xs
xsm
sm
md
lg

ฝรั่งขนเงินหนีกดหุ้นร่วง ผวามะกันยุติQE

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ผวา!สหรัฐฯยุติQE ต่างชาติเทกระจาดหุ้นไทย พอร์ตโบรกฯ อีกทั้งกองทุนทริกเกอร์ ฟันด์ผสมโรงขาย กดดัชนีร่วงเกือบ50จุด ก่อนฟื้นกลับขึ้นมาปิด-23 จุด “กวี”เชื่อเงินร้อนไหลออก เพื่อรองรับการเรียกคืน แต่ปัจจัยพื้นฐานยังแข็งแกร่งดันหุ้นไทยยังมีโอกาสถึง 1,700 จุด “สุกิจ”คาดไตรมาส3เห็นการปรับฐานอีกรอบ ด้านทองคำผันผวนไม่น้อยหน้า วันเดียวสมาคมปรับราคา9ครั้งจากเปิดลดลง200 บาทกลับมาปิดตลาดบวกขึ้น100บาท “แม่ทองสุก”ประเมินยังเป็นแนวโน้มขาลงถึงปีหน้า

นายกวี ชูกิจเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงการปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงของหุ้นไทยว่า เกิดจากเงินร้อนที่นักลงทุนหรือกองทุนต่างชาติกู้ยืมมาจากสหรัฐฯ ในอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำถึง0% เข้ามาลงทุนในภูมิภาคเอเชียที่ให้อัตราดอกเบี้ย และผลตอบแทนที่สูงกว่า มีการดึงเม็ดเงินเหล่านี้กลับ เพื่อเตรียมพร้อมหากสหรัฐฯมีการหยุดมาตรการQE จริง ซึ่งจะทำให้ผู้ถือหน่วยลงทุนขอเรียกเงินคืน ขณะเดียวกันมองว่าบางส่วนมาจากการขายของกองทุนประเภททริกเกอร์ ฟันด์ในประเทศ เพราะดัชนีหุ้นไทย และราคาหุ้นหลายหลักทรัพย์ปรับตัวขึ้นมาสูงถึงเป้าหมายที่กำหนดแล้ว จึงมีการขายทำกำไรเพื่อปิดกอง

“กองทุนต่างประเทศ ขายออกไปเพื่อเตรียมพร้อมหากมีการเรียกเงินคืนกลับ หลังจากธนาคารกลางสหรัฐฯส่งสัญญาณอาจชะลออัดฉีดเม็ดเงินผ่านมาตรการQE พวกนี้จึงต้องดึงเงินกลับออกไปก่อนป้องกันการขาดทุนหรือล้มละลาย เพราะเขามองว่ามีความเสี่ยงสูง ทำให้เกิดแรงเทขายในตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวขึ้นมามาก นักลงทุนต่างชาติเข้ามาซื้อสะสมตั้งแต่ช่วงที่เกิดวิกฤตสหรัฐฯ คาดว่าเป็นต้นทุนสะสมกว่า15% เช่นเดียวกัยทริกเกอร์ ฟันด์ เมื่อหุ้นปรับตัวขึ้นมาตามเป้าหมายก็ขายกองเพื่อทำกำไรและปิดกองทุน”

อย่างไรก็ตาม มองว่าเป็นเรื่องของสภาพคล่อง หรือทุนหมุนเวียนที่ไหลเข้า ขณะที่ตลาดหุ้นไทย ปัจจัยพื้นฐานยังดีอยู่ จึงคงเป้าหมายดัชนีไว้ที่ 1,700 จุด P/E 15เท่าในปีนี้ และปี2557 ยังเชื่อว่ามีโอกาสปรับตัวขึ้นไป 1,900 จุด โดยรวมยังน่าลงทุนกว่าตลาดหุ้นอื่นๆในภูมิภาคเพราะค่าP/E ยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า

นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ และหัวหน้าฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวให้ความเห็นในเรื่องเดียวกันว่า ปัจจัยหลักที่มีผลต่อตลาดหุ้นไทยจนปรับตัวลดลงมากมาจากสหรัฐฯ แต่อีกปัจจัยที่กดดันตลาดหุ้นไทยคือ การปรับตัวลดลงของดัชนีนิกเกอิ ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ที่ลดลงมามากจนต้องใช้มาตรการเซอร์กิตเบรกเกอร์ด้วย แต่โดยรวมยังคงเชื่อมั่นว่าในระยะ 12 เดือนข้างหน้าจากนี้จะได้เห็นหุ้นไทยในระดับ 1,750 จุดอยู่ จากปัจจัยพื้นฐานที่ดี

โดยประเมินว่า ในช่วงไตรมาส 3 ดัชนีอาจมีการปรับฐานอีกครั้ง ก่อนปรับตัวขึ้นไปต่อในไตรมาส4 แต่สิ่งสำคัญที่นักลงทุนต้องยอมรับและติดตามนั่นคือการหยุดใช้มาตรการQE ของสหรัฐฯ ที่จะเป็นข่าวซึ่งมีผลต่อจิตวิทยาลงไปทุนไปจนถึงช่วงสิ้นปีเข้ามากดดัน
ทั้งนี้ ผู้บริหารบริษัทหลักทรัพย์ทั้ง 2 ราย มีความเห็นในทาเดียวกันว่า ในช่วงที่ราคาหุ้นและดัชนีหลักทรัพย์ปรับตัวลดลงหนักเช่นนี้ ก็มีโอกาสในวิกฤตเช่นกัน ด้วยหุ้นที่น่าลงทุนหลายตัวราคาจะปรับตัวลงมาและเป็นโอกาสให้นักลงทุนเข้าซื้อ
“กลยุทธ์การลงทุนในระยะกลาง นักลงทุนสามารถทยอยซื้อสะสมได้ที่แนวรับ 1,580 จุด แนวรับถัดไป 1,550 จุด เชื่อว่าสุดท้ายแล้วดัชนีจะปรับตัวขึ้นมาได้อีก เนื่องจาก การปรับลดลงในครั้งนี้เป็นการขายของนักลงทุนต่างชาติ ในขณะที่ปัจจัยพื้นฐานไม่ได้เปลี่ยนแปลง”

***หุ้นดิ่งเกือบ50จุดก่อนปิดลบแค่23จุด

ส่วนความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทย วานนี้(23พ.ค.) ปรับตัวในแดนลบตลอดทั้งวันในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นต่างประเทศ หลังเฟดออกมาระบุอาจลดเงินอัดฉีดQEในการซื้อพันธบัตร โดยปิดที่ระดับ 1,607.46 จุด ลดลง 23.81 จุด หรือ -1.46% มูลค่าการซื้อขาย 78,134.46 ล้านบาท ซึ่งระหว่างวันดัชนีต่ำสุดที่ 1,582.76 จุด ลดลงเกือบ 50 จุด และปรับตัวสูงสุดที่ 1,629.57 จุด
นักลงทุนต่างชาติ , บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) และสถาบัน ขายสุทธิ 3,075.59 ล้านบาท ,3,150.10ล้านบาท และ 538.95 ล้านบาท

***“แม่ทองสุก” มองทองยังขาลงจนถึงปีหน้า

นายแพทย์กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ ประธานกรรมการ กลุ่มบริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ แม่ทองสุก กล่าวถึงแนวโน้มราคาทองคำ ว่า ตอนนี้เป็นลักษณะของการเคลื่อนย้ายเม็ดเงินที่รวดเร็ว ไทยเป็นอีกประเทศที่นักลงทุนต่างชาติเชื่อว่ามีความน่าสนใจเข้าลงทุน จึงมีเม็ดเงินไหลเข้ามามาก ทั้งเพื่อลงทุนหุ้นโดยตรง และมีการโยกเงินจากทองคำมาหุ้นด้วย

“มองว่าทองคำยังอยู่ในแนวโน้มปรับฐานยังมี และยังไม่ถึงที่สุด นักวิเคราะห์ต่างประเทศไม่สนใจราคาต้นทุนหน้าเหมือง ไม่สนใจจีนที่ยังซื้อต่อเนื่องจนตอนนี้ของไม่มีขาย โดยสถาบันการเงินชั้นนำอย่างโกลแมนแซค และเครดิตสวิส ปรับลดเป้าหมายราคาทองคำ ทำให้ประเมินว่าราคาทองคำในตอนนี้ยังปรับลงได้อีก และคาดวาจะต่อเนื่องไปถึงปีหน้า

โดยมองว่า หากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่งสัญญาณฟื้นตัว และมีการเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเมื่อใด จะยิ่งกดดันให้ราคาทองคำปรับตัวลดลงอีก และมีความเป็นไปได้ที่กองทุน SPDR อาจเทขายทองคำจนหลุด 1,000 ตัน จากที่ขายต่อเนื่องมา 4 เดือนกว่า ขายออกมาแล้ว 300 กว่าตัน

นอกจากนี้ ผู้บริหารจากโบรกเกอร์ทองคำหลายแห่ง เชื่อในทางเดียวกันว่าโอกาสที่ราคาทองคำจะกลับมาถึง 27,000 บาทต่อน้ำหนักทองคำ 1 บาทภายในปีนี้ เป็นเรื่องที่ยากลำบาก

ราคาทองคำวานนี้ (23พ.ค.)สมาคมค้าทองคำปรับราคาซื้อขายถึง9 ครั้งจากเปิดตลาดลดลง 200 บาทต่อน้ำหนักทองคำ1บาท กลับขึ้นปิดตลาดที่ ทองคำแท่ง ขาย19,700บาท รับซื้อ 19,600 บาท รูปพรรณขาย 19,313 บาท รับซื้อ 20,101 บาท เพิ่มขึ้น 100 บาท
กำลังโหลดความคิดเห็น