ภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกชะงัก นักท่องเที่ยวชาวไทยสวนกระแส ควักเงินซื้อสินค้าปลอดภาษีเป็นอันดับ 6 ของโลก แต่เมื่อเปรียบเทียบไตรมาส 1 ปี 2555 กับ ปี 2556 เพิ่มขึ้นถึง 38% เติบโตสูงเป็นอันดับ 1 โดยมีประเทศอื่นๆ 5 อันดับแรก คือ จีน รัสเซีย อินโดนีเซีย อเมริกา และ มาเลเซีย
นายชาติ จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ โครงการ เซ็นทรัล เอ็มบาสซี กล่าวว่า “จากรายงานของ โกลบอล บลู (Global Blue) บริษัทชั้นนำด้านร้านค้าปลอดภาษี ชี้ให้เห็นเทรนด์การเติบโตอย่างต่อเนื่องของการจับจ่ายสินค้าปลอดภาษีทั่วโลกในไตรมาส 1 ปี 2556 นำโดยกลุ่มกำลังซื้อหลักจากทวีปเอเชีย อาทิ จีน อินโดนีเซีย มาเลเซีย และ ไทย
โดยกลุ่มนักท่องเที่ยวจากประเทศไทยนั้นน่าจับตามองมาก เพราะมีอัตราการซื้อสินค้าปลอดภาษีเพิ่มขึ้นกว่า 38% นับเป็นการเติบโตสูงสุดอันดับ 1 เมื่อเทียบกับปี 2555 ในช่วงเวลาเดียวกัน ส่วนจีนเพิ่มขึ้น 20%
ขณะที่อันดับที่สามของนักท่องเที่ยวที่จับจ่ายสินค้าปลอดภาษีเพิ่มขึ้นในไตรมาสแรกปี 2556 เทียบช่วงเดียวกันปี 2555 คือประเทศรัสเซีย 17% ตามมาด้วยอินโดนีเซียและมาเลเซียใกล้คัยงกันคือ 8% และอเมริกา 2%
สำหรับนักท่องเที่ยวของประเทศที่อัตราการซื้อสินค้าปลอดภาษีลดลงคือ ญี่ปุ่นลดลงมากที่สุดติดลบ 28% ส่วนบราซิลลดลง 11% และสวิสเซอร์แลนด์ลงลง 2%
ทั้งนี้เทรนด์การช็อปปิ้งของนักท่องเที่ยวจากประเทศไทยนั้นมีการขยายตัวจากการจับจ่ายเฉพาะในเอเชียสู่การจับจ่ายสินค้าหรูหราในประเทศชั้นนำของทวีปยุโรป อาทิ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส และประเทศอื่นๆ แสดงให้เห็นถึงศักยภาพทางการจับจ่ายที่เพิ่มมากขึ้น
สำหรับแชมป์เก่าอย่างประเทศจีน การจับจ่ายยังคงขยายตัวสูง เพิ่มขึ้น 20% เมื่อเทียบกับปี 2555 ในช่วงเวลาเดียวกัน โดยในภาพรวมนักท่องเที่ยวจากประเทศจีนยังคงมีอัตราการจับจ่ายเป็นอันดับ 1 และยังมีจำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางออกนอกประเทศสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปีนี้คาดว่าเพิ่มขึ้นกว่า 17% ซึ่งนับเป็นจำนวนที่สูงมาก
นายชาติกล่าวว่า รายงานครั้งนี้ช่วยตอกย้ำเทรนด์ที่ทาง เซ็นทรัล เอ็มบาสซี ได้คาดการณ์ไว้ คือ ผู้คนรุ่นใหม่เริ่มใช้จ่ายในด้านการท่องเที่ยวกว้างขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มคนที่เริ่มมีกำลังซื้อมากพอ คือ 1.Recession Resistance : กลุ่มลูกค้าเอเชียระดับ A+ ซึ่งโตสวนกระแสเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะในประเทศจีน 2.New Sophisticates : กลุ่มคนรุ่นใหม่ มีการศึกษาสูง กระตือรือร้น เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิต เป็นเอกเทศทางความคิด และมักจะเป็นผู้นำเทรนด์ใหม่ๆในสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จีน อินเดีย และอินโดนีเซีย 3.Young Guns : เป็นกลุ่มประชากรรุ่นใหม่ในเอเชียที่อายุอยู่ ระหว่าง 20 – 40 ปี แต่นับเป็นกลุ่มลูกค้า Class A เป็น Young executive อายุ 25 – 44 ปี หรือกลุ่ม 3rd generation ลูกหลานรุ่นใหม่ ของครอบครัวที่ทรงอิทธิพลทางการเงิน
สอดคล้องกับกลยุทธ์ที่โครงการเซ็นทรัล เอ็มบาสซี วางไว้เมื่อเปิดตัวเพื่อดึงนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่ๆให้เข้ามาจับจ่ายในประเทศเราให้มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลุ่ม Asian Luxury Traveler ทั้งจากจีน มาเลเซีย อินโดนีเซีย อินเดีย ฯลฯ
"อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ดังนั้น เซ็นทรัล เอ็มบาสซี มุ่งหวังที่จะร่วมสร้างให้เมืองไทยเป็น Destination of Luxury Experience ระดับโลก อย่างไรก็ดี นักช็อปชาวไทยนับเป็นกลุ่มสำคัญที่มีกำลังซื้อสูง แต่เหตุผลหลักที่ทำให้คนกลุ่มนี้นิยมเดินทางไปช็อปปิ้งที่ต่างประเทศ คือ อัตราภาษีนำเข้าที่ต่ำกว่าทำให้ราคาสินค้าถูกกว่าในประเทศไทยมาก พร้อมอภิสิทธิ์ในการขอคืนภาษีอีกด้วย หากประเทศไทยสามารถลดภาษีนำเข้า จะเป็นโอกาสในการสร้างจุดขายที่ชัดเจน สามารถดึงดูดใจให้มีการจับจ่ายภายในประเทศมากขึ้นอย่างแน่นอน”
นายชาติ จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ โครงการ เซ็นทรัล เอ็มบาสซี กล่าวว่า “จากรายงานของ โกลบอล บลู (Global Blue) บริษัทชั้นนำด้านร้านค้าปลอดภาษี ชี้ให้เห็นเทรนด์การเติบโตอย่างต่อเนื่องของการจับจ่ายสินค้าปลอดภาษีทั่วโลกในไตรมาส 1 ปี 2556 นำโดยกลุ่มกำลังซื้อหลักจากทวีปเอเชีย อาทิ จีน อินโดนีเซีย มาเลเซีย และ ไทย
โดยกลุ่มนักท่องเที่ยวจากประเทศไทยนั้นน่าจับตามองมาก เพราะมีอัตราการซื้อสินค้าปลอดภาษีเพิ่มขึ้นกว่า 38% นับเป็นการเติบโตสูงสุดอันดับ 1 เมื่อเทียบกับปี 2555 ในช่วงเวลาเดียวกัน ส่วนจีนเพิ่มขึ้น 20%
ขณะที่อันดับที่สามของนักท่องเที่ยวที่จับจ่ายสินค้าปลอดภาษีเพิ่มขึ้นในไตรมาสแรกปี 2556 เทียบช่วงเดียวกันปี 2555 คือประเทศรัสเซีย 17% ตามมาด้วยอินโดนีเซียและมาเลเซียใกล้คัยงกันคือ 8% และอเมริกา 2%
สำหรับนักท่องเที่ยวของประเทศที่อัตราการซื้อสินค้าปลอดภาษีลดลงคือ ญี่ปุ่นลดลงมากที่สุดติดลบ 28% ส่วนบราซิลลดลง 11% และสวิสเซอร์แลนด์ลงลง 2%
ทั้งนี้เทรนด์การช็อปปิ้งของนักท่องเที่ยวจากประเทศไทยนั้นมีการขยายตัวจากการจับจ่ายเฉพาะในเอเชียสู่การจับจ่ายสินค้าหรูหราในประเทศชั้นนำของทวีปยุโรป อาทิ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส และประเทศอื่นๆ แสดงให้เห็นถึงศักยภาพทางการจับจ่ายที่เพิ่มมากขึ้น
สำหรับแชมป์เก่าอย่างประเทศจีน การจับจ่ายยังคงขยายตัวสูง เพิ่มขึ้น 20% เมื่อเทียบกับปี 2555 ในช่วงเวลาเดียวกัน โดยในภาพรวมนักท่องเที่ยวจากประเทศจีนยังคงมีอัตราการจับจ่ายเป็นอันดับ 1 และยังมีจำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางออกนอกประเทศสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปีนี้คาดว่าเพิ่มขึ้นกว่า 17% ซึ่งนับเป็นจำนวนที่สูงมาก
นายชาติกล่าวว่า รายงานครั้งนี้ช่วยตอกย้ำเทรนด์ที่ทาง เซ็นทรัล เอ็มบาสซี ได้คาดการณ์ไว้ คือ ผู้คนรุ่นใหม่เริ่มใช้จ่ายในด้านการท่องเที่ยวกว้างขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มคนที่เริ่มมีกำลังซื้อมากพอ คือ 1.Recession Resistance : กลุ่มลูกค้าเอเชียระดับ A+ ซึ่งโตสวนกระแสเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะในประเทศจีน 2.New Sophisticates : กลุ่มคนรุ่นใหม่ มีการศึกษาสูง กระตือรือร้น เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิต เป็นเอกเทศทางความคิด และมักจะเป็นผู้นำเทรนด์ใหม่ๆในสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จีน อินเดีย และอินโดนีเซีย 3.Young Guns : เป็นกลุ่มประชากรรุ่นใหม่ในเอเชียที่อายุอยู่ ระหว่าง 20 – 40 ปี แต่นับเป็นกลุ่มลูกค้า Class A เป็น Young executive อายุ 25 – 44 ปี หรือกลุ่ม 3rd generation ลูกหลานรุ่นใหม่ ของครอบครัวที่ทรงอิทธิพลทางการเงิน
สอดคล้องกับกลยุทธ์ที่โครงการเซ็นทรัล เอ็มบาสซี วางไว้เมื่อเปิดตัวเพื่อดึงนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่ๆให้เข้ามาจับจ่ายในประเทศเราให้มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลุ่ม Asian Luxury Traveler ทั้งจากจีน มาเลเซีย อินโดนีเซีย อินเดีย ฯลฯ
"อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ดังนั้น เซ็นทรัล เอ็มบาสซี มุ่งหวังที่จะร่วมสร้างให้เมืองไทยเป็น Destination of Luxury Experience ระดับโลก อย่างไรก็ดี นักช็อปชาวไทยนับเป็นกลุ่มสำคัญที่มีกำลังซื้อสูง แต่เหตุผลหลักที่ทำให้คนกลุ่มนี้นิยมเดินทางไปช็อปปิ้งที่ต่างประเทศ คือ อัตราภาษีนำเข้าที่ต่ำกว่าทำให้ราคาสินค้าถูกกว่าในประเทศไทยมาก พร้อมอภิสิทธิ์ในการขอคืนภาษีอีกด้วย หากประเทศไทยสามารถลดภาษีนำเข้า จะเป็นโอกาสในการสร้างจุดขายที่ชัดเจน สามารถดึงดูดใจให้มีการจับจ่ายภายในประเทศมากขึ้นอย่างแน่นอน”