ส.ส.ประชาธิปัตย์แฉแผนทำลายความน่าเชื่อถือระบบตุลาการศาลทั้งระบบ เลวร้ายกว่าปฏิวัติรวบอำนาจ แนะองค์กรยุติธรรมต่างๆ ต้องจับมือกัน ชำเลืองมองรอบข้างแล้วดำเนินการก่อนถูกรุกทุกด้าน เตือนสังคมวิบัติเพราะคนดีอยู่เฉย
วันนี้ (8 พ.ค.) นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีคนเสื้อแดงนัดชุมนุมใหญ่กดดันศาลรัฐธรรมนูญให้ลาออกจากตำแหน่งว่า ชัดเจนว่าเป็นความพยายามที่จะยกระดับและขยายผลที่จะทำลายความน่าเชื่อถือของสถาบันศาล เริ่มต้นจากศาลรัฐธรรมนูญ ทั้งกรณีมติไฟเขียวของพรรคเพื่อไทย ที่ไม่ให้ ส.ส.เข้าชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญกรณีที่มีผู้ยื่นคำร้องว่าการจะแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 68 ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ ซึ่งกรณีนี้แม้ ส.ส.รวมถึง ส.ว.บางส่วนจะไม่ชี้แจงต่อศาล แต่ศาลรัฐธรรมนูญสามารถดำเนินการต่อได้เพราะศาลฯ ใช้ระบบการไต่สวนทั้งในส่วนของพยานและหลักฐานในการหาข้อมูลเพื่อวินิจฉัยชี้ขาด เพราะเขาคงจะคาดหรือเล็งเห็นผลตามแผนที่วางไว้แล้วว่า เมื่อผลวินิจฉัยของศาลฯ ออกมา เขาก็จะใช้จุดนี้ไปกดดัน ขยายผลเพื่อปลุกปั่นมวลชนเสื้อแดงของเขาต่อไปว่าศาลฯ มัดมือชก โดยบิดเบือนใส่ร้ายศาลว่ามีที่มาไม่ชอบต่างๆ นานา ทั้งที่ศาลรัฐธรรมนูญชุดนี้มีที่มาถูกต้องผ่านการโปรดเกล้าฯ ตามกรอบกฎหมายทุกอย่าง คือทำทุกอย่างเพื่อลดความน่าเชื่อถือของระบบศาล
นายนิพิฏฐ์กล่าวว่า การชุมนุมโดยอ้างว่าที่มาของศาลไม่ยึดโยงกับประชาชน ไม่เป็นประชาธิปไตย เพราะมีเป้าหมายเพื่อทำลายศาลเริ่มจากศาลรัฐธรรมนูญ ต่อไปคือศาลปกครอง และผู้พิพากษาศาล เพราะที่ผ่านมา 3 อำนาจหลังของระบบการปกครองไทย คือ บริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ ต่างตรวจสอบถ่วงดุลการใช้อำนาจระหว่างกัน แต่บังเอิญประเทศไทยนักการเมืองทุจริตคอร์รัปชันเก่ง ฝ่ายบริหารกับนิติบัญญัติซึ่งยึดโยงมีที่มาเกื้อกูลกันก็หันมาใช้อำนาจเอื้อแก่กันและกันจนมีการปฏิรูปการเมือง มีการตั้งองค์กรอิสระต่างๆ เพื่อตรวจสอบการใช้อำนาจของรัฐมากขึ้น
ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า วันนี้เห็นแล้วว่าทั้งศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง ป.ป.ช. และผู้ตรวจการแผ่นดินต่างๆ เป็นก้างขวางคอ จึงต้องจัดการกับองค์กรเหล่านี้ ซึ่งนับเป็นการใส่เกียร์ 5 ถอยหลังลงคลองของการเมืองไทย เพราะในการปฏิวัติรัฐประหารทุกครั้ง คณะผู้ก่อการจะล้มล้างแค่อำนาจฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติ ไม่เคยก้าวล่วงล้มอำนาจศาลหรือระบบตุลาการเลย เพราะเหตุผลเพื่อให้ศาลรักษาความสงบในสังคม ในชาติบ้านเมือง แต่ครั้งนี้เขารุกที่ระบบศาลเป็นหลักเพื่อรวบอำนาจศาล โดยให้ประธานสภาทำหน้าที่เป็นประธานในการคัดเลือกบุคลากรที่จะมาเป็นตุลาการ ผู้พิพากษาในศาลสำคัญต่างๆ
“วันนี้องค์กรที่เกี่ยวข้องในกระบวนการยุติธรรมควรต้องชำเลืองมองดูเหตุการณ์ความเป็นไปในสังคมนี้เพราะมันจะค่อยๆ ลุกลามไปทีละองค์กร วันนี้เขาประกาศชนกับเสาหลักคือศาล เพราะบอกสังคมนี้ว่าศาลที่มีอยู่ไม่ดีต้องสร้างระบบใหม่โดยการแต่งตั้งศาลเอง ผู้พิพากษาเอง ที่สุดมันก็รวบอำนาจเหมือนยุคฮิตเลอร์ครองเมือง เรืองอำนาจโดยมีกองกำลังของตัวเองปกครองด้วยความกลัว ข่มขู่ คุกคามต่างๆ ครั้งนี้มันรุนแรง ยิ่งใหญ่ในการรวบอำนาจศาลเพื่อก้าวไปสู่การเปลี่ยนแปลงระบบใหม่คือการปกครองเบ็ดเสร็จแบบประธานาธบดี”
นายนิพิฏฐ์กล่าวว่า ที่ตนระบุว่าศาลอาญาก็อยู่ในข่ายถูกทำลายความน่าเชื่อถือ เพราะกรณีของนายก่อแก้ว พิกุลทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย ที่ถูกศาลสั่งจำคุก หากศาลสั่งจำคุกยาวตามระยะเวลาในการพิจารณาคดี ซึ่งคาดว่คดีนี้จะใช้เวลาอย่างน้อย 5 ปี เขาก็สามารถใช้จุดนี้มาปลุกปั่นมวลชนให้เบนเป้ามาที่ศาลอาญาได้
“ยุคนี้จึงเป็นยุคแห่งการทำลายความน่าเชื่อถือองค์กรตุลาการศาลทั้งระบบ ดังนั้นเพื่อเป็นการผดุงรักษาระบบคุณธรรม หรือรักษาอำนาจนิติธรรมของผู้ใช้อำนาจนี้ ตุลาการศาลหรือผู้พิพากษาศาลในศาลต่างๆ ควรต้องจับมือ คนในศาลต้องไปแจ้งความรักษาสิทธิ ข้าราชการ ตำรวจต้องทำหน้าที่ ไม่ใช่นิ่งเฉยเมื่อผู้พิพากษาไปแจ้งความ เพราะเป็นด่านสุดท้ายที่จะรักษาความเป็นธรรมในสังคมนี้ได้ ไม่เช่นนั้นหากศาลถูกเปลี่ยนแปลงไปมันจะวุ่นวายจากการถูกแทรกแซง จึงไม่แปลกที่มีการระดมคนมากดดันศาล ที่กล้าประกาศต้องเกินแสน มีท้าทายไม่ถึงแสนยุติ เพราะได้คนในรัฐบาลให้ท้าย และรู้ว่าคนไทยส่วนใหญ่ลืมง่าย ขี้สงสาร ตกอยู่ในความหวาดกลัว และเป็นไทยเฉย ไม่ใส่ใจสังคม เหมือนคำกล่าวที่ว่าสังคมจะไม่วิบัติเพราะคนชั่ว แต่จะวิบัติเพราะคนดีอยู่เฉย ที่อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ พูดไว้นี่เป็นของจริง”