**ดูจากอาการของ“ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง”รองนายกรัฐมนตรี โต้โผใหญ่เจ้าของร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง คนล่าสุด อยู่ในภาวะมั่นอกมั่นใจในตัวเองเกินร้อยกับปฏิบัติการเข็นร่างกฎหมายฉบับนี้ให้ “สุดซอย”เพื่อเนรมิตพรมแดงให้“นายใหญ่”พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ระเหเร่ร่อนเป็นสัมภเวสีอยู่ต่างแดนได้กลับมาเหยียบผืนแผ่นดินไทยอีกครั้งหลังจากต้องระเห็จไปนานหลายปี
ยิ่งในจังหวะล่าสุดที่ ส.ส.ในพรรคเพื่อไทยจำนวน 149 ชีวิต กระโดดเข้ามาหนุนอีกแรง ด้วยการร่วมลงชื่อเสนอกฎหมายเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎร “กุมารทองคะนองศึก” ที่กำลังฮึกกำลังเหิมเป็นต้นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งได้ใจหน้าบาน คุยโวไปเจ็ดน่านน้ำ
**รีบเร่งปั้นฝันเบิกประตูให้นายใหญ่ ไปให้ถึงสุดซอย เพื่อผลงานชิ้นโบว์แดง !!
ตามจังหวะสมาชิกในพรรคเออออเอาด้วยกับ สารวัตรเหลิมเที่ยวนี้ ทาบจากจังหวะเวลา และยุทธศาสตร์ที่เปลี่ยนจากรับ เป็นรุก ของพรรคเพื่อไทยในระยะหลัง แกะรอยภารกิจดัน พ.ร.บ.ปรองดอง จึงน่าจะได้ไฟเขียว จากนายใหญ่ให้ดันให้สุด
สุดแบบไม่ต้องสนใจใครอีกแล้ว และถือเป็นการเปลี่ยนโหมดจาก"รับ"มาเป็น“ไล่ทุบ”แบบต่อเนื่อง
ไล่ตั้งแต่การที่ 312 ส.ส. และ ส.ว. ออกอาการฮึดฮัด ดื้อแพ่ง ไม่ส่งคำชี้แจงให้ศาลรัฐธรรมนูญ ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญมีมติรับคำร้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญในมาตรา 68 และ มาตรา 237
กรณีกลุ่มคนเสื้อแดงในนามกลุ่มวิทยุประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (กวป.) ที่แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ส่งมาเป็น “เบี้ย” ตัวใหม่ในกระดานเพื่อรบกับฝ่ายต้านอย่างตุลาการศาลรัฐธรรมนูญให้ลาออก
เนื่องจากบรรดาเบี้ยในกระดานตัวเก่าๆ ถูกบล็อกโดยอัตโนมัติ เพราะมีชนักปักหลังในคดีเป็นกอง ขืนออกมามีสิทธิ์ถูกเล่นงานถอนประกันไปนอนเล่นในซังเตกันอีกหน
รวมถึงกรณี “ศึกเศรษฐกิจ”ระหว่าง “โต้งไวท์ไลน์”กิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กับ "ประสาร ไตรรัตน์วรกุล" ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่มีองคาพยพฟากรัฐบาลออกมากดดันแบงก์ชาติกันต่อเนื่อง ให้ไขก๊อก เพื่อขจัดเสี้ยนหนามสำคัญในการคอนโทรลระบบเศรษฐกิจของประเทศ
เรื่อยมาจนถึงคิว “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”นายกรัฐมนตรี ที่ตะลอนไปโชว์สปีชเรื่องประชาธิปไตยแบบน้ำไหลไฟดับ ที่การประชุมประชาคมประชาธิปไตย ที่เมืองอูลัน บาตอร์ ประเทศมองโกเลีย
ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ ตีกรรเชียงหนีปัญหามาตลอด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร ก็โยนให้คนอื่นรับหน้าแทน ตอบโต้แทนทุกเรื่อง แต่กลายเป็นมาสลัดคราบ “นางลอย” ลงมาเล่นบทบู๊อย่างเต็มตัว จนโดนชาวบ้านชาวช่องด่ากันเละเทะ โทษฐานประจานชาติตัวเอง
**มิหนำซ้ำ ยังพ่นน้ำลายโอบอุ้มพี่ชายในไส้ แฝงไปในปาฐกพิเศษแบบน่าเกลียด !!
กระทั่งมาถึง ร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง ฉบับ “เหลิม บางบอน” ที่หนนี้ ยิ่งลักษณ์ยอมวัดใจด้วยการลงนามเซ็นรับรองเพื่อเสนอเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของสภาในฐานะผู้นำคณะรัฐมนตรี (ครม.) เนื่องจากในเนื้อหากฎหมายฉบับดังกล่าว มีเรื่องการเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมทางการเมือง และการลบล้างคดีที่คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำความผิดที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ (คตส.) เคยสืบสวนสอบสวนเอาไว้ ที่ “เหลิม บางบอน” หัวฟัดหัวเหวี่ยงกราดใส่ หาว่าสื่อโจมตีแบบมีอคติว่า ตัวเองต้องการทำเพื่อคืนเงินให้ทักษิณ
ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริง ไม่ต้องคนอ่านกฎหมายรู้ ดูกฎหมายเป็น หรือ “ด็อกเตอร์ ออฟ ลอว์” ที่ สารวัตรเหลิมชอบเยินยอตัวเองบ่อยๆ ก็เห็นไส้เห็นพุงว่า การลบล้างความผิดตั้งแต่ต้นปี 2549 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน อย่างไรเสียก็มีคดีของ คตส.รวมอยู่ด้วย
เพราะ คตส.เกิดขึ้นมาหลังเหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 แล้วจะไม่เกี่ยวข้องกันได้อย่างไร !!
และแม้ สารวัตรเหลิม จะอ้างว่าไม่ได้กำหนดชื่อใครเป็นจำเพาะเจาะจง แต่สังคมก็เห็นกันอ้าซ่าว่า วัตถุประสงค์หลักคือ “ใคร”ที่เป็นที่มาของกฎหมายฉบับนี้ เพียงแต่นำกลุ่มการเมืองต่างๆ มาแนบเป็นหลักฐานอ้างอิงว่า ได้กันทั้งหมด !!
เมื่อขมวดปฏิกิริยาทั้งหมด รวมกับช็อตที่ “ยิ่งลักษณ์”จะเซ็นลงนามเสี่ยงเข้าสภา ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ต้องพับโครงการ พ.ร.บ.ปรองดอง ฉบับที่มีโต้โผใหญ่เป็น “เสี่ยไก่”วัฒนา เมืองสุข ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กับ “บิ๊กบัง”พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคมาตุภูมิ ที่ถูกตั้งข้อสังเกตว่า มีเรื่องการเงินมาเกี่ยวข้อง และนายกฯ อาจต้องรับผิดชอบในฐานะคนอนุมัติ จนต้องถอยกรูดมาแล้ว เพื่อป้องกันความเสี่ยง
** จึงตอกย้ำได้ชัด พ.ร.บ.ปรองดองฉบับเหลิม บางบอน น่าจะถูกดันกันแบบสุดลิ่ม ไม่ยอมถอยเป็นแน่ !!
จับจังหวะ สารวัตรเหลิม ที่ดูคึกคะนองแผลงฤทธิ์แผลงเดชไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมในการดันกฎหมายฟอกผิดฉบับนี้เข้าสภาฯ แบบเต็มสูบ ก็เพราะเชื่อมั่นใน “ตรรกะ”ที่คิดเอง เออเอง
ไม่ว่าจะเป็นการประเมินสถานการณ์ของฝ่ายต้านที่ตัวเองเชื่อมั่นว่า “เอาอยู่”หากจะมีมวลชนออกมาคัดค้าน หรือปิดล้อมรัฐสภา เพื่อไม่ให้มีการพิจารณากฎหมายฉบับดังกล่าว ซ้ำรอยเหมือนกับครั้งที่มีการต่อต้านการพิจารณาร่าง “พ.ร.บ.ปรองดอง”ฉบับ “เสี่ยไก่ –บิ๊กบัง”
หลังเคยโชว์ผลงานสกัดม็อบองค์การพิทักษ์สยาม (อพส.) ของ “เสธ.อ้าย”พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ มาแล้ว ด้วยการประกาศใช้กฎหมายพิเศษควบคุมมวลชน และงัดไม้แข็ง บล็อกสกัดการทะลักเข้าสู่เมืองกรุงของคลื่นมหาชน
ขณะเดียวกันก็เชื่อมั่นว่า ขณะนี้พละกำลังของบรรดา “แนวร่วมฝ่ายต้าน”อ่อนแอเกินกว่าจะออกมาต้านทาน รุกคืบ จนรัฐบาลสั่นคลอนได้
แถมยังประเมินเข้าข้างตัวเองอีกว่าฝ่ายต้าน อาจเห็นดีเห็นงามกับการออกกฎหมายฉบับดังกล่าว เนื่องจากหลายๆ คนก็มีคดีติดตัวเป็นหางว่าว อยู่ในชั้นศาล แต่จะออกมาหนุนโพล่งเลยกับแนวคิดฝั่งตรงข้าม ก็ดูจะเป็นการเสียจุดยืนจนเกินไป
รวมถึงปฏิกิริยาที่ยังไม่มีใครออกมาคัดค้านหรือต่อต้าน พ.ร.บ.ปรองดอง ของตัวเองแบบเป็นกิจลักษณะ จึงคิดว่าหลายฝ่ายเอาด้วย ทั้งๆ ที่หลายฝ่ายเองยังอยู่ในช่วงจับตาสถานการณ์ และยังไม่ใช่ไทม์มิ่งที่จะต้องขยับเขยื้อนในเวลานี้ เพราะขั้นตอนยังแทบไม่ได้เขยิบไปข้างหน้ามากมาย!!
ด้วยเหตุนี้เลยฟันโช๊ะแบบคนหลงตัวเองไปก่อนว่า มีลุ้นดันได้ถึงสุดซอย
งานนี้เลยต้องจับตาดูกันยาวๆ ตั้งแต่“ต้นซอย”ว่า เป้าหมายของ “นายใหญ่”และ“ขี้ข้าเหลิม”จะทะลุไปถึง“ท้ายซอย”ได้หรือไม่ เพราะต้องไม่ลืมว่า แม้ปฏิกิริยาจากแนวต้านจะยังดูไม่แจ่มชัด ณ ตอนนี้
**แต่เงื่อนไขที่จุดติดได้ง่ายที่สุดก็คือ ความพยายามฟอกดำเป็นขาวให้กับ ทักษิณที่ยังคงเป็นเรื่องอ่อนไหว พร้อมปะทุได้ทุกเมื่อ !!
ยิ่งในจังหวะล่าสุดที่ ส.ส.ในพรรคเพื่อไทยจำนวน 149 ชีวิต กระโดดเข้ามาหนุนอีกแรง ด้วยการร่วมลงชื่อเสนอกฎหมายเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎร “กุมารทองคะนองศึก” ที่กำลังฮึกกำลังเหิมเป็นต้นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งได้ใจหน้าบาน คุยโวไปเจ็ดน่านน้ำ
**รีบเร่งปั้นฝันเบิกประตูให้นายใหญ่ ไปให้ถึงสุดซอย เพื่อผลงานชิ้นโบว์แดง !!
ตามจังหวะสมาชิกในพรรคเออออเอาด้วยกับ สารวัตรเหลิมเที่ยวนี้ ทาบจากจังหวะเวลา และยุทธศาสตร์ที่เปลี่ยนจากรับ เป็นรุก ของพรรคเพื่อไทยในระยะหลัง แกะรอยภารกิจดัน พ.ร.บ.ปรองดอง จึงน่าจะได้ไฟเขียว จากนายใหญ่ให้ดันให้สุด
สุดแบบไม่ต้องสนใจใครอีกแล้ว และถือเป็นการเปลี่ยนโหมดจาก"รับ"มาเป็น“ไล่ทุบ”แบบต่อเนื่อง
ไล่ตั้งแต่การที่ 312 ส.ส. และ ส.ว. ออกอาการฮึดฮัด ดื้อแพ่ง ไม่ส่งคำชี้แจงให้ศาลรัฐธรรมนูญ ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญมีมติรับคำร้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญในมาตรา 68 และ มาตรา 237
กรณีกลุ่มคนเสื้อแดงในนามกลุ่มวิทยุประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (กวป.) ที่แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ส่งมาเป็น “เบี้ย” ตัวใหม่ในกระดานเพื่อรบกับฝ่ายต้านอย่างตุลาการศาลรัฐธรรมนูญให้ลาออก
เนื่องจากบรรดาเบี้ยในกระดานตัวเก่าๆ ถูกบล็อกโดยอัตโนมัติ เพราะมีชนักปักหลังในคดีเป็นกอง ขืนออกมามีสิทธิ์ถูกเล่นงานถอนประกันไปนอนเล่นในซังเตกันอีกหน
รวมถึงกรณี “ศึกเศรษฐกิจ”ระหว่าง “โต้งไวท์ไลน์”กิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กับ "ประสาร ไตรรัตน์วรกุล" ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่มีองคาพยพฟากรัฐบาลออกมากดดันแบงก์ชาติกันต่อเนื่อง ให้ไขก๊อก เพื่อขจัดเสี้ยนหนามสำคัญในการคอนโทรลระบบเศรษฐกิจของประเทศ
เรื่อยมาจนถึงคิว “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”นายกรัฐมนตรี ที่ตะลอนไปโชว์สปีชเรื่องประชาธิปไตยแบบน้ำไหลไฟดับ ที่การประชุมประชาคมประชาธิปไตย ที่เมืองอูลัน บาตอร์ ประเทศมองโกเลีย
ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ ตีกรรเชียงหนีปัญหามาตลอด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร ก็โยนให้คนอื่นรับหน้าแทน ตอบโต้แทนทุกเรื่อง แต่กลายเป็นมาสลัดคราบ “นางลอย” ลงมาเล่นบทบู๊อย่างเต็มตัว จนโดนชาวบ้านชาวช่องด่ากันเละเทะ โทษฐานประจานชาติตัวเอง
**มิหนำซ้ำ ยังพ่นน้ำลายโอบอุ้มพี่ชายในไส้ แฝงไปในปาฐกพิเศษแบบน่าเกลียด !!
กระทั่งมาถึง ร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง ฉบับ “เหลิม บางบอน” ที่หนนี้ ยิ่งลักษณ์ยอมวัดใจด้วยการลงนามเซ็นรับรองเพื่อเสนอเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของสภาในฐานะผู้นำคณะรัฐมนตรี (ครม.) เนื่องจากในเนื้อหากฎหมายฉบับดังกล่าว มีเรื่องการเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมทางการเมือง และการลบล้างคดีที่คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำความผิดที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ (คตส.) เคยสืบสวนสอบสวนเอาไว้ ที่ “เหลิม บางบอน” หัวฟัดหัวเหวี่ยงกราดใส่ หาว่าสื่อโจมตีแบบมีอคติว่า ตัวเองต้องการทำเพื่อคืนเงินให้ทักษิณ
ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริง ไม่ต้องคนอ่านกฎหมายรู้ ดูกฎหมายเป็น หรือ “ด็อกเตอร์ ออฟ ลอว์” ที่ สารวัตรเหลิมชอบเยินยอตัวเองบ่อยๆ ก็เห็นไส้เห็นพุงว่า การลบล้างความผิดตั้งแต่ต้นปี 2549 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน อย่างไรเสียก็มีคดีของ คตส.รวมอยู่ด้วย
เพราะ คตส.เกิดขึ้นมาหลังเหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 แล้วจะไม่เกี่ยวข้องกันได้อย่างไร !!
และแม้ สารวัตรเหลิม จะอ้างว่าไม่ได้กำหนดชื่อใครเป็นจำเพาะเจาะจง แต่สังคมก็เห็นกันอ้าซ่าว่า วัตถุประสงค์หลักคือ “ใคร”ที่เป็นที่มาของกฎหมายฉบับนี้ เพียงแต่นำกลุ่มการเมืองต่างๆ มาแนบเป็นหลักฐานอ้างอิงว่า ได้กันทั้งหมด !!
เมื่อขมวดปฏิกิริยาทั้งหมด รวมกับช็อตที่ “ยิ่งลักษณ์”จะเซ็นลงนามเสี่ยงเข้าสภา ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ต้องพับโครงการ พ.ร.บ.ปรองดอง ฉบับที่มีโต้โผใหญ่เป็น “เสี่ยไก่”วัฒนา เมืองสุข ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กับ “บิ๊กบัง”พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคมาตุภูมิ ที่ถูกตั้งข้อสังเกตว่า มีเรื่องการเงินมาเกี่ยวข้อง และนายกฯ อาจต้องรับผิดชอบในฐานะคนอนุมัติ จนต้องถอยกรูดมาแล้ว เพื่อป้องกันความเสี่ยง
** จึงตอกย้ำได้ชัด พ.ร.บ.ปรองดองฉบับเหลิม บางบอน น่าจะถูกดันกันแบบสุดลิ่ม ไม่ยอมถอยเป็นแน่ !!
จับจังหวะ สารวัตรเหลิม ที่ดูคึกคะนองแผลงฤทธิ์แผลงเดชไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมในการดันกฎหมายฟอกผิดฉบับนี้เข้าสภาฯ แบบเต็มสูบ ก็เพราะเชื่อมั่นใน “ตรรกะ”ที่คิดเอง เออเอง
ไม่ว่าจะเป็นการประเมินสถานการณ์ของฝ่ายต้านที่ตัวเองเชื่อมั่นว่า “เอาอยู่”หากจะมีมวลชนออกมาคัดค้าน หรือปิดล้อมรัฐสภา เพื่อไม่ให้มีการพิจารณากฎหมายฉบับดังกล่าว ซ้ำรอยเหมือนกับครั้งที่มีการต่อต้านการพิจารณาร่าง “พ.ร.บ.ปรองดอง”ฉบับ “เสี่ยไก่ –บิ๊กบัง”
หลังเคยโชว์ผลงานสกัดม็อบองค์การพิทักษ์สยาม (อพส.) ของ “เสธ.อ้าย”พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ มาแล้ว ด้วยการประกาศใช้กฎหมายพิเศษควบคุมมวลชน และงัดไม้แข็ง บล็อกสกัดการทะลักเข้าสู่เมืองกรุงของคลื่นมหาชน
ขณะเดียวกันก็เชื่อมั่นว่า ขณะนี้พละกำลังของบรรดา “แนวร่วมฝ่ายต้าน”อ่อนแอเกินกว่าจะออกมาต้านทาน รุกคืบ จนรัฐบาลสั่นคลอนได้
แถมยังประเมินเข้าข้างตัวเองอีกว่าฝ่ายต้าน อาจเห็นดีเห็นงามกับการออกกฎหมายฉบับดังกล่าว เนื่องจากหลายๆ คนก็มีคดีติดตัวเป็นหางว่าว อยู่ในชั้นศาล แต่จะออกมาหนุนโพล่งเลยกับแนวคิดฝั่งตรงข้าม ก็ดูจะเป็นการเสียจุดยืนจนเกินไป
รวมถึงปฏิกิริยาที่ยังไม่มีใครออกมาคัดค้านหรือต่อต้าน พ.ร.บ.ปรองดอง ของตัวเองแบบเป็นกิจลักษณะ จึงคิดว่าหลายฝ่ายเอาด้วย ทั้งๆ ที่หลายฝ่ายเองยังอยู่ในช่วงจับตาสถานการณ์ และยังไม่ใช่ไทม์มิ่งที่จะต้องขยับเขยื้อนในเวลานี้ เพราะขั้นตอนยังแทบไม่ได้เขยิบไปข้างหน้ามากมาย!!
ด้วยเหตุนี้เลยฟันโช๊ะแบบคนหลงตัวเองไปก่อนว่า มีลุ้นดันได้ถึงสุดซอย
งานนี้เลยต้องจับตาดูกันยาวๆ ตั้งแต่“ต้นซอย”ว่า เป้าหมายของ “นายใหญ่”และ“ขี้ข้าเหลิม”จะทะลุไปถึง“ท้ายซอย”ได้หรือไม่ เพราะต้องไม่ลืมว่า แม้ปฏิกิริยาจากแนวต้านจะยังดูไม่แจ่มชัด ณ ตอนนี้
**แต่เงื่อนไขที่จุดติดได้ง่ายที่สุดก็คือ ความพยายามฟอกดำเป็นขาวให้กับ ทักษิณที่ยังคงเป็นเรื่องอ่อนไหว พร้อมปะทุได้ทุกเมื่อ !!