นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการแก้ปัญหาของรัฐบาลต่อราคาไข่ไก่ที่แพงขึ้นว่า รัฐบาลไม่พยายามที่จะคลี่คลายปัญหาเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชน ทั้งๆ ที่ไขไก่เป็นอาหารจำเป็น เพราะเป็นโปรตีนราคาถูกสำหรับคนจน ในสมัยที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลเคยมีการล้อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในขณะนั้น เกี่ยวกับไข่ชั่งโล แต่ราคาไข่คละหน้าฟาร์มยุครัฐบาลอภิสิทธิ์ สูงสุดอยู่ที่ 2.90 บาท โดยรัฐบาลขณะนั้นทำทุกวิถีทางเพื่อควบคุมราคาให้เป็นธรรม ทั้งกับผู้ผลิตและผู้บริโภค แต่รัฐบาลชุดนี้กลับไม่ใส่ใจที่จะแก้ปัญหา
โดยนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.พาณิชย์ ได้เรียกผู้ประกอบการมาประชุมเพื่อแก้ปัญหาไข่ไก่แพง แต่กลับได้ข้อสรุปกำหนดราคาไข่คละหน่าฟาร์มแพงขึ้นอีก 10 สตางค์ เปิดโอกาสจากราคา 3.20 บาท เป็น 3.30 บาท เมื่อวันที่ 23 พ.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งตนได้ทำนายล่วงหน้าว่า ราคาไข่คละหน้าฟาร์มจะดีดตัวขึ้นตามเพดานที่นายณัฐวุฒิกำหนด และก็เป็นจริงตามนั้น เพราะในวันรุ่งขึ้นก็มีการแจ้งการปรับราคาไข่คละหน้าฟาร์มของสหกรณ์ไก่ไข่แปดริ้ว จาก 3.20 บาท เป็น 3.30 บาท ตนจึงเห็นว่า นโยบายของนายณัฐวุฒิ เป็นการเปิดช่องให้ขึ้นราคา ซึ่งเป็นราคาไข่คละที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย ทำให้ประชาชนเดือดร้อนมากขึ้น นี่คือตัวอย่างการขาดประสบการณ์ ความรู้ในการบริหารบ้านเมือง
นายชวนนท์ กล่าวด้วยว่า การที่นายณัฐวุฒิอ้างว่าไข่แพงเพราะอากาศร้อน ทำให้ผลผลิตสู่ตลาดน้อย นั้นเป็นข้ออ้างที่ฟังไม่ขึ้น เพราะก่อนหน้านี้ประมาณสองเดือน ครม.ได้มีติวันที่ 12 มี.ค.56 อนุมัติเงิน 131 ล้านบาท เพื่อแก้ปัญหาไข่ไก่ล้นตลาด โดยมีแผนซื้อไข่ออกจากระบบ 195 ล้านฟอง ใช้เงินเฉพาะส่วนนี้ 98 ล้านบาท ใช้เวลา 6 เดือน ดังนั้นในช่วงเวลานี้ จึงเท่ากับว่าไข่ไก่ยังล้นตลาด และรัฐบาลต้องดูดซับส่วนเกินออกจากระบบตามมติครม. ที่จะครบกำหนดในเดือนกันยายน
"ไข่ขาดตลาดเพราะรัฐบาลนำเงินภาษีประชาชนไปซื้อไข่ออกจากระบบ เป็นวิธีการชงเอง กินเอง ที่จะนำไปสู่การโกงได้อย่างง่ายๆ คือ เอาเงินมาซื้อไข่ออกจากตลาด พอไข่ขึ้นราคา ก็บอกอากาศร้อน ทั้งๆ ที่ปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นความผิดพลาดทางนโยบายของรัฐบาล ไม่มีส่วนไหนที่เป็นเรื่องของกลไกตลาด แต่เป็นการประเมินสถานการณ์ผิดพลาด เข้าไปแทรกแซงราคาอย่างไม่ถูกต้อง ไม่มีการพิจารณาถึงต้นเหตุของปัญหาอย่างแท้จริง และยังมองปัญหาเพียงด้านเดียว คือมุมของเกษตรกร แต่ไม่ได้มุ่งในการช่วยเหลือประชาชนให้ซื้อไข่ไก่ในราคาที่เป็นธรรมควบคู่ไปด้วย ผมจึงคิดว่าที่ไข่ไก่แพงในขณะนี้ไม่ใช่ปัญหาของอากาศ แต่เป็นปัญหาเกี่ยวกับสมองของรัฐบาลชุดนี้ ซึ่งเป็นเครื่องสะท้อนว่า เมื่อมีรัฐบาลที่ไร้ประสิทธิภาพ ก็เกิดความเสียหายกับประเทศชาติ สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชน วันนี้มีอากาศเป็นรัฐมนตรียังดีกว่ามีณัฐวุฒิ เป็นรัฐมนตรี และอยากถามว่าเงิน 131 ล้านหายไปไหน ซื้อไข่จริงหรือไม่ หรือมีการโกงกินกัน เป็นรัฐบาลที่หากินเก่ง แต่บริหารงานไม่เป็นเลย”นายชวนนท์ กล่าว
ด้าน น.ส.อนุตตมา อมรวิวัฒน์ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวหาการทำงานของรัฐบาล เรื่องของแพงว่า ขณะนี้ต่างชาติมีความมั่นใจในการลงทุนต่างๆ ในประเทศไทย เนื่องจากระบบเศรษฐกิจไทยมีเสถียรภาพ ทุกองคาพยพกำลังเดินหน้าไปได้ด้วยดี หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็รับทราบปัญหาเรื่องนี้และกำลังเร่งดำเนินการแก้ไขอย่างจริงจัง ดูแลทุกฝ่ายที่ได้รับผลกระทบ ราคาสินค้าอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล ขอให้ใจเย็นๆ และวอนฝ่ายค้านหยุดขบวนการที่อาจจะเป็นการสร้างความเข้าใจผิดให้กับพี่น้องประชาชนเสียทีหยุดการชักไบให้เรือเสีย
ทั้งนี้ พรรคเพื่อไทยใช้นโยบาย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาส มาตั้งแต่หาเสียงเลือกตั้ง ทุกฝ่ายก็ทราบดี เน้นทำงานเพื่อประชาชนทุกกลุ่มโดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อย อีกทั้งต้องการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไม่ว่าจะเป็นนโยบายเรื่อง โอทอปพัฒนาภูมิปัญญาไทยเพื่อนำสินค้าของชาวบ้านแต่ละตำบลไปขายยังตลาดโลกครัวไทยสู่ครัวโลกเพื่อเป็นศูนย์กลางอาหารโลกช่วยเหลือเกษตรกรผู้ผลิต เพิ่มรายได้ปริญญาตรีค่าแรงเพื่อเพิ่มเม็ดเงินในกระเป๋าประชาชนในการจับจ่ายใช้สอยหรือแม้แต่การพัฒนาระบบขนส่งเพื่อลดต้นทุนค่าขนส่งและราคาสินค้าจะปรับสู่สมดุลย์ล้วนแล้วแต่เป็นการแก้ไขปัญหาและให้ประชาชนกินดีอยู่ดีทั้งสิ้น.
โดยนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.พาณิชย์ ได้เรียกผู้ประกอบการมาประชุมเพื่อแก้ปัญหาไข่ไก่แพง แต่กลับได้ข้อสรุปกำหนดราคาไข่คละหน่าฟาร์มแพงขึ้นอีก 10 สตางค์ เปิดโอกาสจากราคา 3.20 บาท เป็น 3.30 บาท เมื่อวันที่ 23 พ.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งตนได้ทำนายล่วงหน้าว่า ราคาไข่คละหน้าฟาร์มจะดีดตัวขึ้นตามเพดานที่นายณัฐวุฒิกำหนด และก็เป็นจริงตามนั้น เพราะในวันรุ่งขึ้นก็มีการแจ้งการปรับราคาไข่คละหน้าฟาร์มของสหกรณ์ไก่ไข่แปดริ้ว จาก 3.20 บาท เป็น 3.30 บาท ตนจึงเห็นว่า นโยบายของนายณัฐวุฒิ เป็นการเปิดช่องให้ขึ้นราคา ซึ่งเป็นราคาไข่คละที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย ทำให้ประชาชนเดือดร้อนมากขึ้น นี่คือตัวอย่างการขาดประสบการณ์ ความรู้ในการบริหารบ้านเมือง
นายชวนนท์ กล่าวด้วยว่า การที่นายณัฐวุฒิอ้างว่าไข่แพงเพราะอากาศร้อน ทำให้ผลผลิตสู่ตลาดน้อย นั้นเป็นข้ออ้างที่ฟังไม่ขึ้น เพราะก่อนหน้านี้ประมาณสองเดือน ครม.ได้มีติวันที่ 12 มี.ค.56 อนุมัติเงิน 131 ล้านบาท เพื่อแก้ปัญหาไข่ไก่ล้นตลาด โดยมีแผนซื้อไข่ออกจากระบบ 195 ล้านฟอง ใช้เงินเฉพาะส่วนนี้ 98 ล้านบาท ใช้เวลา 6 เดือน ดังนั้นในช่วงเวลานี้ จึงเท่ากับว่าไข่ไก่ยังล้นตลาด และรัฐบาลต้องดูดซับส่วนเกินออกจากระบบตามมติครม. ที่จะครบกำหนดในเดือนกันยายน
"ไข่ขาดตลาดเพราะรัฐบาลนำเงินภาษีประชาชนไปซื้อไข่ออกจากระบบ เป็นวิธีการชงเอง กินเอง ที่จะนำไปสู่การโกงได้อย่างง่ายๆ คือ เอาเงินมาซื้อไข่ออกจากตลาด พอไข่ขึ้นราคา ก็บอกอากาศร้อน ทั้งๆ ที่ปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นความผิดพลาดทางนโยบายของรัฐบาล ไม่มีส่วนไหนที่เป็นเรื่องของกลไกตลาด แต่เป็นการประเมินสถานการณ์ผิดพลาด เข้าไปแทรกแซงราคาอย่างไม่ถูกต้อง ไม่มีการพิจารณาถึงต้นเหตุของปัญหาอย่างแท้จริง และยังมองปัญหาเพียงด้านเดียว คือมุมของเกษตรกร แต่ไม่ได้มุ่งในการช่วยเหลือประชาชนให้ซื้อไข่ไก่ในราคาที่เป็นธรรมควบคู่ไปด้วย ผมจึงคิดว่าที่ไข่ไก่แพงในขณะนี้ไม่ใช่ปัญหาของอากาศ แต่เป็นปัญหาเกี่ยวกับสมองของรัฐบาลชุดนี้ ซึ่งเป็นเครื่องสะท้อนว่า เมื่อมีรัฐบาลที่ไร้ประสิทธิภาพ ก็เกิดความเสียหายกับประเทศชาติ สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชน วันนี้มีอากาศเป็นรัฐมนตรียังดีกว่ามีณัฐวุฒิ เป็นรัฐมนตรี และอยากถามว่าเงิน 131 ล้านหายไปไหน ซื้อไข่จริงหรือไม่ หรือมีการโกงกินกัน เป็นรัฐบาลที่หากินเก่ง แต่บริหารงานไม่เป็นเลย”นายชวนนท์ กล่าว
ด้าน น.ส.อนุตตมา อมรวิวัฒน์ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวหาการทำงานของรัฐบาล เรื่องของแพงว่า ขณะนี้ต่างชาติมีความมั่นใจในการลงทุนต่างๆ ในประเทศไทย เนื่องจากระบบเศรษฐกิจไทยมีเสถียรภาพ ทุกองคาพยพกำลังเดินหน้าไปได้ด้วยดี หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็รับทราบปัญหาเรื่องนี้และกำลังเร่งดำเนินการแก้ไขอย่างจริงจัง ดูแลทุกฝ่ายที่ได้รับผลกระทบ ราคาสินค้าอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล ขอให้ใจเย็นๆ และวอนฝ่ายค้านหยุดขบวนการที่อาจจะเป็นการสร้างความเข้าใจผิดให้กับพี่น้องประชาชนเสียทีหยุดการชักไบให้เรือเสีย
ทั้งนี้ พรรคเพื่อไทยใช้นโยบาย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาส มาตั้งแต่หาเสียงเลือกตั้ง ทุกฝ่ายก็ทราบดี เน้นทำงานเพื่อประชาชนทุกกลุ่มโดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อย อีกทั้งต้องการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไม่ว่าจะเป็นนโยบายเรื่อง โอทอปพัฒนาภูมิปัญญาไทยเพื่อนำสินค้าของชาวบ้านแต่ละตำบลไปขายยังตลาดโลกครัวไทยสู่ครัวโลกเพื่อเป็นศูนย์กลางอาหารโลกช่วยเหลือเกษตรกรผู้ผลิต เพิ่มรายได้ปริญญาตรีค่าแรงเพื่อเพิ่มเม็ดเงินในกระเป๋าประชาชนในการจับจ่ายใช้สอยหรือแม้แต่การพัฒนาระบบขนส่งเพื่อลดต้นทุนค่าขนส่งและราคาสินค้าจะปรับสู่สมดุลย์ล้วนแล้วแต่เป็นการแก้ไขปัญหาและให้ประชาชนกินดีอยู่ดีทั้งสิ้น.