“นิคฺคณฺเห นิคฺคหารหํ ปคฺคณฺเห ปคฺคหารหํ” แปลโดยใจความว่า ข่มคนที่ควรข่ม ยกย่องคนที่ควรยกย่อง นี่คือพุทธพจน์ที่ตรัสเกี่ยวกับพฤติกรรมที่ชาวพุทธพึงแสดงออกในทางสังคม
พุทธพจน์ดังกล่าวข้างต้น มีความหมายชัดเจนตามตัวอักษรแทบไม่ต้องอธิบายขยายความใดๆ แต่ที่น่าจะทำให้ท่านผู้อ่านเกิดข้อกังขาก็คือ ใครหรือคนประเภทใดสามารถกระทำเช่นนี้ได้
เกี่ยวกับประเด็นนี้ ถ้าดูจากพุทธประสงค์โดยอาศัยพุทธพจน์บทอื่นเทียบเคียง เช่นบทที่ว่า ความดี คนดีทำได้ง่าย แต่คนชั่วทำได้ยาก และการที่จะข่มคนชั่วและยกย่องคนดีถือได้ว่าเป็นความดีเพราะจะทำให้คนชั่วทำความชั่วได้น้อยลง ดังนั้น คนที่จะทำเช่นนี้ได้จะต้องเป็นคนดี เพราะคนดี มีจิตใจซื่อตรงเป็นธรรม แยกความผิดและความถูกออกจากกันได้โดยอาศัยเหตุและผลไม่ถูกครอบงำด้วยโลภะและโมหะ
ส่วนคนชั่วไม่สามารถทำเช่นนี้ได้ ทั้งนี้อนุมานได้โดยอาศัยหลักธรรมดังต่อไปนี้
1. คนดีมีธรรม 2 ประการประจำใจคือ หิริ ความละอายต่อการกระทำบาป และโอตตัปปะ ความเกรงกลัวต่อผลของการกระทำบาป
ส่วนคนชั่วไม่มีธรรม 2 ประการดังกล่าวนี้ จึงทำความชั่วได้ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ทั้งในที่ลับและในที่แจ้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนชั่วที่มีอำนาจ
2. คนดีย่อมมีธรรมอันทำให้คนมีจิตใจงาม 2 ประการคือ สติ ความระลึกได้ทั้งก่อนคิด ก่อนพูด และก่อนทำว่าอะไรดี อะไรไม่ดี อะไรผิด และอะไรถูก จึงช่วยป้องกันมิให้ทำสิ่งชั่วและช่วยส่งเสริมให้ทำในสิ่งดี และสัมปชัญญะคือรู้สึกตัวว่าได้ทำอะไรลงไป ผิดหรือถูก และถ้าพบว่าได้กระทำลงไปก็แก้ไขให้ถูก
ส่วนคนชั่วไม่มีธรรมสองประการนี้ จึงทำผิดคิดชั่วเพื่อให้ตนเองได้มาซึ่งสิ่งที่ตนเองต้องการ โดยไม่คำนึงว่าใครจะเดือดร้อนจากการกระทำนั้น ทั้งเมื่อรู้ภายหลังโดยมีคนอื่นบอกกล่าวก็ไม่ยอมรับผิดและคิดแก้ไขแต่ประการใด
ดังนั้น ในทางพระพุทธศาสนาจึงถือว่าการที่คนจะปิดกั้นด้วยการข่มคนชั่วมิให้กระทำความชั่ว และการที่จะยกย่องคนดีเพื่อส่งเสริมให้คนทำดีเพิ่มขึ้น จึงเป็นหน้าที่ที่คนดีพึงกระทำ
แต่วันนี้และเวลานี้ ผู้คนในสังคมไทยถึงแม้จะมีคนดีอยู่มากมาย ถ้าเปรียบเทียบกับคนชั่ว แต่คนดีส่วนใหญ่เพิกเฉยไม่ทำหน้าที่สองประการดังกล่าวแล้ว จึงเท่ากับเปิดโอกาสให้คนชั่วทำความชั่ว ทำความเลว สร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้คนในสังคมโดยรวมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามจำนวนคนชั่วที่เพิ่มขึ้น ทำให้ดูประหนึ่งว่าสังคมไทยไม่มีคนดีเหลืออยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมการเมือง ซึ่งเป็นสังคมที่มีอำนาจในการนำพาประเทศ และชี้นำประชาชนในทุกด้าน และที่สำคัญที่สุดคือ ด้านนิติบัญญัติ และด้านบริหาร อันเป็นหน้าที่โดยตรงของนักการเมืองในฐานะตัวแทนของปวงชนในระบบการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย
การที่สังคมไทยถูกครอบงำด้วยพฤติกรรมชั่วช้าเลวทรามเพิ่มขึ้นทุกวัน ก็น่าจะด้วยเหตุปัจจัยดังต่อไปนี้
1. ในปัจจุบันผู้คนในสังคมไทยถูกครอบงำด้วยวัตถุนิยม และบริโภคนิยมเพิ่ม ขณะเดียวกัน จิตนิยมที่เน้นการปลูกฝังศีลธรรม และจริยธรรมเสื่อมถอยลงเรื่อยๆ ทั้งมีแนวโน้มจะหมดไปเหลือเพียงกฎหมายที่ใช้ปกครองประเทศ ถ้าเป็นเช่นนี้ ก็เป็นการเปิดโอกาสแก่คนรวยทรัพย์ และมีอำนาจในการปกครองประเทศออกกฎหมาย แก้กฎหมายเก่าด้วยการออกฎหมายใหม่ ดังที่กำลังเกิดขึ้นในสภาไทยยุคที่อำนาจเงินหรือธนาธิปไตยครองเมืองอยู่ในขณะนี้ และที่เป็นเช่นนี้ก็ใช่ว่าสังคมไทยสิ้นคนดี แต่เป็นเพราะคนดีส่วนใหญ่ไม่ทำหน้าที่ของคนดี ตามนัยแห่งพุทธพจน์ดังกล่าวข้างต้น
อะไรคือเหตุให้คนชั่วเหลิงอำนาจ และคนดีเพิกเฉย และจะมีแนวทางแก้ปัญหานี้อย่างไร?
เริ่มด้วยประเด็นแรกคนชั่วเหลิงอำนาจ มิใช่เป็นเรื่องใหม่ แต่เป็นสิ่งเก่าที่เกิดขึ้นมาเป็นระยะๆ ทุกครั้งที่คนดีอ่อนแอ และคนชั่วเข้มแข็งด้วยอำนาจเงินตรา หรืออำนาจทางการปกครอง หรือทั้งสองอย่างรวมกัน
แต่เมื่อใดคนดีกลับมาเข้มแข็ง และรวมกันต่อสู้กับอำนาจของคนชั่ว คนชั่วก็พ่ายแพ้ทุกครั้งไป เพราะคนชั่วจะแพ้ภัยตัวเองหรือไม่ก็แพ้กาลเวลา เนื่องจากความชั่วไม่คนต่อการพิสูจน์ สักวันหนึ่งความชั่วก็ปรากฏ เนื่องจากคนชั่วจะถูกครอบงำด้วยอวิชชาหรือความไม่รู้ หรือพูดง่ายๆ ก็คือความโง่นั่นเอง
จะเห็นได้จากพุทธพจน์ที่ว่า อำนาจที่เกิดขึ้นแก่คนโง่ ย่อมฆ่าคนโง่เหมือนข้าวขุยไผ่เกิดมาเพื่อฆ่าต้นไผ่ (มีไผ่ชนิดหนึ่งออกดอกแล้วต้นจะตาย)
ส่วนประเด็นที่คนดีเพิกเฉย โดยปกติแล้วในสังคมไทยผู้คนอยู่อย่างสงบ ไม่ชอบมีเรื่องจุกจิกหยุมหยิมเรื่องชาวบ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมเมืองหรือที่เรียกว่า สังคมปฐมภูมิ บ้านเรือนอยู่ติดกัน แต่แทบไม่รู้จักกัน จึงขาดความสามัคคีและรวมตัวกันได้ยาก ต่างจากสังคมชนบทหรือที่เรียกว่าสังคมทุติยภูมิ รู้จักกันหมดแทบทุกบ้าน และถ้าเผอิญในสังคมเช่นนี้มีคนชั่วคนเลวอยู่ ก็ง่ายที่จะแสวงหาอำนาจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อำนาจทางการเมืองผ่านการเลือกตั้ง โดยการใช้อำนาจเงิน โดยอาศัยจุดอ่อนคือการชี้นำจากผู้นำชุมชนด้วยการเสนอผลประโยชน์ให้
ดังนั้น ถ้าจะแก้ไขให้คนดีลุกขึ้นมาทำหน้าที่ ก็จะต้องเริ่มด้วยการปลุกคนดี โดยเฉพาะคนเมืองที่ส่วนใหญ่จะเพิกเฉยในลักษณะการดำเนินตามสุภาษิตที่ว่า ชั่วช่างชี ดีช่างเถรคือไม่อยากยุ่งเรื่องของคนอื่น และถือว่าเป็นเรื่องไกลตัว ถ้าสามารถปลุกคนดีให้ลุกขึ้นมาทำหน้าที่ได้ก็จะทำให้โอกาสคนชั่วทำชั่วได้น้อยลง และหมดไปในที่สุด
แต่วันนี้ก็เป็นที่น่ายินดีที่มีคนกลุ่มหนึ่งได้ก่อตั้งกลุ่มไทยสปริงขึ้นมา เพื่อปลุกคนไทยให้ตื่นขึ้นมาต่อสู้กับระบบชั่วร้าย และในขณะเดียวกันก็ช่วยให้คนทำสิ่งถูกต้องและควรทำ
ส่วนว่าคนกลุ่มนี้จะมีพลังมากน้อยแค่ไหน สู้กับระบบการเมืองชั่วร้ายได้หรือไม่ มากน้อยแค่ไหนนั้น มิได้ขึ้นอยู่กับคนที่ปลุกเร้าแต่เพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับสามัญสำนึกของความเป็นคนดี และความสมัครใจในการทำหน้าที่ของคนดีด้วย
พุทธพจน์ดังกล่าวข้างต้น มีความหมายชัดเจนตามตัวอักษรแทบไม่ต้องอธิบายขยายความใดๆ แต่ที่น่าจะทำให้ท่านผู้อ่านเกิดข้อกังขาก็คือ ใครหรือคนประเภทใดสามารถกระทำเช่นนี้ได้
เกี่ยวกับประเด็นนี้ ถ้าดูจากพุทธประสงค์โดยอาศัยพุทธพจน์บทอื่นเทียบเคียง เช่นบทที่ว่า ความดี คนดีทำได้ง่าย แต่คนชั่วทำได้ยาก และการที่จะข่มคนชั่วและยกย่องคนดีถือได้ว่าเป็นความดีเพราะจะทำให้คนชั่วทำความชั่วได้น้อยลง ดังนั้น คนที่จะทำเช่นนี้ได้จะต้องเป็นคนดี เพราะคนดี มีจิตใจซื่อตรงเป็นธรรม แยกความผิดและความถูกออกจากกันได้โดยอาศัยเหตุและผลไม่ถูกครอบงำด้วยโลภะและโมหะ
ส่วนคนชั่วไม่สามารถทำเช่นนี้ได้ ทั้งนี้อนุมานได้โดยอาศัยหลักธรรมดังต่อไปนี้
1. คนดีมีธรรม 2 ประการประจำใจคือ หิริ ความละอายต่อการกระทำบาป และโอตตัปปะ ความเกรงกลัวต่อผลของการกระทำบาป
ส่วนคนชั่วไม่มีธรรม 2 ประการดังกล่าวนี้ จึงทำความชั่วได้ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ทั้งในที่ลับและในที่แจ้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนชั่วที่มีอำนาจ
2. คนดีย่อมมีธรรมอันทำให้คนมีจิตใจงาม 2 ประการคือ สติ ความระลึกได้ทั้งก่อนคิด ก่อนพูด และก่อนทำว่าอะไรดี อะไรไม่ดี อะไรผิด และอะไรถูก จึงช่วยป้องกันมิให้ทำสิ่งชั่วและช่วยส่งเสริมให้ทำในสิ่งดี และสัมปชัญญะคือรู้สึกตัวว่าได้ทำอะไรลงไป ผิดหรือถูก และถ้าพบว่าได้กระทำลงไปก็แก้ไขให้ถูก
ส่วนคนชั่วไม่มีธรรมสองประการนี้ จึงทำผิดคิดชั่วเพื่อให้ตนเองได้มาซึ่งสิ่งที่ตนเองต้องการ โดยไม่คำนึงว่าใครจะเดือดร้อนจากการกระทำนั้น ทั้งเมื่อรู้ภายหลังโดยมีคนอื่นบอกกล่าวก็ไม่ยอมรับผิดและคิดแก้ไขแต่ประการใด
ดังนั้น ในทางพระพุทธศาสนาจึงถือว่าการที่คนจะปิดกั้นด้วยการข่มคนชั่วมิให้กระทำความชั่ว และการที่จะยกย่องคนดีเพื่อส่งเสริมให้คนทำดีเพิ่มขึ้น จึงเป็นหน้าที่ที่คนดีพึงกระทำ
แต่วันนี้และเวลานี้ ผู้คนในสังคมไทยถึงแม้จะมีคนดีอยู่มากมาย ถ้าเปรียบเทียบกับคนชั่ว แต่คนดีส่วนใหญ่เพิกเฉยไม่ทำหน้าที่สองประการดังกล่าวแล้ว จึงเท่ากับเปิดโอกาสให้คนชั่วทำความชั่ว ทำความเลว สร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้คนในสังคมโดยรวมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามจำนวนคนชั่วที่เพิ่มขึ้น ทำให้ดูประหนึ่งว่าสังคมไทยไม่มีคนดีเหลืออยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมการเมือง ซึ่งเป็นสังคมที่มีอำนาจในการนำพาประเทศ และชี้นำประชาชนในทุกด้าน และที่สำคัญที่สุดคือ ด้านนิติบัญญัติ และด้านบริหาร อันเป็นหน้าที่โดยตรงของนักการเมืองในฐานะตัวแทนของปวงชนในระบบการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย
การที่สังคมไทยถูกครอบงำด้วยพฤติกรรมชั่วช้าเลวทรามเพิ่มขึ้นทุกวัน ก็น่าจะด้วยเหตุปัจจัยดังต่อไปนี้
1. ในปัจจุบันผู้คนในสังคมไทยถูกครอบงำด้วยวัตถุนิยม และบริโภคนิยมเพิ่ม ขณะเดียวกัน จิตนิยมที่เน้นการปลูกฝังศีลธรรม และจริยธรรมเสื่อมถอยลงเรื่อยๆ ทั้งมีแนวโน้มจะหมดไปเหลือเพียงกฎหมายที่ใช้ปกครองประเทศ ถ้าเป็นเช่นนี้ ก็เป็นการเปิดโอกาสแก่คนรวยทรัพย์ และมีอำนาจในการปกครองประเทศออกกฎหมาย แก้กฎหมายเก่าด้วยการออกฎหมายใหม่ ดังที่กำลังเกิดขึ้นในสภาไทยยุคที่อำนาจเงินหรือธนาธิปไตยครองเมืองอยู่ในขณะนี้ และที่เป็นเช่นนี้ก็ใช่ว่าสังคมไทยสิ้นคนดี แต่เป็นเพราะคนดีส่วนใหญ่ไม่ทำหน้าที่ของคนดี ตามนัยแห่งพุทธพจน์ดังกล่าวข้างต้น
อะไรคือเหตุให้คนชั่วเหลิงอำนาจ และคนดีเพิกเฉย และจะมีแนวทางแก้ปัญหานี้อย่างไร?
เริ่มด้วยประเด็นแรกคนชั่วเหลิงอำนาจ มิใช่เป็นเรื่องใหม่ แต่เป็นสิ่งเก่าที่เกิดขึ้นมาเป็นระยะๆ ทุกครั้งที่คนดีอ่อนแอ และคนชั่วเข้มแข็งด้วยอำนาจเงินตรา หรืออำนาจทางการปกครอง หรือทั้งสองอย่างรวมกัน
แต่เมื่อใดคนดีกลับมาเข้มแข็ง และรวมกันต่อสู้กับอำนาจของคนชั่ว คนชั่วก็พ่ายแพ้ทุกครั้งไป เพราะคนชั่วจะแพ้ภัยตัวเองหรือไม่ก็แพ้กาลเวลา เนื่องจากความชั่วไม่คนต่อการพิสูจน์ สักวันหนึ่งความชั่วก็ปรากฏ เนื่องจากคนชั่วจะถูกครอบงำด้วยอวิชชาหรือความไม่รู้ หรือพูดง่ายๆ ก็คือความโง่นั่นเอง
จะเห็นได้จากพุทธพจน์ที่ว่า อำนาจที่เกิดขึ้นแก่คนโง่ ย่อมฆ่าคนโง่เหมือนข้าวขุยไผ่เกิดมาเพื่อฆ่าต้นไผ่ (มีไผ่ชนิดหนึ่งออกดอกแล้วต้นจะตาย)
ส่วนประเด็นที่คนดีเพิกเฉย โดยปกติแล้วในสังคมไทยผู้คนอยู่อย่างสงบ ไม่ชอบมีเรื่องจุกจิกหยุมหยิมเรื่องชาวบ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมเมืองหรือที่เรียกว่า สังคมปฐมภูมิ บ้านเรือนอยู่ติดกัน แต่แทบไม่รู้จักกัน จึงขาดความสามัคคีและรวมตัวกันได้ยาก ต่างจากสังคมชนบทหรือที่เรียกว่าสังคมทุติยภูมิ รู้จักกันหมดแทบทุกบ้าน และถ้าเผอิญในสังคมเช่นนี้มีคนชั่วคนเลวอยู่ ก็ง่ายที่จะแสวงหาอำนาจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อำนาจทางการเมืองผ่านการเลือกตั้ง โดยการใช้อำนาจเงิน โดยอาศัยจุดอ่อนคือการชี้นำจากผู้นำชุมชนด้วยการเสนอผลประโยชน์ให้
ดังนั้น ถ้าจะแก้ไขให้คนดีลุกขึ้นมาทำหน้าที่ ก็จะต้องเริ่มด้วยการปลุกคนดี โดยเฉพาะคนเมืองที่ส่วนใหญ่จะเพิกเฉยในลักษณะการดำเนินตามสุภาษิตที่ว่า ชั่วช่างชี ดีช่างเถรคือไม่อยากยุ่งเรื่องของคนอื่น และถือว่าเป็นเรื่องไกลตัว ถ้าสามารถปลุกคนดีให้ลุกขึ้นมาทำหน้าที่ได้ก็จะทำให้โอกาสคนชั่วทำชั่วได้น้อยลง และหมดไปในที่สุด
แต่วันนี้ก็เป็นที่น่ายินดีที่มีคนกลุ่มหนึ่งได้ก่อตั้งกลุ่มไทยสปริงขึ้นมา เพื่อปลุกคนไทยให้ตื่นขึ้นมาต่อสู้กับระบบชั่วร้าย และในขณะเดียวกันก็ช่วยให้คนทำสิ่งถูกต้องและควรทำ
ส่วนว่าคนกลุ่มนี้จะมีพลังมากน้อยแค่ไหน สู้กับระบบการเมืองชั่วร้ายได้หรือไม่ มากน้อยแค่ไหนนั้น มิได้ขึ้นอยู่กับคนที่ปลุกเร้าแต่เพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับสามัญสำนึกของความเป็นคนดี และความสมัครใจในการทำหน้าที่ของคนดีด้วย