ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-วงการฟุตบอลอังกฤษถึงเวลาเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่ต้องบันทึกเอาไว้ในประวัติศาสตร์ เมื่อ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ประกาศวางมือ โดยจะคุมทัพแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทิ้งทวนคือเกมพรีเมียร์ ลีก นัดสุดท้ายของฤดูกาล 2012-13 ไปเยือน เวสต์ บรอมวิช อัลเบียน วันอาทิตย์ที่ 19 พฤษภาคมนี้ ซึ่งก็จะเป็นการปิดฉากในฐานะกุนซืออย่างสมบูรณ์แบบเป็นนัดที่ 1,500 พอดิบพอดี
เฟอร์กี รับตำแหน่งกุนซือ แมนฯยู เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายนปี 1986 ต่อจาก รอน แอ็ตกินสัน ช่วงแรกผลงานลุ่มๆ ดอนๆ และเกือบที่จะถูกไล่ออกอยู่แล้ว อย่างไรก็ตามโชคชะตาพลิกผันคือการคว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ ฤดูกาล 1989-90 ที่ต้องสู้กันถึง 2 ยก ต้องขอบคุณ “สปาร์คกี” มาร์ค ฮิวจ์ส กองหน้าทีมชาติเวลส์ ที่ยิงช่วงต่อเวลาพิเศษนาที 113 ตีเสมอ คริสตัล พาเลซ 3-3 ก่อนที่จะไปรีเพลย์ชนะ 1-0 จากการยิงของ ลี มาร์ติน นับตั้งแต่นั้นก็เหมือนเป็นการจุดประกายยุครุ่งเรืองของกุนซือชาวสกอตต์ที่ว่ากันว่าประสบความสำเร็จมากที่สุดของอังกฤษก็ว่าได้
จากนั้นความสำเร็จก็ไหลมาเทมา แมนฯยู สามารถคว้าแชมป์ลีกเป็นครั้งแรกในยุคของ เฟอร์กี ฤดูกาล 1992-93 ถือเป็นการสิ้นสุดการรอคอยของสาวก "เรด เดวิลส์" 26 ปีก็ว่าได้ ซึ่งมีแกนหลักอย่าง ไรอัน กิ๊กส์, มาร์ค ฮิวจ์ส, เอริค คันโตนา, แกรี พัลลิสเตอร์ และ พอล อินซ์ จากนั้นก็ได้แชมป์ พรีเมียร์ ลีก ถึง 13 สมัย โดยมีการคว้ามาครองได้ 3 สมัยติดต่อกันถึง 2 ครั้งด้วย
นอกจากนี้ ฤดูกาล 1992-93 เฟอร์กี ยังได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้กับวงการฟุตบอลอังกฤษอีกด้วย เนื่องจากแข้งอย่าง แกรี เนวิลล์, เดวิด เบ็คแฮม และ นิคกี บัตต์ ได้รับโอกาสลงเล่นเกมลีกครั้งแรก ทั้ง 3 คนอยู่ในกลุ่ม “ลูกนกหัดบิน” หรือที่เรียกว่า “Fergie's Fledglings” ส่วนที่เหลือก็คือ ฟิล เนวิลล์ และ พอล สโคลส์ บรรดาพวกนี้ก็เติบโตเป็นแกนหลักของทีมชาติอังกฤษในเวลาต่อมา บ้างก็ย้ายไปค้าแข้งต่างแดนปัจจุบันก็ยังอยู่ในวงการผันตัวเองไปเป็นคอมเมนเตเตอร์วิเคราะห์วิจารณ์เกม
ด้วยความสำเร็จทำให้ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ที่ก่อนหน้านี้เคยคุม อีสต์ สเตียร์ลิงเชียร์, เซนต์ เมียร์เรน, อเบอร์ดีน และ ทีมชาติสกอตแลนด์ ได้รับยศ เซอร์ หรือ "Commander of the Order of the British Empire" (CBE) เมื่อปี 1995 ซึ่งถือว่าเป็นเกียรติยศที่น้อยคนนักจะได้รับ
จนกระทั่งปี 1999 ที่ถือว่าเป็นฤดูกาลสุดยิ่งใหญ่ของ แมนฯยู กับ เซอร์ อเล็กซ์ ก็ว่าได้เนื่องจากส่วนผสมทุกอย่างลงตัวจนก้าวไปคว้า “ทริปเปิลแชมป์” พรีเมียร์ ลีก, เอฟเอ คัพ และ ยูฟา แชมเปียนส์ ลีก โดยเฉพาะนัดชิงถ้วยยุโรปที่กลายเป็นปาฎิหาริย์เล่ากันรุ่นต่อรุ่นถึงลูกหลานจากการยิงช่วงทดเวลาบาดเจ็บแซงชนะ บาเยิร์น มิวนิค 2-1
บรรดาโทรฟีต่างๆ ที่ประดับตู้โชว์ถิ่น โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ทำให้ เซอร์ อเล็กซ์ เริ่มหมดความท้าทายจากนั้นปี 2002-03 ก็เปรยว่าจะล้างมือจากอ่างทองคำ ย้อนไปตอนนั้นก็อายุประมาณ 61 ปีถือว่าสูงพอสมควรและคู่ควรแก่เวลา อย่างไรก็ตาม แมนฯยู ยังไม่อาจหาทายาทอสูรทำให้นายใหญ่ชาวสกอตต์ต้องกลืนน้ำลายตัวเองคุมทัพต่อมา ซึ่งการขับเคี่ยวของ พรีเมียร์ ลีก ที่เข้มข้นมีการเปลี่ยนแปลงอย่าง เชลซี ที่ได้เจ้าของใหม่อันนำมาสู่ โชเซ มูรินโญ กุนซือชาวโปรตุกีส ก็ช่วยให้มีแรงขับอีกครั้ง
นำมาสู่การได้แชมป์ยุโรปสมัยที่ 2 ฤดูกาล 2007-08 ที่ทำศึกสายเลือดชนะจุดโทษ เชลซี ถือเป็นสมัยที่ 3 ของสโมสรด้วย ปีนั้นก็ดรามาไม่น้อย เพราะถ้า จอห์น เทอร์รี กองหลังกัปตันทีมฝ่ายตรงข้ามยิงเข้าจะชนะทันแต่ดันลื่น ทำให้ แมนฯยู พลิกได้แชมป์แบบบีบหัวใจ จากนั้นก็เข้าชิงอีก 2 ครั้งทว่าต้องแพ้ให้กับ บาร์เซโลนา ทำให้ความตั้งใจของ เซอร์ อเล็กซ์ ที่จะกวาดแชมป์ยุโรป 5 สมัยสูงสุดของอังกฤษเทียบเท่ากับ ลิเวอร์พูล นั้นไม่สำเร็จ เหนืออื่นใดแชมป์ลีกสูงสุดที่โกยมาได้มากที่สุด 20 สมัยในปีนี้ก็น่าจะเพียงพอ
ทั้งหลายทั้งปวงทำให้ เซอร์ อเล็กซ์ มีรูปปั้นอยู่ที่หน้าสนาม โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด รวมถึงชื่ออัฒจันทร์ที่ตั้งไว้ให้เป็นเกียรติ เพราะคุมทัพยาวนานที่สุดของ แมนฯยู ต่อจาก เซอร์ แม็ตต์ บัสบี ทำไว้ 1,120 นัด หากจะนำรวมแชมป์ที่โกยมาได้ทั้งหมดก็ยิ่งใหญ่กว่า บิลล์ แชงค์ลีย์ ของ ลิเวอร์พูล หรือแม้กระทั่ง บ็อบ เพสลีย์ โดยรายหลังได้แชมป์ยุโรปถึง 3 สมัย
สำหรับเหตุผลการอำลาครั้งนี้ก็คือสุขภาพและต้องการให้เวลากับครอบครัว เซอร์ อเล็กซ์ จะผันตัวเองเป็นผู้อำนวยการและทูตของ แมนฯยู ต่อไป ส่วนเรื่องตัวแทนมีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็น เดวิด มอยส์ ที่จะผละ เอฟเวอร์ตัน หลังคุมมา 11 ปี เนื่องจากได้รับการสนับสนุนอย่างดีเพราะเป็นคนบ้านเดียวกันคือสกอตแลนด์ ก็ต้องดูว่าจะสานต่องานได้ดีขนาดไหนกับขุมกำลังที่ได้วางรากฐานไว้ให้แล้ว
(ล้อมกรอบ)
เกียรติประวัติคุมทัพ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
พรีเมียร์ ลีก 13 สมัย : 1992-93, 1993-94, 1995-96, 1996-97, 1998-99, 1999-2000, 2000-01, 2002-03, 2006-07, 2007-08, 2008-09, 2010-11, 2012-13
เอฟ คัพ 5 สมัย : 1989-90, 1993-94, 1995-96, 1998-99, 2003-04
ลีก คัพ 4 สมัย : 1991-92, 2005-06, 2008-09, 2009-10
คอมมูนิตีชิลด์ 10 สมัย : 1990 (ครองร่วม), 1993, 1994, 1996, 1997, 2003, 2007, 2008, 2010, 2011
ยูฟา แชมเปียนส์ ลีก 2 สมัย : 1998-99, 2007-08
ยูฟา คัพ วินเนอร์ส คัพ 1 สมัย : 1990-91
ยูฟา ซูเปอร์ คัพ 1 สมัย : 1991
อินเตอร์คอนติเนนตัล คัพ 1 สมัย : 1999
ฟีฟา คลับ เวิลด์ คัพ 1 สมัย : 2008
(ล้อมกรอบ)
5 การคว้านักเตะดีที่สุด
1.ปีเตอร์ ชไมเคิล - เจ้าของตำนาน “ยักษ์เดนส์” ปราการด่านสุดท้ายของ แมนฯยู ย้ายจาก บรอนด์บี เมื่อปี 1991 ค่าตัวเพียง 500,000 ปอนด์ (ประมาณ 23 ล้านบาท) ด้วยรูปร่างและลีลาการออกมาปัดป้องประตู ทำให้ได้รับการยกย่องเป็นผู้รักษาประตูมือ 1 ของโลก มีส่วนสำคัญขึ้นมาช่วยกดดันพังประตูนัดชิงยุโรปปี 1999 ที่ช็อกเอาชนะ บาเยิร์น มิวนิก ช่วงทดเวลาบาดเจ็บ 2-1
2.เอริค คันโตนา - แม้จะเป็นระยะเวลาสั้นๆ เพียงแค่ 5 ปี แต่ไม่มีใครลืม คันโตนา กองหน้าที่ เซอร์ อเล็กซ์ คว้าจาก ลีดส์ ยูไนเต็ด เมื่อปี 1992 ด้วยค่าตัว 1 ล้านปอนด์ (ประมาณ 46 ล้านบาท) โดยคว้าแชมป์ พรีเมียร์ ลีก 4 สมัย และแชมป์ เอฟเอ คัพ 2 สมัย รวมถึงวีรกรรม “กังฟูคิก” ถีบยอดอกแฟนบอล ก่อนที่จะแขวนสตั๊ดด้วยวัย 30 ปีเท่านั้น เมื่อปี 1997
3.รอย คีน - ค่าตัวที่ แมนฯยู จ่ายให้กับ น็อตติงแฮม ฟอเรสต์ ตอนปี 1993 คือ 3.75 ล้านปอนด์ (ประมาณ 172 ล้านบาท) ถือว่าสูงเป็นสถิติวงการฟุตบอลบริติชเลยทีเดียว เพื่อแลกกับกองกลางพันธุ์ดุที่ยกระดับกลายเป็นคีย์แมนคนสำคัญตลอดระยะเวลา 12 ปีกับ แมนฯยู แม้ว่าจะพลาดนัดชิงแชมป์ยุโรปปี 1999 เพราะโทษแบนก็ตาม แต่จากนั้นก็ได้สวมปลอกแขนกัปตันทีมต่อจาก คันโตนา
4.คริสเตียโน โรนัลโด - เซอร์ อเล็กซ์ คว้าปีกรายนี้มาจาก สปอร์ติง ลิสลอน เมื่อปี 2003 ด้วยค่าตัว 12.24 ล้านปอนด์ (ประมาณ 563 ล้านบาท) ซึ่งก็คุ้มเกินคุ้มกลายเป็นตำนานเบอร์ 7 โดยเฉพาะฤดูกาล 2007-08 ที่ระเบิดฟอร์มซัดรวมทุกรายการ 42 ประตู คว้าแชมป์ ยูฟา แชมเปียนส์ ลีก ได้สำเร็จ ก่อนจะขายให้ รีล มาดริด เมื่อปี 2009 ด้วยค่าตัวเป็นสถิติโลก 80 ล้านปอนด์ (ประมาณ 3,680 ล้านบาท)
5.เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ - มือกาวชาวดัตช์ ย้ายจาก ฟูแลม เมื่อปี 2005 แบบไม่เปิดเผยค่าตัว แม้ตอนนั้นจะวัย 34 ปีแล้ว แต่คือจิ๊กซอว์ที่หามานานนับตั้งแต่ ชไมเคิล อำลาเสาประตูไป หลังจาก เซอร์ อเล็กซ์ ต้องปวดขมับมานานแสนนาน ก่อนจะประกาศแขวนถุงมือเมื่อปี 2011 ด้วยแชมป์ พรีเมียร์ ลีก 4 สมัยและแชมป์ ยูฟา แชมเปียนส์ ลีก 1 สมัย