ASTV ผู้จัดการรายวัน - ตลาดหลักทรัพย์ฯ แถลงสรุปภาวะการซื้อขาย 4เดือนแรกปี 56 นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทย 1.5 หมื่นล้านบาทเหตุกลัวลความผันผวนของค่าเงินหลังมาตรการดูแลจากภาครัฐยังไม่มีความชัดเจน ส่วนค่า P/Eแตะ 14.81 เท่าเหตุราคาหุ้นขนาดเล็กหลายตัวยังพุ่งตลท.ยืนยันเทียบกับหลายประเทศในเอเชียแล้วยังไม่สูง
นาย ภากร ปีตธวัชชัย รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กรและการเงิน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ในเดือนเม.ย.56 ที่ผ่านมา ยังคงมีเงินทุนจากต่างประเทศไหลเข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่องแต่ในส่วนเงินทุนที่ไหลเข้าตลาดพันธบัตรนั้นกลับลดน้อยลงเนื่องจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ขายพันธบัตรออกไป 3.3หมื่นล้านบาท อีกทั้งนักลงทุนมีความกังวลต่อความไม่แน่นอนของนโยบายการควบคุมเงินทุนไหลเข้าที่ยังไม่ประกาศมาตรการออกมาอย่างชัดเจนทำให้เงินไหลเข้าในตลาดพันธบัตรลดลง
อย่างไรก็ตาม พบว่าในส่วนของพันธบัตรระยะยาวของรัฐบาลยังมีอยู่ค่อนข้างสูงประมาณ 4.8หมื่นล้านบาท"ภาพรวม ตลาดทุนไทยยังได้รับปัจจัยสนับสนุนการลงทุนจากบริษัทจดทะเบียนที่เติบโตดีอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ สิ้นเดือนเมษายนSET index ปิดที่ 1,597.86 จุด เพิ่มขึ้น 14.79% จากสิ้นปี 55และเพิ่มขึ้น 2.36% จากเดือนมี.ค. ขณะที่ Market capitalization อยู่ที่13,649,632 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.37% เทียบกับสิ้นปีก่อน และ mai อยู่ที่189,878 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 42.75%"สำหรับมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันรวมของ SET และ mai ในเดือนเม.ย.อยู่ที่ 53,853 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 93.06% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนโดยผู้ลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 19,830 ล้านบาท
ด้าน Forward P/E ratioของไทยปรับสูงขึ้นตามทิศทางดัชนีตลาดหลักทรัพย์ โดยอยู่ที่ 14.81 เท่าเพิ่มขึ้นจาก 14.40 เท่าในเดือนก่อนหน้า และ mai อยู่ที่ 19.65 เท่าเพิ่มขึ้นจาก 18.65 เท่าจากเดือนมีนาคม ส่วนอัตราเงินปันผลตอบแทนของ SETอยู่ที่ 2.72% และ mai อยู่ที่ 1.45%"ในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ นักลงทุนต่างชาติ ขายสุทธิ 15,923 ล้านบาท โดยที่แรงเทขายของนักลงทุนต่างชาติในช่วงปีนี้ ยังคงไม่มีนัยสำคัญมากนักเนื่องจากก่อนหน้านี้นักลงทุนต่างชาติทยอยซื้อสะสมได้ค่อนข้างสูงจึงมีแรงเทขายออกมาบ้าง
ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิในตลาดหลักทรัพย์ฯ ส่วนใหญ่ในภูมิภาคยกเว้นตลาดหลักทรัพย์ไทย และเกาหลี โดยอินเดียมีนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิมากที่สุดที่ประมาณ 3 แสนล้านบาท"ส่วน ปัจจัยที่ทำให้ค่าP/E ของตลาดหุ้นไทยสูงขึ้นมาจากราคาของหุ้นขนาดเล็กปรับตัวสูงขึ้นมาก ค่า พี/อีจึงปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย แต่ตัวเลขนี้เมื่อเทียบกับประเทศต่างๆในเอเชียยังถือว่าไม่สูงมากนัก โดยฟิลิปปินส์ สูงสุดที่ 21.11%อินโดนีเซียที่ 16.18% ส่วนประเทศที่มีค่า พี/อี เพิ่มต่ำสุดคือ จีน ที่9.41%
นาย ภากร ปีตธวัชชัย รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กรและการเงิน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ในเดือนเม.ย.56 ที่ผ่านมา ยังคงมีเงินทุนจากต่างประเทศไหลเข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่องแต่ในส่วนเงินทุนที่ไหลเข้าตลาดพันธบัตรนั้นกลับลดน้อยลงเนื่องจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ขายพันธบัตรออกไป 3.3หมื่นล้านบาท อีกทั้งนักลงทุนมีความกังวลต่อความไม่แน่นอนของนโยบายการควบคุมเงินทุนไหลเข้าที่ยังไม่ประกาศมาตรการออกมาอย่างชัดเจนทำให้เงินไหลเข้าในตลาดพันธบัตรลดลง
อย่างไรก็ตาม พบว่าในส่วนของพันธบัตรระยะยาวของรัฐบาลยังมีอยู่ค่อนข้างสูงประมาณ 4.8หมื่นล้านบาท"ภาพรวม ตลาดทุนไทยยังได้รับปัจจัยสนับสนุนการลงทุนจากบริษัทจดทะเบียนที่เติบโตดีอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ สิ้นเดือนเมษายนSET index ปิดที่ 1,597.86 จุด เพิ่มขึ้น 14.79% จากสิ้นปี 55และเพิ่มขึ้น 2.36% จากเดือนมี.ค. ขณะที่ Market capitalization อยู่ที่13,649,632 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.37% เทียบกับสิ้นปีก่อน และ mai อยู่ที่189,878 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 42.75%"สำหรับมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันรวมของ SET และ mai ในเดือนเม.ย.อยู่ที่ 53,853 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 93.06% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนโดยผู้ลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 19,830 ล้านบาท
ด้าน Forward P/E ratioของไทยปรับสูงขึ้นตามทิศทางดัชนีตลาดหลักทรัพย์ โดยอยู่ที่ 14.81 เท่าเพิ่มขึ้นจาก 14.40 เท่าในเดือนก่อนหน้า และ mai อยู่ที่ 19.65 เท่าเพิ่มขึ้นจาก 18.65 เท่าจากเดือนมีนาคม ส่วนอัตราเงินปันผลตอบแทนของ SETอยู่ที่ 2.72% และ mai อยู่ที่ 1.45%"ในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ นักลงทุนต่างชาติ ขายสุทธิ 15,923 ล้านบาท โดยที่แรงเทขายของนักลงทุนต่างชาติในช่วงปีนี้ ยังคงไม่มีนัยสำคัญมากนักเนื่องจากก่อนหน้านี้นักลงทุนต่างชาติทยอยซื้อสะสมได้ค่อนข้างสูงจึงมีแรงเทขายออกมาบ้าง
ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิในตลาดหลักทรัพย์ฯ ส่วนใหญ่ในภูมิภาคยกเว้นตลาดหลักทรัพย์ไทย และเกาหลี โดยอินเดียมีนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิมากที่สุดที่ประมาณ 3 แสนล้านบาท"ส่วน ปัจจัยที่ทำให้ค่าP/E ของตลาดหุ้นไทยสูงขึ้นมาจากราคาของหุ้นขนาดเล็กปรับตัวสูงขึ้นมาก ค่า พี/อีจึงปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย แต่ตัวเลขนี้เมื่อเทียบกับประเทศต่างๆในเอเชียยังถือว่าไม่สูงมากนัก โดยฟิลิปปินส์ สูงสุดที่ 21.11%อินโดนีเซียที่ 16.18% ส่วนประเทศที่มีค่า พี/อี เพิ่มต่ำสุดคือ จีน ที่9.41%
