xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

นายกฯ “ปู”ขวัญใจ ICT

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-นับเป็นปรากฏการณ์ที่ต้องจารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทยและกำลังกลายเป็นประเด็นฮอตทั้งในโลกออนไลน์และนำไปสู่การวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางในสังคม เมื่อนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีของไทยได้กลายเป็น “ขวัญใจ ICT” อย่างไม่น่าเชื่อ

เพราะนอกจากวลีเด็ดอย่าง “โปรดเข้าใจ กะหรี่ไม่ใช่หญิงคนชั่ว กะหรี่แค่เร่ขายตัว แต่หญิงคนชั่วเที่ยวเร่ขายชาติ” จะได้รับการกล่าวขานอย่างถล่มทลายจนต้องส่งทีมกฎหมายฟ้องร้องดำเนินคดีแล้ว นายกรัฐมนตรีของไทยยังเผชิญกับเรื่องที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกติดต่อกันถึง 2 เรื่องหนักๆ ด้วยกัน

กรณีแรกเป็นผลมาจากการที่ Search engine ชื่อก้องโลกอย่าง google (www.google.co.ch) ที่ประมวลผลอย่างฉลาดล้ำหลังจากมีผู้พิมพ์คำว่า “อีโง่” ในบริการค้นหา “เว็บ” และ “ภาพ” ของ google จากนั้นทั้งหัวข้อข่าวและรูปภาพของนายกรัฐมนตรีก็โดดเด้งปรากฏหราพรึ่บให้เห็นจนละลานตา

ที่น่าเห็นใจก็คือ ทีมกฎหมายจะไปแสวงหาหนทางเพื่อดำเนินการฟ้องร้องกับ google ก็คงจะไม่ได้ เพราะเป็นการประมวลผลที่เกิดขึ้นจากการคำนวณโดยอัตโนมัติ โดยที่มิได้มีใครไปกลั่นแกล้งหรือแฮกเว็บ google แต่ประการใด

จากนั้นก็ตามติดด้วยเหตุการณ์ที่ฮือฮาเสียยิ่งกว่า เมื่อมีแฮกเกอร์มือดีโพสต์ข้อความประณามนายกฯยิ่งลักษณ์บนหน้าเว็บไซต์ของสำนักนายกรัฐมนตรี(http://www.opm.go.th/opminter/mainframe.asp) จนกลายเป็นข่าวดังไปทั่วประเทศเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแฮกเกอร์ซึ่งใช้ชื่อว่า “Unlimited Hack Team” ทำการแฮกฯและ เปลี่ยนชื่อ ตำแหน่ง รูปของนายกฯยิ่งลักษณ์ พร้อมเขียนคำอธิบายเป็นภาษาอังกฤษว่า “ I'm a slutty moron”

เรียกว่า เจ็บจี๊ดไปต่อไหนถึงไหนทีเดียว เนื่องเพราะคำว่า Slutty Moron นั้นเป็นคำแสลงที่เป็นคำหยาบในภาษาอังกฤษ โดยคำว่า Slutty เป็นคำคุณศัพท์ มีความหมายว่า “สำส่อน” ส่วน Moron นั้นเป็นคำนามที่มีความหมายว่า “ผู้ที่มีความพิการทางสมอง” โดยรวมจึงแปลว่า “ฉันคือผู้หญิงที่โง่เขลาและสำส่อน”

นอกจากนั้นยังระบุข้อความด้านล่างรูปของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ว่า “ I know that I am the worst Prime Minister ever in Thailand history !!! ” หรือแปลเป็นไทยได้ว่า “ฉันรู้ว่าฉันคือนายกรัฐมนตรีที่แย่ที่สุดในประวัติศาสตร์ประเทศไทย!!! ” ซึ่งนับเป็นการตั้งนิยามที่รุนแรงและสร้างความอัปยศให้แก่ผู้นำประเทศอย่างปฏิเสธไม่ได้ แต่ที่น่าสนใจกว่านั้นคือมีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่พากันขานรับและส่งเสียงชื่นชมวีรกรรมของแฮกเกอร์ดังกล่าวถึงขนาดที่ใช้คำว่า “ Unlimited Hack Team จงเจริญ”

ขณะที่ในช่วงเวลาเดียวกันยังมีผู้แต่งเพลง “อีโง่” ภายใต้ชื่อ “พร้อมเผ่นมิวสิค” เผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ YouTube.com พร้อมทั้งภาพประกอบของบทเพลงซึ่งเป็นรูปของนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ปรากฏบนเว็บไซต์ Google.com ขณะที่มีการ Search คำว่า “อีโง่” โดยเนื้อหาของเพลงดังกล่าวมี ดังนี้

พิมพ์ว่า อีโง่ Search Googleโชว์ ภาพใครไม่รู้
ใบหน้าเหมือนนางเอาอยู่ เพื่อนลองค้นดู เจอเหมือนกันไหม
คำว่าอีโง่ ที่โชว์กระฉ่อน ในโลก Online
จะพิมพ์กี่ครั้งก็ใช่ ค้นหาก็โชว์ อีโง่ซ้ำซ้ำ

พิมพ์ว่าอีโง่ Search Google โชว์ ภาพใครกันหนา
ชื่อไร ผมคงไม่กล้า เดี๋ยวเจอข้อหา ด่าท่านผู้นำ
คุณอนุดิษฐ์ ขู่เอาความผิด คน Post ถ้อยคำ
คนเขียนการ์ตูนขำขำ ชัย ราชวัตร โดนจัดหนักไป

ประชาธิปไตย ของไพร่แดง ก็แรงอย่างนี้
สั่งปุผัดผงกะหรี่ คุณก็มีสิทธิ์ จะติดคุกได้
พวกเลีย พวกร้อง ไม่รู้จะฟ้อง Google กันมั๊ย
Google ที่รู้เกินไป แหมผู้นำไทย ให้เป็นอีโง่

พิมพ์ว่าอีโง่ Search Google โชว์ ภาพใครกันนี่
เอ่ยชื่อเธอ เจอคดี พวกไอซีที จ้องอยู่รู้มั๊ย
คงไม่สนุก ถ้าต้องติดคุก ไปเยี่ยมเมื่อไร
โอเลี้ยง ก๊วยเตี๋ยว ผัดไทย งดของแสลง แกงกระหรี่ปู

ทั้งนี้ คลิปเพลง “อีโง่” ได้กลายเป็นกระแสที่ถูกกล่าวถึงอย่างกว้างขวางในเวลาอันรวดเร็ว มียอดไลค์ ยอดแชร์กระหึ่มไปทั้งสังคมออนไลน์ อีกทั้งมีการแสดงความคิดเห็นกันอย่างเผ็ดร้อน

อาทิ ผู้ที่ใช้ชื่อ 'นายหล่อ บาดตาสาว' แสดงความเห็นว่า - ด่านายกโดนจับ ด่าตำรวจโดนจับ แต่หมิ่นในหลวงไม่โดนจับ??

Noppawat Swakpibool บอกว่า - ไม่ like ไม่เม้น คงไม่ได้ กุจะติดคุกไหมเนี้ย สนับสนุนเพลงเนี้ย

ขณะที่ Keens kal บอกว่า - กูเกิ้ลจะโดนปิดมั๊ย กูเกิ้ลมาด่านายก

คำถามสำคัญที่เกิดขึ้นก็คือ ด้วยเหตุอันใด Search engine ชื่อก้องโลกอย่าง google จึงประมวลผลออกมาเช่นนี้

“พีรนุช” โปรเจ็กต์แมเนเจอร์ บริษัทด้านไอทีแห่งหนึ่ง ได้ให้ความรู้ในเรื่องนี้ว่า เน็ตเวิร์กของกูเกิลถือเป็นเว็บไซต์ประเภทเสิร์ซเอนจิน หรือเว็บไซต์สำหรับการค้นหาข้อมูลซึ่งเป็นที่รู้จกกันดีในหมู่คนไทย สามารถหาข้อมูลโดยเขียนคำซึ่งต้องการค้น หรือที่เรียกว่าคีย์เวิร์ดลงไป ส่วนกรณีที่มีการเสิร์ซคำบางคำลงไป แล้วปรากฏชื่อหรือภาพของบุคคลบางคนขึ้นมานั้นเกิดได้จาก 3 กรณีคือ

1) เกิดจากการตั้งชื่อรูป เช่น มีการเขียนชื่อ “แอน” ใต้ภาพของ “แอน ทองประสม” ซ้ำๆบ่อยๆ เมื่อมีการโพสต์คำว่า “แอน” ก็จะมีภาพของ “แอน ทองประสม” ขึ้นมา

2) เกิดจากการให้คำอธิบายในรูปหรือชื่อนั้นๆ ที่เราเรียกว่า Description ซึ่งถ้าในคำอธิบายกำกับมีคีย์เวิร์ดคำนั้น ก็จะเป็นกลไกหนึ่งซึ่งทำให้กูเกิลค้นหาเจอ และ 3) Content หรือเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับภาพหรือชื่อนั้นๆ สมมุติว่าเว็บไซต์ข่าวแห่งหนึ่งขึ้นรูปภาพของบุคคลหรือสถานที่หนึ่ง แล้วมีคีย์เวิร์ดคำๆนี้เยอะๆ เช่น เขียนว่าคำว่า “คุณแอนสวย” ซ้ำๆกัน พอเราโพสต์คำว่า “สวย” ก็จะปรากฏชื่อหรือภาพคุณแอนขึ้นมา ซึ่งทั้งหมดนี้เราจะเรียกว่าหลักการ SEO (Search Engine Optimization) ซึ่งก็คือการแสดงผลการค้นหาโดยใช้คีย์เวิร์ดประกอบร่วม เช่น ค้นคำว่า “ที่พัก ระยอง” กูเกิลก็จะไปดึงข้อมูลและรูปภาพจากเว็บไซต์ต่างๆที่มีคำว่าที่พักและระยองขึ้นมา

อย่างไรก็ตาม นอกจาก “ความถี่” ในการโพสต์แล้ว ความน่าเชื่อถือของแต่ละเว็บไซต์ (ซึ่งเป็นขั้นตอนเทคนิค โดยจะวัดจากการลิงค์กลับมายังเว็บฯต้นทาง) ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่กูเกิลนำมาประมวลผล เว็บไซต์ที่มีความน่าเชื่อถือน้อยแม้จะมีการโพสต์ชื่อและคีย์เวิร์ดเดียวกัน 10 ครั้ง ก็อาจจะส่งผลต่อการประมวลผลของกูเกิลน้อยกว่าเว็บไซต์ที่มีความน่าเชื่อถือทำการโพสต์แค่ 4-5 ครั้ง

“ถ้าในเว็บไซต์ต่างๆ มีการให้ข้อมูลหรือเขียนคุณสมบัติของชื่อใดชื่อหนึ่ง หรือพูดถึงคำคีย์เวิร์ดของชื่อนั้นๆ บ่อยๆ เวลาเขียนคีย์เวิร์ดหรือคุณสมบัตินั้นๆ คอมพิวเตอร์ก็จะแสดงผลขึ้นมาบนหน้าจอของกูเกิล ดังนั้นถ้าชื่อนั้นๆได้ถูกพูดถึงในลักษณะเดียวกันบ่อยๆ หรือเนื้อหาของข่าวและบทความที่เกี่ยวข้องกับชื่อนั้นมีคีย์เวิร์ดคำนี้บ่อยๆ มันก็จะเกิดการประมวลผลขึ้นมา ดังนั้นถ้าหลายๆเว็บไซต์ มีการเขียนบทความ มีการพูดถึง มีการโพสต์ความคิดเห็น เกี่ยวกับชื่อใดชื่อหนึ่งด้วยคีย์เวิร์ดเดียวกัน ซ้ำๆบ่อยๆ กูเกิลก็จะประมวลผลขึ้นมา นอกจากนั้นความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่อการประมวลผล ปัจจุบันการแสดงความเห็นผ่านเฟซบุ๊กหรือที่เรียกว่าโซเชียลแชร์หรือโซเชียลเน็ตเวิร์กก็จะถูกดึงขึ้นมาแสดงผลด้วยเช่นกัน อย่างคนที่เล่นเฟซบุ๊กมักจะชอบโพสต์รูป ถ้าเราโพสต์รูปของใครคนใดคนหนึ่งพร้อมทั้งระบุคำคีย์เวิร์ดหรือมีการบรรยายรูปนั้น ข้อมูลดังกล่าวก็จะดึงมาประมวลผล หรือถ้าคีย์เวิร์ดนั้นๆ ถูกนำมาตั้งเป็นชื่อเฟซบุ๊กหรือชื่อแฟนเพจ ก็จะถูกนำมาประมวลผลเช่นกัน และถือว่าเป็นการแสดงผลที่มีน้ำหนักเนื่องจากแฟนเพจเป็น การรวมกลุ่มของผู้คนที่หลากหลาย และมีการแสดงความเห็นของคนจำนวนมากจึงมีความน่าเชื่อถือ ” พีรนุช อธิบายถึงหลักการใการประมวลผลของกูเกิล

ส่วนกรณีของการแฮกเกอร์เข้าไปในเว็บไซต์ของสำนักนายกรัฐมนตรี หลายฝ่ายวิเคราะห์ว่ามีความเป็นไปได้ว่า เป็นการแสดงความไม่พอใจรัฐบาลผ่านกลไกของเทคโนโลยีในโลกอินเตอร์เน็ต เนื่องจากทนไม่ไหวกับการบริหารงานที่ไร้ประสิทธิภาพและการใช้อำนาจอันมิชอบของรัฐบาลภายใต้การนำของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ซึ่งได้ใช้เสียงข้างมากในสภา ความถ่อยเถื่อนของมวลชนเสื้อแดงผู้จงรักต่อระบอบทักษิณ และใช้กลไกกฎหมายแบบไร้มาตรฐาน เป็นเครื่องมือในการฟอกผิดให้เป็นถูก ล้มล้างทุกองค์กรที่เข้ามาขัดขวางผลประโยชน์ และเล่นงานทุกคนที่คัดค้านหรือแสดงความเห็นต่าง

เพราะต้องไม่ลืมว่า ปฏิบัติการ “แฮกระดับชาติ” และ “เพลงอีโง่” ที่เผยแพร่ผ่านยูทูบนั้นเกิดขึ้นทันทีหลังจากที่ น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ออกมาประกาศกร้าวว่าจะ “เอาผิด” ทุกคนที่โพสต์ข้อความหมิ่นนายกฯ เนื่องจากนายกนายอนุดิษฐ์ พลพรรคเพื่อไทย รวมถึงไพร่แดง ต่างร้อนรนทนไม่ได้กับกระแสวิจารณ์ของบรรดานักวิชาการ คอลัมนิสต์ และผู้คนในโลกออนไลน์ ที่ตำหนิการกล่าวสุนทรพจน์ที่ประเทศมองโกเลียของนายกฯยิ่งลักษณ์เมื่อปลายเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา ว่าเป็นการปั้นเรื่องโกหกกับต่างชาติเพื่อฟอกผิดให้ นช.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเป็นพี่ชาย

สุดท้ายผลพวงจากกรณีแฮกเกอร์เว็บไซต์สำนักนายกรัฐมนตรีก็ทำให้รัฐบาลโดยกระทรวงไอซีทีทำคลอดนโยบายเด็ดขึ้นมาด้วยการตั้งคณะกรรมการความมั่นคงปลอดภัยไฟเบอร์แห่งชาติขึ้นมา เพื่อให้บูรณาการการดำเนินการเกี่ยวกับความมั่นคงความปลอดภัยของประเทศ โดยจะมีการผลักดันกรอบนโยบายความมั่นคงปลอดภัยไฟเบอร์ ซึ่งจะมีการแบ่งการทำงานที่ครอบคลุม 6 ด้าน ได้แก่ 1.ด้านกลาโหม (เพื่อต่อต้านการก่อการร้ายหรือวินาศกรรม) 2.In cidents Response 3.Law Enforcement 4.Capacity Building 5.Public Awareness และ 6. R & D

คำถามมีอยู่ว่า ถ้าคนที่โดนแฮกไม่ใช่นายกฯ กระทรวงไอซีทีดิ้นพลาดๆ เช่นนี้หรือไม่

ส่วนตัวนายกรัฐมนตรีนั้นกล่าวแสดงความคิดเห็นว่า อย่าเพิ่งไปด่วนสรุปว่าเป็นปฏิกิริยาจากการที่ได้ไปกล่าวปาฐกถาเรื่องประชาธิปไตยที่ประเทศมองโกเลีย อาจจะเป็นเรื่องของคนที่อยากทดลองความปลอดภัยในระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งก็ต้องว่าไปตามขั้นตอนของการตรวจสอบ ส่วนตัวไม่ได้ติดใจอะไร แต่ก็ต้องให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการไปตามขั้นตอน

อย่างไรก็ดี ปฏิเสธไม่ได้ว่าสาเหตุที่ทำให้คำว่า “ยิ่งลักษณ์” ถูกนำไปผูกโยงกับคำว่า “โง่” และถูกกล่าวถึงในบริบทที่เกี่ยวข้องกับความอ่อนด้อยด้านสติปัญญา และไร้ศักยภาพในการบริหารประเทศนั้น สืบเนื่องจากตลอดเวลา 2 ปีที่ผ่านมาที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ขึ้นมาบริหารประเทศในฐานะนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยนั้น นายกฯยิ่งลักษณ์มีอาการพูดผิดพูดถูก ถึงขั้นที่เรียกว่า “ปล่อยไก่” อยู่ตลอดเวลา ทั้งๆ ที่หลายๆ เรื่องนั้นเป็นแค่เรื่องพื้นๆทั่วไปที่ใครๆก็รู้

ไม่ว่าจะเป็นกรณีที่เรียกหญ้าแฝก เป็น 'หญ้าแพรก' , เรียกเรือดันน้ำ เป็น 'เรือดำน้ำ' , เรียกถนนคอนกรีต เป็น 'คอ-นก-รีต' , เรียกพฤศจิกายน เป็น 'พฤศจิกาคม' , เรียกอำเภอหาดใหญ่ เป็น 'จังหวัดหาดใหญ่' , เรียกเมืองซิดนีย์ (ประเทศออสเตรเลีย) เป็นประเทศซิดนีย์ , เรียกนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เป็น 'ประธานาธิบดี' , นายกฯลงพื้นที่ จ.สิงห์บุรี แต่กลับเรียกชื่อเป็น จ.สระบุรี, ให้สัมภาษณ์ถึงการซ่อมประตูน้ำบางโฉมศรี ซึ่ง อยู่ในพื้นที่ จ.สิงห์บุรี ว่าต้องใช้วิธี 'โยนหินลงทะเล' ทั้งที่ จ.สิงห์บุรีไม่มีทะเล , อ่านตัวเลขผิดหลัก โดยตั้งหน้าตั้งตาอ่านโพยในที่ประชุมสภาว่า “ ในปีงบประมาณ 2555 ได้จัดสรรงบประมาณเป็นรายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลังจำนวนทั้งสิ้น (53,980ล้านบาท) ห้าหมื่น สามแสน เก้าร้อยสิบแปดล้านบาท”

และไม่ใช่แค่ ปล่อยไก่แจ้ ไก่ชน เฉพาะในประเทศเท่านั้น แต่นายกฯนกแก้วยังข้ามน้ำข้ามทะเลไปปล่อยไก่งวงถึงในเวทีระดับโลก ซึ่งล้วนแต่มีสาเหตุเกิดจากปัญหา 2 ประการคือ เรื่องความอ่อนด้อยทางภาษาและไม่ได้มีการศึกษาข้อมูลในเรื่องที่จะพูดมาก่อน ซึ่งไม่น่าเกิดขึ้นกับบุคคลระดับนายกรัฐมนตรีที่เป็นผู้นำประเทศ

อาทิ เมื่อปลายเดือนมกราคมปี 2555 นางสาวยิ่งลักษณ์เดินทางไปร่วมประชุม “World Economic Forum ครั้งที่ 42 ที่เมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์และได้เข้าร่วมอภิปรายในหัวข้อ “Women as the Way Forward” โดยนายกรัฐมนตรีไทยได้ขึ้นพูดสด ไม่มีโพยให้อ่าน และก็ได้สร้างความงงงวยไปทั้งเวที ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อว่า คนที่จบการศึกษาระดับปริญญาโทจากต่างประเทศจะทำให้ผู้ร่วมอภิปรายบนเวทีและผู้ฟังนั่งนิ่งและอึ้งเงียบ เพราะฟังไม่รู้เรื่อง แถมยังตอบคำถามไม่ตรงประเด็น

ผู้ดำเนินรายการที่ทำหน้าที่ทึ่งในการใช้ภาษาของนายกรัฐมนตรีไทยจนอดไม่ได้ที่จะกล่าวชมเชยว่า “Madam Prime Minister I have to also say that you speak better English than I do” ตามมาด้วยเสียงหัวเราะและเสียงปรบมือของผู้ฟังดังสนั่นหวั่นไหว

นอกจากนั้นยังมีกรณีที่ทำให้ไทยขายขี้หน้าไปทั่วโลก เมื่อ นายกฯยิ่งลักษณ์ได้กล่าวในการประชุมเศรษฐกิจโลก ครั้งที่ 21 ประจำภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ 21th World Economic Forum on East Asia (WEF) ซึ่งมีขึ้นระหว่างวันที่ 30 พ.ค.-1 มิ.ย. 2555 ที่ โรงแรมแชงกรีลา กรุงเทพฯ ว่า " 10 countries in ASEAN contain about half population of the world.." ซึ่งหมายความว่า " 10 ประเทศในอาเซียน มีประชากรประมาณครึ่งหนึ่งของโลก" ทั้งที่จริงๆแล้ว ประชากรอาเซียน มีประมาณ 600 ล้านคน ซึ่งคิดเป็น 8.8% ของประชากรโลก ซึ่งมีทั้งหมด 7,000 ล้านคน เท่านั้น ไม่ได้มีครึ่งหนึ่งของโลกอย่างที่น่ายกฯไทยปล่อยไก่ออกไป

เมื่อพิจารณาจากการให้สัมภาษณ์และการแสดงทัศนะของนายกฯยิ่งลักษณ์ที่ผิดพลาดพลั้งเผลอเออเร่อตลอดเวลาก็ทำให้ประชาชนชาวไทยหายข้องใจว่าเหตุใด น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีของประเทศไทย จึงกลายเป็นขวัญใจของผู้คนในโลกไซเบอร์เยี่ยงนี้




กำลังโหลดความคิดเห็น