กน้อยจากช่วงเช้าที่เปิดตลาดที่ระดับ 30.56/58 บาท/ดอลลาร์ นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีกล่าวว่า ค่าเงินบาทไม่ค่อยขยับมากนักทั้งๆ ที่หลายฝ่ายจับตาดัชนีตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวลงไปมาก และอาจจะมีเงินไหลออก
"เหมือนพยายามจะอ่อนค่าไปทำทะลุที่ระดับ 30.63 แต่ยังไม่ทะลุ ปัจจัยที่นักลงทุนคงจับตาดูคือการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ซึ่งตลาดคาดว่าจะยังคงอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำไว้ต่อไป เพียงแต่รอดูว่าจะมีถ้อยแถลงอะไรที่เป็นประเด็นหรือมีผลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจของยุโรปในอนาคตบ้าง" นักบริหารเงินกล่าวและคาดว่า วันนี้ (7 มิ.ย.) นี้เงินบาทจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 30.50-30.75 บาท/ดอลลาร์
ด้านแหล่งข่าวจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 56 ธปท.จะส่งพนักงานระดับเจ้าหน้าที่ปฎิบัติงานไปแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ทางด้าน Exchange Control Regulations และ Capital Flows Monitoring System ที่ธนาคารกลางเกาหลีใต้เป็นเวลา 6 เดือน และสามารถต่อเวลาเพิ่มได้ครั้งละ 6 เดือน แต่ยาวที่สุดไม่เกิน 2 ปี
ทั้งนี้ การส่งเจ้าหน้าที่ของธปท.ไปต่างประเทศครั้งนี้ เพื่อให้ได้รับความรู้ และความเข้าใจในงานธนาคารกลาง และระบบการดูแลอัตราแลกเปลี่ยนฯ และการบริหารเงินทุนเคลื่อนย้ายของธนาคารกลางในต่างประเทศเพิ่มขึ้น รวมทั้งเข้าใจสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลกได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งเป็นไปตัวบันทึกความเข้าใจทำร่วมกับธนาคารกลางเกาหลีใต้เมื่อช่วงเดือน
ก.พ.ที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ธปท. ยังมีแผนจะสร้างเครือข่ายกับองค์กรระหว่างประเทศเพิ่มขึ้นอีกด้วย เช่นการแลกเปลี่ยน พนักงานในระหว่างธนาคารกลางในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEACEN) หลังจากที่ก่อนหน้าได้ส่งพนักงานธปท.ไปทำงานในองค์กรระหว่างประเทศ เช่น กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund :IMF) และ ธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ (Bank for International Settlements :BIS) ซึ่งเป็นการจ้างงานแบบมีระยะเวลากำหนด และอาจจะนำไปสู่การแลกเปลี่ยนพนักงานในธนาคารกลางในประเทศตะวันตกด้วย
ขณะเดียวกัน ธปท.จะร่วมมือกับองค์กรในประเทศ โดยจะแลกเปลี่ยนพนักงานกับกลุ่มองค์กรกำกับตรวจสอบด้วยกันเองก่อน ซึ่งเป็นหน่วยงานภาครัฐ อันประกอบด้วย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.)และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และนอกเหนือจาก 3 องค์กรดังกล่าวแล้ว ในปีนี้ ธปท. ยังเตรียมที่จะผลักดันความร่วมมือในการขยายเครือข่ายไปยังธนาคารพาณิชย์ องค์กรภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และเอกชนอื่น ๆ อีกด้วย อาทิ ธนาคารกรุงไทยและศาลปกครองในอนาคตด้วย.
ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวค่าเงินบาทวานนี้ (6 มิ.ย.) เงินบาทปิดตลาดที่ระดับ 30.58/60 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่าลงเล็กน้อยจากช่วงเช้าที่เปิดตลาดที่ระดับ 30.56/58 บาท/ดอลลาร์ นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีกล่าวว่า ค่าเงินบาทไม่ค่อยขยับมากนักทั้งๆ ที่หลายฝ่ายจับตาดัชนีตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวลงไปมาก และอาจจะมีเงินไหลออก
"เหมือนพยายามจะอ่อนค่าไปทำทะลุที่ระดับ 30.63 แต่ยังไม่ทะลุ ปัจจัยที่นักลงทุนคงจับตาดูคือการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ซึ่งตลาดคาดว่าจะยังคงอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำไว้ต่อไป เพียงแต่รอดูว่าจะมีถ้อยแถลงอะไรที่เป็นประเด็นหรือมีผลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจของยุโรปในอนาคตบ้าง" นักบริหารเงินกล่าวและคาดว่า วันนี้ (7 มิ.ย.) นี้เงินบาทจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 30.50-30.75 บาท/ดอลลาร์
ด้านแหล่งข่าวจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 56 ธปท.จะส่งพนักงานระดับเจ้าหน้าที่ปฎิบัติงานไปแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ทางด้าน Exchange Control Regulations และ Capital Flows Monitoring System ที่ธนาคารกลางเกาหลีใต้เป็นเวลา 6 เดือน และสามารถต่อเวลาเพิ่มได้ครั้งละ 6 เดือน แต่ยาวที่สุดไม่เกิน 2 ปี
ทั้งนี้ การส่งเจ้าหน้าที่ของธปท.ไปต่างประเทศครั้งนี้ เพื่อให้ได้รับความรู้ และความเข้าใจในงานธนาคารกลาง และระบบการดูแลอัตราแลกเปลี่ยนฯ และการบริหารเงินทุนเคลื่อนย้ายของธนาคารกลางในต่างประเทศเพิ่มขึ้น รวมทั้งเข้าใจสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลกได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งเป็นไปตัวบันทึกความเข้าใจทำร่วมกับธนาคารกลางเกาหลีใต้เมื่อช่วงเดือน
ก.พ.ที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ธปท. ยังมีแผนจะสร้างเครือข่ายกับองค์กรระหว่างประเทศเพิ่มขึ้นอีกด้วย เช่นการแลกเปลี่ยน พนักงานในระหว่างธนาคารกลางในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEACEN) หลังจากที่ก่อนหน้าได้ส่งพนักงานธปท.ไปทำงานในองค์กรระหว่างประเทศ เช่น กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund :IMF) และ ธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ (Bank for International Settlements :BIS) ซึ่งเป็นการจ้างงานแบบมีระยะเวลากำหนด และอาจจะนำไปสู่การแลกเปลี่ยนพนักงานในธนาคารกลางในประเทศตะวันตกด้วย
ขณะเดียวกัน ธปท.จะร่วมมือกับองค์กรในประเทศ โดยจะแลกเปลี่ยนพนักงานกับกลุ่มองค์กรกำกับตรวจสอบด้วยกันเองก่อน ซึ่งเป็นหน่วยงานภาครัฐ อันประกอบด้วย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.)และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และนอกเหนือจาก 3 องค์กรดังกล่าวแล้ว ในปีนี้ ธปท. ยังเตรียมที่จะผลักดันความร่วมมือในการขยายเครือข่ายไปยังธนาคารพาณิชย์ องค์กรภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และเอกชนอื่น ๆ อีกด้วย อาทิ ธนาคารกรุงไทยและศาลปกครองในอนาคตด้วย.