เมื่อตอนที่กลุ่มเซ็นทรัลตัดสินใจซื้อที่ดินที่เคยเป็นสถานฑูตอังกฤษย่านชิดลมด้วยสนนราคาแพงที่สุดในประวัติศาสตร์การซื้อขายอสังหาฯของเมืองไทย เพื่อทำโครงการอภิมหาลักชัวรี่ รีเทล “เซ็นทรัล เอ็มบาสซี่ ”มูลค่า 1.8 หมื่นล้านบาท “ชาติ จิราธิวัฒน์” ทายาทรุ่นที่ 3 ซึ่งเพิ่งจะมีอายุเพียง 30 ต้น ๆ ในขณะนั้นก็ถูกกำหนดให้เข้ามาบริหารโครงการนี้ เวลา 7 ปีกับการทำงานเพื่อสานฝันโครงการที่ไม่เคยมีมาก่อนในเมืองไทยต้องให้กลายเป็นจริงให้ได้ ถ้างานนี้สอบผ่านจะเป็นบทพิสูจน์ว่าเขาเหมาะสมกับอันดับสองของรุ่นที่3
ชาติ จิราวัฒน์ เป็นลูกชายคนเดียวของ สุทธิชาติ-แมรี่แอน จิราธิวัฒน์ ถ้านับจากเตียง จิราธิวัฒน์ (ปู่) ผู้ก่อตั้งเซ็นทรัลกรุ๊ปแล้ว ชาติก็ถือเป็นทายาทรุ่น 3 ที่มาสืบทอดธุรกิจของตระกูลค้าปลีกที่ใหญ่ที่สุดของเมืองไทย การถูกเลือกให้รับผิดชอบงานใหญ่ครั้งนี้ ถ้าเขาสอบผ่านก็จะถูกวางตัวให้เป็นอันดับสองของรุ่นที่ 3 ต่อจากทศ จิราธิวัฒนพี่ใหญ่ของรุ่น จากผลงานที่โดดเด่นบวกกับหน้าตาที่หล่อเหลาและความอ่อนน้อมถ่อมตน ทำให้เราสนใจที่จะทำความรู้จักตัวตนของเขาอย่างจริงจัง ซึ่งเขาก็ไม่ทำให้เราต้องผิดหวังเพราะในวันที่งานรัดตัวต้องดูแลไซส์งานอย่างใกล้ชิด “ชาติ” ก็ยังปลีกตัวหลบมุมมาคุยกับเราที่ห้องพรีเมี่ยร์เล้าจน์ ชั้น 7 เซ็นทรัลชิดลมอย่างเป็นกันเอง
ชาติเริ่มต้นพูดถึงการทำงานในตระกูลจิราธิวัฒน์ ด้วยท่วงท่าสบายๆ ว่า แม้ว่าครอบครัวเขาไม่เคยกำหนดว่าจะต้องมารับช่วงสืบทอดงานของตระกูล แต่ถือเป็นธรรมเนียมของตระกูลจิราธิวัฒน์ที่จะปลูกฝังให้ลูกหลานได้สัมผัสธุรกิจของเซ็นทรัลมาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นเกือบทุกวันหลังเลิกเรียนชาติจะตามพ่อไปห้างเซ็นทรัลเป็นประจำ และถ้าเป็นช่วงเทศกาลก็จะไปช่วยทำงานห่อของขวัญ ถ้าเป็นช่วงปิดเทอมก็จะมีโอกาสเดินทางไปต่างประเทศกับพ่อเพื่อดูงานแฟร์ต่างๆ ทำให้ซึมซับและเรียนรู้เรื่องการติดต่อการค้าโดยปริยาย
“วิธีการสอนของพ่อนั้นจะไม่เคยพูดว่าต้องทำอย่างนั้นอย่าง แต่ให้ลองผิดลองถูกเอง ส่วนครอบครัวของเราตั้งแต่คุณปู่มาเลย จะเน้นสอนลูกหลานเรื่องความซื่อสัตย์ ประหยัด และขยัน 3 ข้อนี้เป็นหลักเลย ซึ่งพวกเราก็ได้นำมาใช้กับธุรกิจอย่างตรงไปตรงมา” ชาติ เล่าย้อนถึงเส้นทางการทำงานก่อนต้องมาบริหาร เซ็นทรัล เอ็มบาสซี่ งานใหญ่ที่ท้าทายว่า เขาเริ่มต้นด้วยการฝึกงานที่ห้าง Mark & Spencer ที่ลอนดอน
“ประสบการณ์ที่ Mark & Spencer ช่วยผมได้มาก ทำให้เราได้รู้ว่าเขาดูแลลูกค้าเป็นอย่างดี คือใครซื้อของไปไม่ถูกใจมาเปลี่ยนได้ แต่ต้องดูเจตนาว่าเขาเปลี่ยนเพราะอะไร เพื่อจะได้นำมาพัฒนาและปรับปรุงต่อไป มีเหตุการณ์หนึ่งที่ผมประทับใจมากคือ คุณยายคนหนึ่งซื้อไก่งวงไปแล้วนำมาคืน ผมเปิดถุงมาเจอแต่กระดูกไก่ ทำอะไรไม่ถูกต้องปรึกษาหัวหน้าว่าจะทำอย่างไร หัวหน้ามาถึงก็พูดคุยนิดหน่อยก็ยอมให้เปลี่ยนด้วยเหตุผลที่ว่า ไก่งวงของเราทำให้การฉลองของครอบครัวคุณยายไม่สนุก (เล่าด้วยน้ำเสียงจริงจัง) เปลี่ยนไก่ให้ยังไม่พอ หัวหน้าผมยังบอกคุณยายอีกว่าหากคุณยายและครอบครัวจะไปทานอาหารที่ไหนขอให้นำใบเสร็จมาให้ทางบริษัท เราจะรับผิดชอบที่เป็นสาเหตุให้ปาร์ตี้ครั้งนั้นไม่สนุก ตรงนี้ผมรู้สึกได้ว่าเป็นการดูแลลูกค้าที่ได้ใจจริงๆ”
หลังจากกลับมาเมืองไทยชาติได้เข้ามาเป็นผู้จัดการร้าน Mark & Spencer ที่เซ็นทรัล ชิดลม แต่การที่เขาตัดสินใจไปทำงานกับจีอีแคปปิตอล ช่วยให้มีประสบการณ์มหาศาลทั้งเรื่องการบริหารข้อมูล และที่สำคัญคือการได้ไปดีลงานกับบริษัทรถยนต์ของเยอรมัน เพื่อนำรถยนต์เยอรมันมาทำลิซซิ่ง
"ก่อนหน้าผมก็มีเจ้าหน้าที่ไปเจรจาต่อรองแล้วแต่ไม่สำเร็จ โชคดีที่ผมเดินทางไปต่างประเทศบ่อยทำให้เราได้เรียนวัฒนธรรมและสไตล์ของคนแต่ละประเทศ การดีลครั้งนั้นผมทำสำเร็จก็เพราะรู้ว่าคนเยอรมันชอบอะไรที่ตรงไปตรงมา อะไรทำได้หรือไม่ได้ก็บอกเขาตามตรง เรื่องที่ว่ายากจึงง่ายและจบลงอย่างสวยงาม"
10 กว่าปีของการทำงาน ชาติสั่งสมประสบการณ์ครบวงจรของธุรกิจค้าปลีก พร้อมกับพ่วงเรื่องการเจรจาต่อรองที่ได้จากจีอีแคปปิตอลมาด้วย ดังนั้น ในปี 2007 เมื่อเซ็นทรัลกรุ๊ปมีแผนลงทุนเปิดห้างในแบบลัชชูรี่ ทศ ผู้พี่ที่กุมบังเหียนเซ็นทรัลกรุ๊ป ที่เล็งเห็นศักยภาพของน้องชายคนนี้จึงมอบหมายภารกิจนี้ให้กับ “ชาติ” “จริงอยู่จิราธิวัฒน์มีหลายครอบครัว แต่พวกเราคือครอบครัวเดียวกัน การที่คุณทศเลือกผม อาจเป็นเพราะผมเคยทำลิซซิ่ง ดูแลอินเตอร์เนชั่นแนลแบรนด์มาก่อนมากกว่า หรือไม่อีกทีก็เพราะคุณทศเห็นผมใช้เงินเก่ง (หัวเราะ) ชอบใช้ของดีๆเลยมอบงานนี้ให้ผมทำ ซึ่งผมก็ดีใจที่ได้ทำ”
เมื่อได้รับมอบหมายงานแล้ว ชาติยอมรับว่าเขามีความคาดหวังกับเซ็นทรัลเอ็มบาสซี่มาก เพราะโจทย์ที่ได้นั้นยากสุด ๆ ท้าทายมากที่เขาจะต้องสร้างซูเปอร์พรีเมี่ยมรีเทล ซึ่งไม่ใช่มีแต่แบรนด์เนมเท่านั้น แต่ต้องมีไลฟ์สไตล์เหนือระดับที่ไม่เคยมีในเมืองไทยมาก่อน ตลอด 7 ปีเขามุ่งมั่นกับโปรเจคนี้ตั้งแต่การก่อสร้างที่ผสมผสานงานศิลปะที่เข้าไปอยู่ในทุกรายละเอียดของการออกแบบ การเลือกแบรนด์ สินค้า ตลอดจนการเจรจาติดต่อร้านค้าทั้งหมดกว่า 90 %ด้วยตัวเองที่จะมาอยู่ในห้างแห่งนี้ ซึ่งก็ต้องไม่ธรรมดาเพราะทุกร้านจะต้องลงทุนจำนวนมหาศาลทุ่มให้กับการออกแบบที่ต้องแปลกไปจากที่อื่น ๆ ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะให้สินค้าแบรนด์เนมที่ขายดีอยู่แล้วมาลงทุน แต่หนุ่มชาติก็ใช้ศิลปะในการเจรจาต่อรองจนสำเร็จ
“ผมใส่เนื้อใส่ใจลงไปกับงานชิ้นนี้ทั้งหมด แต่ผมบอกไม่ได้ว่าจะออกดีหรือไม่ คนที่จะบอกคือคนที่มาใช้บริการ เหมือนผู้กำกับหนังก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะบอกว่าหนังของตัวเองดี คนชมต่างหากที่จะเป็นคนตัดสิน ดังนั้นผู้กำกับภาพยนตร์จะเครียดที่สุดในวันฉายหนังรอบปฐมทัศน์ เพราะทันทีที่หนังฉายจบ ถ้าเขาได้ยินเสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่วโรงภาพยนตร์นั่นหมายถึงเขาสอบผ่านแล้ว”
และวันที่ 8 พฤษภาคมนี้ เซ็นทรัลเอ็มบาสซี่ จะได้ฤกษ์เปิดตัวให้คนภายนอกได้เห็นและสัมผัสแล้ว ผลงานของนักบริหารที่ชื่อ ชาติ จิราธิวัฒน์ จะสอบผ่านหรือไม่ ลูกค้าเท่านั้นที่จะเป็นคนให้คะแนน