เมื่อสองสัปดาห์ก่อน คอลัมน์นี้เสนอว่าแนวคิดเศรษฐกิจกระแสหลักไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ต้องใช้แนวคิดเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง ต่อจากนั้นมีการตอบโต้กันยืดยาวส่วนหนึ่งเพราะการเข้าใจไม่ตรงกันว่าแนวคิดเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงนั้นมีกรอบและส่วนประกอบอย่างไร ในฐานะที่ได้ศึกษาเรื่องนี้มาเกินสิบปีแล้วและได้เขียนไว้ในหลายโอกาส ขอนำบทความหนึ่งมาเสนออีกครั้งหลังจากปรับเปลี่ยนบ้างเล็กน้อย บทนี้เคยตีพิมพ์ครั้งแรกในหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ ระหว่างวันที่ 11-18 มิถุนายน 2550 และพิมพ์ซ้ำในภาคผนวกของหนังสือชื่อ “มองเมืองไทย : จากสิบปีของการใช้หนี้แผ่นดิน” ผู้ที่ต้องการรายละเอียดมากกว่านี้อาจไปอ่านหนังสือชื่อ “สู่ความเป็นอยู่แบบยั่งยืน” และ “ทางข้ามเหว : แนวคิดสำหรับแก้วิกฤติไทย” ซึ่งดาวน์โหลดได้จากเว็บไซต์ “มูลนิธินักอ่านบ้านนา.com”
เศรษฐกิจพอเพียง : จากการวิวัฒน์สู่แนวปฏิบัติ
บทนำ ก่อนอื่นขอทำความเข้าใจร่วมกันว่า “เศรษฐกิจ” เกิดขึ้นเพราะทรัพยากรมีจำกัด “เศรษฐ” มีรากมาจากภาษาบาลีและสันสกฤตซึ่งมีความหมายว่า “ดีที่สุด” เศรษฐกิจจึงเป็นการกระทำที่นำไปสู่การใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อมนุษยชาติและเศรษฐศาสตร์เป็นวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับการกระทำนั้น มนุษย์เรามีแรงจูงใจที่จะใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุดและเราเรียกกิจกรรมที่ทำให้ทรัพยากรซึ่งมีอยู่อย่างจำกัดเกิดประโยชน์สูงเป็นการกระทำที่มีประสิทธิภาพสูง
มนุษย์เราต่างกับสัตว์หลายด้าน ความแตกต่างสำคัญอันเป็นที่มาของระบบเศรษฐกิจแนวตลาดเสรีคือ เมื่อเรามีอะไรเหลือกินเหลือใช้ เรามีแรงจูงใจที่จะนำสิ่งเหล่านั้นมาแลกเปลี่ยนกัน พฤติกรรมนี้ไม่มีในสัตว์ นอกจากนั้นเราต้องการที่จะทำกิจกรรมได้อย่างเสรี รวมทั้งการนำสิ่งที่เรามีมาแลกเปลี่ยนกันด้วย กระบวนการแลกเปลี่ยนกันนี้มีสิ่งที่เราเรียกว่า “ตลาด” เป็นสื่อกลาง ตลาดอาจมีห้างร้านหรือสถานที่ซึ่งเอื้อให้ผู้ขายและผู้ซื้อพบหน้ากัน หรืออาจไม่มีสถานที่เช่นนั้นก็ได้ เช่น ตลาดซื้อขายหุ้นและเงินตราซึ่งผู้ซื้อและผู้ขายไม่จำเป็นต้องเห็นหน้ากัน
ระบบเศรษฐกิจตลาดเสรีมีฐานอันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ ฐานนั้นจึงมั่นคงยังผลให้ระบบเศรษฐกิจแนวนี้มีโอกาสยั่งยืนสูงกว่าระบบอื่น เช่น ระบบคอมมิวนิสต์ซึ่งจำกัดสิทธิเสรีภาพอันเป็นการขัดธรรมชาติของมนุษย์
วิวัฒนาการของสังคมมนุษย์และแนวคิดทางเศรษฐกิจ ย้อนไปในอดีต บรรพบุรุษของมนุษย์ดำเนินชีวิตด้วยการเก็บของป่า ล่าสัตว์ และอยู่กับธรรมชาติโดยปราศจากการดัดแปลงอย่างจริงจังจนกระทั่งราว 1 หมื่นปีที่ผ่านมา เมื่อมีการค้นพบวิธีเพาะปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ในย่านตะวันออกกลาง ต่อด้วยในเมืองจีนและส่วนอื่นของโลก ความสามารถในการปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงแบบก้าวกระโดด หรือการปฏิวัติ ในวิถีชีวิตของมนุษย์ นั่นคือ เกิดการตั้งชุมชนถาวรแทนการเร่ร่อนไปตามฤดูกาลเพื่อเก็บของป่าและล่าสัตว์ การรู้จักปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ทำให้มนุษย์ผลิตอาหารได้มากจนเรียกว่าเป็นการปฏิวัติเกษตรกรรมซึ่งนำไปสู่การเพิ่มของประชากรอย่างรวดเร็ว กระบวนการนี้เอื้อให้สมาชิกบางส่วนของชุมชนมีเวลาเหลือเพื่อทำกิจกรรมอื่นซึ่งนำไปสู่การคิดค้นจนเกิดความก้าวหน้าในศาสตร์ต่างๆ รวมทั้งการประดิษฐ์ภาษาเขียนด้วย
ความเปลี่ยนแปลงแบบก้าวกระโดดหรือการปฏิวัติเกษตรกรรมครั้งนั้นบางทีมีผู้เรียกว่า “คลื่นลูกที่ 1”
คลื่นลูกนั้นเป็นพลังผลักดันให้เกิดวิวัฒนาการต่อมา นั่นคือ ความก้าวหน้าในศาสตร์และเทคโนโลยีต่างๆ ซึ่งนำไปสู่การสร้างอารยธรรมขึ้นในหลายส่วนของโลก อารยธรรมเหล่านั้นใช้ระบบเศรษฐกิจแนวตลาดเสรีอันมีฐานเป็นธรรมชาติอยู่แล้วเป็นหลัก อย่างไรก็ดี มีบางแง่ที่ไม่เป็นเสรีอย่างแท้จริง เช่น การจับมนุษย์เป็นทาส อารยธรรมเหล่านั้นมีทั้งการติดต่อค้าขายและการรุกรานกัน บางอารยธรรมล่มสลายแล้วมีอารยธรรมใหม่เกิดขึ้นแทนที่ หลังจากเวลาผ่านไปหลายพันปีจึงมีการปฏิวัติ หรือการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ในวิถีชีวิตของมนุษย์อีกครั้ง การเปลี่ยนแปลงแบบก้าวกระโดดครั้งนี้มีชื่อว่าการปฏิวัติอุตสาหกรรม ปัจจัยที่ก่อให้เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรมได้แก่ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีซึ่งเริ่มเมื่อ 250-300 ปีที่ผ่านมา ความก้าวหน้าเหล่านั้นนำไปสู่การประดิษฐ์เครื่องจักรกลเพื่อใช้แทนแรงคน แรงสัตว์และพลังทางธรรมชาติอื่นๆ ที่ใช้กันในสมัยก่อน
การเปลี่ยนแปลงอันเกิดจากเครื่องจักรกลนี้บางทีมีผู้เรียกว่า “คลื่นลูกที่ 2”
ช่วงต้นๆ ของการปฏิวัติอุตสาหกรรมไม่ได้ทำให้แนวคิดทางเศรษฐกิจเปลี่ยนไปมากนัก สังคมต่างๆ ยังอิงหลักของตลาดเสรี และในช่วงนี้เองที่ปราชญ์พยายามศึกษาการทำงานของตลาดเสรีและกฎเกณฑ์ที่จะทำให้มันมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น หรือทำทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดให้มีประโยชน์สูงขึ้น ในจำนวนนี้มีปราชญ์ชาวสกอตชื่อ อดัม สมิธ รวมอยู่ด้วย อดัม สมิธ รวบรวมการศึกษาเกี่ยวกับการทำงานของเศรษฐกิจแนวตลาดเสรีขึ้นอย่างเป็นระบบและพิมพ์ออกมาในหนังสือชื่อ The Wealth of Nations เมื่อปี พ.ศ. 2319 หนังสือซึ่งหนากว่า 1,100 หน้าเล่มนี้จึงเป็นต้นตำรับของระบบตลาดเสรีที่เราเข้าใจกันอยู่ในปัจจุบัน
เครื่องจักรกลต่างๆ ก่อให้เกิดโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ซึ่งผลิตสินค้าใหม่ๆ ออกมาได้จำนวนมหาศาล โรงงานเหล่านั้นมักเกิดขึ้นในย่านชุมชนเมืองและต้องการคนงานสูงจึงเป็นแรงจูงใจให้ชาวชนบทอพยพเข้าเมืองกันขนานใหญ่ ยังผลให้ชุมชนเมืองขยายออกไปอย่างรวดเร็วพร้อมๆ กับเกิดความแออัดเพิ่มขึ้น
การผลิตสินค้าใหม่ๆ ออกขายได้จำนวนมหาศาลยังผลให้เจ้าของโรงงานมั่งคั่งขึ้นอย่างเป็นกอบเป็นกำ ทว่ามันไม่ทำให้ผู้ใช้แรงงานมั่งคั่งขึ้นด้วย ฉะนั้นการปฏิวัติอุตสาหกรรมจึงนำไปสู่การแยกคนออกเป็นสองชนชั้นอย่างแจ้งชัด นั่นคือ ชนชั้นนายทุนซึ่งเป็นกลุ่มเล็กๆ ที่ร่ำรวยจากการเป็นเจ้าของกิจการใหญ่ๆ โดยเฉพาะโรงงานอุตสาหกรรม และชนชั้นกรรมกรซึ่งมีจำนวนมากและยากจนเพราะมักถูกนายทุนเอาเปรียบ ในขณะที่ชนชั้นนายทุนมีความเป็นอยู่อย่างหรูหรา ชนชั้นกรรมกรมักอยู่กันอย่างแออัดในย่านของเมืองที่เสื่อมโทรมและมีบริการสังคมเพียงจำกัด
สภาพเช่นนั้นวิวัฒน์ไปหลายทศวรรษก่อนที่จะมีปราชญ์สองคนเสนอทางแก้ไขคือ คาร์ล มาร์กซ์ และ ฟรีดริก เองเกลส์ ซึ่งพิมพ์แนวคิดระบบคอมมิวนิสต์ออกมาเมื่อปี พ.ศ. 2391 ชื่อ The Communist Manifesto ระบบคอมมิวนิสต์ต้องการกำจัดความเหลื่อมล้ำของคนสองชนชั้นอันเกิดจากระบบตลาดเสรีซึ่งประชาชนมีสิทธิ์ถือครองสินทรัพย์และผลิตสิ่งต่างๆ ตามความต้องการของผู้บริโภค โดยการให้รัฐยึดครองสินทรัพย์ทั้งหมดและเป็นผู้ออกคำสั่งให้ประชาชนผลิตสิ่งต่างๆ ตามที่รัฐเห็นว่ามีประโยชน์สูงสุด ระบบคอมมิวนิสต์จึงต่างกับแนวคิดตลาดเสรีชนิดที่อยู่คนละขั้ว
ระบบคอมมิวนิสต์ถูกนำมาใช้เป็นครั้งแรกในรัสเซียหลังการปฏิวัติเมื่อปี พ.ศ. 2460 และขยายออกไปในหลายประเทศโดยเฉพาะเมื่อรัสเซียแผ่อาณาเขตและอำนาจออกไปเป็นสหภาพโซเวียตหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดในปี พ.ศ. 2488 สหภาพโซเวียตก้าวหน้ามาได้หลายทศวรรษก่อนที่จะเริ่มประสบปัญหาหนักหนาสาหัสจนล่มสลายไปในปี พ.ศ. 2534 ทำให้การใช้ระบบคอมมิวนิสต์อย่างกว้างขวางเป็นครั้งแรกล่มสลายไปด้วย ปัจจัยที่ทำให้เกิดการล่มสลายได้แก่ระบบนี้มีฐานอยู่บนการบังคับซึ่งผิดธรรมชาติของมนุษย์ดังที่กล่าวถึงแล้ว ในปัจจุบันนี้โลกจึงมีระบบตลาดเสรีเป็นเศรษฐกิจกระแสหลัก
ก่อนที่สหภาพโซเวียตจะล่มสลายไม่นานโลกเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงในระดับปฏิวัติอีกครั้ง การปฏิวัติครั้งล่าสุดนี้มีเทคโนโลยีดิจิตอลและคอมพิวเตอร์เป็นหัวจักรขับเคลื่อน เทคโนโลยีดิจิตอลเข้ามาแทนที่แรงสมองของคนเฉกเช่นเครื่องจักรกลเข้ามาแทนที่แรงงาน มันเอื้อให้การคิดคำนวณและการส่งข่าวสารข้อมูลทำได้อย่างฉับพลันและผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบก้าวกระโดดในสังคมมนุษย์อีกครั้ง
การเปลี่ยนแปลครั้งหลังนี้บางทีมีผู้เรียกว่าการปฏิวัติสารสนเทศ และบางทีก็มีผู้เรียกว่า “คลื่นลูกที่ 3”
ความบกพร่องของเศรษฐกิจกระแสหลักและทางแก้ไข ในปัจจุบันนี้ทุกประเทศทั่วโลกยกเว้นเกาหลีเหนือและคิวบายึดระบบตลาดเสรีเป็นแนวบริหารจัดการเศรษฐกิจ อย่างไรก็ดี การใช้ระบบนี้มีความแตกต่างกันออกไปในรายละเอียดโดยเฉพาะด้านบทบาทของรัฐ อดัม สมิธ เสนอให้รัฐจำกัดบทบาทของตนให้อยู่เฉพาะในสิ่งที่จำเป็นจริงๆ เท่านั้น นั่นคือ ทำเฉพาะในสิ่งที่เอกชนไม่ควรทำ เช่น การบริหารและการป้องกันประเทศและการดำเนินงานด้านการควบคุมกระบวนการยุติธรรม อย่างไรก็ตาม ประเทศที่จำกัดบทบาทของรัฐตามคำเสนอแนะของ อดัม สมิธ มีเพียงส่วนน้อย
ทั้งที่มีฐานมั่นคงและอยู่คู่กับสังคมมนุษย์มาช้านาน ระบบตลาดเสรีมีข้อบกพร่องหลายอย่างซึ่งสร้างปัญหาขึ้น หากไม่แก้ไขปัญหานั้นจะทำให้สังคมมนุษย์ไม่ยั่งยืน
ในปัจจุบันปัญหาสำคัญยิ่งเป็นผลมาจากการแสวงหากำไรที่นำไปสู่ความร่ำรวยแบบไร้จริยธรรมและการบริโภคแบบสุดโต่ง
เท่าที่ผ่านมาการแสวงหากำไรและการบริโภคเป็นหัวจักรสำคัญของการขับเคลื่อนความก้าวหน้าต่างๆ ความจริงข้อนี้เป็นที่ยอมรับของปราชญ์รวมทั้ง อดัม สมิธ เองด้วย อย่างไรก็ตามในสมัยของ อดัม สมิธ โลกมีประชากรเพียง 800 ล้านคนและโดยเฉลี่ยแต่ละคนบริโภคน้อยกว่าประชากรในปัจจุบันซึ่งมีกว่า 7 พันล้านคนและยังเพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง อีกทั้งแต่ละคนยังต้องการบริโภคเพิ่มขึ้นด้วย
เนื่องจากทรัพยากรมีจำกัด ประเด็นจึงอยู่ที่ว่าถ้าประชากรโลกต้องการบริโภคแบบเกินความจำเป็นสูงมากดังที่ชาวอเมริกันทำกันในปัจจุบันนี้ เราจะเอาทรัพยากรที่ไหนมาสนองความต้องการอย่างเพียงพอ ในขณะนี้มีชาวโลกเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่บริโภคในระดับเดียวกับชาวอเมริกัน แต่โลกก็เริ่มขาดทรัพยากรจนถึงกับทำสงครามแย่งชิงกันแล้ว สงครามในตะวันออกกลางระหว่างอิสราเอลกับชาวอาหรับหลายครั้งมีการแย่งน้ำเป็นปัจจัยหนึ่งซึ่งซ่อนอยู่เบื้องหลัง สาเหตุสำคัญที่รัฐบาลอเมริกันส่งทหารเข้าไปในอิรักคือการครอบครองน้ำมันในย่านตะวันออกกลาง
เทคโนโลยีใหม่เอื้อให้การแสวงหากำไรและความร่ำรวยเกิดขึ้นได้อย่างฉับพลัน ผู้ที่มีความสามารถและเข้าถึงข่าวสารข้อมูลได้เร็วสร้างกำไรและความร่ำรวยได้ทันตาเห็นทำให้โลกมีมหาเศรษฐีเพิ่มขึ้นแทบทุกวัน แต่ในขณะเดียวกันความยากจนแสนสาหัสยังแพร่กระจายอยู่ทั่วไปทั้งโลก ความรู้สึกไม่เป็นธรรมอันเกิดจากความเหลื่อมล้ำอย่างร้ายแรงระหว่างประเทศและระหว่างกลุ่มชนต่างๆ ภายในสังคมเดียวกันกำลังสร้างความตึงเครียดทั้งระหว่างประเทศและภายในประเทศ ความตึงเครียดนี้จะผลักดันให้เกิดการรบราฆ่าฟันกันเพิ่มขึ้น
ความบกพร่องของระบบตลาดเสรีเป็นที่รู้กันมานานในหมู่ของปราชญ์รวมทั้ง อดัม สมิธ เองด้วย เนื่องจากเขาเป็นอาจารย์ทั้งทางด้านจริยศาสตร์และเศรษฐศาสตร์ เขาจึงเน้นการแก้ไขโดยการใช้จริยธรรมเป็นหลัก ดังที่อ้างถึงแล้ว ในสมัยของ อดัม สมิธ ประชากรโลกมีเพียง 800 ล้านคน และโดยเฉลี่ยแต่ละคนบริโภคน้อยกว่าในยุคปัจจุบัน ฉะนั้น การที่ปราชญ์ไม่ค่อยแสดงความวิตกถึงความจำกัดของทรัพยากรจึงเป็นสิ่งที่พอเข้าใจได้ แต่ในยุคนี้โลกมีประชากรกว่า 7 พันล้านคนและเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ถ้าทุกคนบริโภคเกินความจำเป็นมากๆ โลกย่อมไม่มีทรัพยากรเพียงพอ ความจริงข้อนี้เป็นที่ยอมรับในหมู่ของปราชญ์และกระตุ้นให้เกิดการแสวงหาทางแก้ไข เศรษฐกิจพอเพียงเป็นผลของการแสวงหานี้และเป็นแนวคิดที่จะแก้ปัญหาได้ตรงจุดที่สุด
กรอบและส่วนประกอบของแนวคิดเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง เศรษฐกิจพอเพียงมีส่วนประกอบสำหรับพิจารณา 5 ด้านด้วยกันคือ การมีความรู้ การมีคุณธรรม/จริยธรรม การมีความพอประมาณ การมีเหตุผลและการมีภูมิคุ้มกัน
“ความรู้” เป็นส่วนประกอบที่มีขอบเขตกว้างมาก จึงจะยกมาเพียง 3 ด้านเท่านั้น ด้านแรกเป็นความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการดำเนินชีวิต เช่น รู้ว่าร่างกายต้องการอะไรในแต่ละวัน อาหารชนิดไหนมีประโยชน์ สิ่งไหนให้โทษต่อร่างกาย สิ่งแวดล้อมชนิดไหนควรหลีกเลี่ยง ปริมาณของการออกกำลังกายและการพักผ่อน เป็นต้น
ด้านที่สองเกี่ยวกับความรู้ทางด้านเทคนิคสำหรับประกอบอาชีพ ความรู้ด้านนี้ส่วนใหญ่ได้จากการเรียนในสถาบันการศึกษาเสริมด้วยการฝึกฝนนอกสถาบันและการเรียนรู้ด้วยตัวเอง ในยุคปัจจุบันองค์ความรู้ด้านเทคนิคเปลี่ยนแปลงเร็วมาก ฉะนั้น การเรียนรู้ตลอดชีวิตเป็นหลักที่จะต้องถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ความรู้ด้านเทคนิคและหลักการเรียนรู้ตลอดชีวิตเป็นที่ยอมรับว่าเป็นส่วนประกอบสำคัญของระบบตลาดเสรีมานานแล้ว อดัม สมิธ จึงเขียนไว้อย่างละเอียดในหนังสือของเขาเรื่อง The Wealth of Nations นอกจากนั้นเขาเองเป็นแบบอย่างที่ดีของผู้ที่ศึกษาหาความรู้ตลอดชีวิตถึงขนาดก่อนตายเขาแสดงความเสียใจว่าเขายังศึกษาบางวิชาไม่สำเร็จ
ด้านที่สามเกี่ยวกับข่าวสารข้อมูลซึ่งมีความสำคัญต่อการทำงานของตลาดเสรี นั่นคือ ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายในตลาดจะต้องมีข่าวสารข้อมูลทัดเทียมกัน มิฉะนั้นจะเกิดการเอาเปรียบและการผูกขาดซึ่งจะทำให้ตลาดขาดประสิทธิภาพ ข่าวสารข้อมูลส่วนใหญ่ได้มาจากการติดตามวิวัฒนาการด้านต่างๆ ทั่วโลกโดยเฉพาะจากการอ่าน ในยุคของ อดัม สมิธ การอ่านและการเข้าร่วมสมาคมเพื่อพบปะกับสมาชิกในสังคมเป็นวิธีติดตามข่าวสารข้อมูลหลักซึ่งเขาถือปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ ในยุคนี้ระบบอินเทอร์เน็ตมีข่าวสารที่ทันกับเหตุการณ์ ฉะนั้นการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตมีความสำคัญยิ่ง นอกจากนั้นในยุคนี้มีการชักจูงด้วยวิธีต่างๆ อย่างเข้มข้นให้คนคิดว่าตนมีความจำเป็นที่จะต้องใช้สินค้าใหม่ๆ ทั้งที่ไม่มีความจำเป็นเลย ผู้ถูกชักจูงจะต้องรู้ทัน
“คุณธรรม/จริยธรรม” เป็นฐานของการอยู่ร่วมกันในสังคม เรื่องนี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด อดัม สมิธ เองย้ำเน้นเรื่องนี้เป็นพิเศษถึงกับเขียนหนังสือออกมาเล่มหนึ่งชื่อ The Theory of Moral Sentiments เพื่อเป็นตำราวิชาจริยศาสตร์ และแสดงความวิตกออกมาอย่างแจ้งชัดว่าการแสวงหากำไรเพื่อให้ได้มาซึ่งความมั่งคั่งและการบูชาคนรวยจะนำไปสู่ความเสื่อมของคุณธรรม/จริยธรรม นอกจากมีความรู้ชั้นปราชญ์แล้ว อดัม สมิธ เป็นผู้ดำเนินชีวิตอยู่ในกรอบของคุณธรรม/จริยธรรมอย่างเคร่งครัด ครอบครัวขุนนางชั้นสูงของอังกฤษครอบครัวหนึ่งจึงจ้างให้เขาเป็นครูแบบกินอยู่ประจำเพื่อสอนเด็กในครอบครัว
ส่วนประกอบอีกสามด้านเกี่ยวพันกันสูงมาก “ความพอประมาณ” เป็นส่วนประกอบที่ให้นิยามแบบเฉพาะเจาะจงได้ยาก จึงจะกล่าวถึงต่อไปในตอนที่เกี่ยวกับแนวปฏิบัติ
“ความมีเหตุผล” มีความหมายแจ้งชัดภายในตัวของมันเองอยู่แล้ว โดยธรรมชาติมนุษย์เรามีทั้งอารมณ์และเหตุผล การดำเนินชีวิตประจำวันต้องวางอยู่บนฐานของเหตุผล คนเราจึงจะอยู่ได้อย่างสงบสุข
“ภูมิคุ้มกัน” มีความสำคัญยิ่งขึ้นในยุคนี้เพราะมีความเสี่ยงสูง ในยุคก่อนซึ่งคนส่วนใหญ่ทำหลายอย่างเป็นและดำเนินชีวิตบนฐานของการร่วมมือกันในครอบครัวขนาดใหญ่และในชุมชน ความเสี่ยงมีค่อนข้างต่ำ แต่ยุคปัจจุบันยึดการแบ่งงานกันทำเป็นหลัก คนส่วนใหญ่จึงทำได้เพียงอย่างเดียว พร้อมกันนั้นสภาพสังคมได้เปลี่ยนไปจากการมีครอบครัวขนาดใหญ่ที่มีคนหลายรุ่นอยู่ร่วมกันและช่วยเหลือกัน เป็นครอบครัวขนาดเล็กที่มีคนเพียงรุ่นเดียวหรือสองรุ่นเท่านั้น และจากชุมชนขนาดเล็กที่ช่วยเหลือเกื้อกูลกันเป็นชุมชนขนาดใหญ่ที่มีลักษณะของการต่างคนต่างอยู่ ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นสร้างความจำเป็นที่จะต้องมีการบริหารจัดการความเสี่ยง
ส่วนประกอบ 3 ด้านนี้มีอยู่ในหลักของระบบตลาดเสรีแต่ไม่ได้รับการเน้นย้ำเพราะสภาพสังคมในสมัยก่อนต่างกับในสมัยนี้ดังที่กล่าวถึงแล้ว เช่น มีประชากรน้อย มีครอบครัวขนาดใหญ่และชุมชนขนาดเล็กที่มีการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน นอกจากนั้น อดัม สมิธ มีชีวิตอยู่ในยุคที่มีชื่อว่า The Age of Reason ฉะนั้นการมีเหตุผลเป็นสิ่งที่ปราชญ์อาจเห็นว่าไม่จำเป็นที่จะต้องเน้นย้ำ
อย่างไรก็ตาม อดัม สมิธ เองปฏิบัติตัวภายในกรอบของส่วนประกอบเหล่านี้ทั้งที่เขาเองไม่ได้แยกแยะมันออกมาโดยเฉพาะ เช่น เขาดำเนินชีวิตอย่างเรียบง่ายทั้งที่มีรายได้สูง เขาอุปการะแม่เมื่อยามแก่เฒ่าพร้อมกับส่งเสียหลานๆ ให้มีการศึกษา เขาต้องการคืนเงินบำนาญทั้งหมดที่เขาได้รับจากครอบครัวขุนนางที่จ้างเขาเป็นครูสอนเด็กเมื่อเขาได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งที่มีรายได้สูง เมื่อครอบครัวขุนนางไม่ยอมรับบำนาญคืน เขาก็ใช้รายได้นั้นซื้อตำรับตำราเพื่อศึกษาวิชาต่างๆ เพิ่มขึ้น อาจกล่าวได้ว่า อดัม สมิธ ดำเนินชีวิตตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงเพราะเขาเป็นปราชญ์ที่ตระหนักดีถึงความบกพร่องของระบบตลาดเสรีที่เขาศึกษาอย่างแตกฉาน
แนวปฏิบัติเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อให้เกิดผลในการแก้ไขความบกพร่องของระบบตลาดเสรี เราจะต้องนำแนวคิดเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงไปปฏิบัติทั้งในระดับบุคคลและในระดับประเทศ หรือในอีกนัยหนึ่งการพัฒนาประเทศจะประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืนได้ก็ต่อเมื่อประชาชนส่วนใหญ่ยึดแนวคิดนี้เป็นหลักปฏิบัติ และเมื่อแต่ละประเทศพัฒนาได้อย่างยั่งยืน มนุษยชาติย่อมอยู่ต่อไปได้อย่างยั่งยืนด้วย
ประชาชนอาจตัดสินใจดำเนินชีวิตตามแนวคิดเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงด้วยตัวเองเพราะความเข้าใจในความถูกต้องของมัน ในขณะเดียวกันรัฐบาลก็ควรมีนโยบายสำหรับสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนดำเนินชีวิตตามแนวคิดนี้พร้อมกันไปด้วย แนวคิดนี้มีทั้งความกว้างและความลุ่มลึก จึงทำให้ไม่สามารถที่จะนำมาขยายได้ทุกแง่มุม นอกจากตัวอย่างดังที่จะกล่าวถึงต่อไปเท่านั้น
เนื้อหาของตอนที่ผ่านเน้นการปฏิบัติในระดับบุคคลเป็นส่วนใหญ่และหลายครั้งนำ อดัม สมิธ ผู้เป็นเสมือนบิดาของเศรษฐกิจระบบตลาดเสรีมาเป็นตัวอย่าง เนื่องจากความ “พอประมาณ” เป็นส่วนประกอบสำคัญซึ่งยากแก่การให้นิยาม จึงขอยกตัวอย่างของความพอประมาณซึ่งวางอยู่บนฐานของความรู้มาเสนอ ดังนี้
จะดำเนินชีวิตอย่างไรจึงจะเรียกว่ากระทำตามความพอประมาณอาจพิจารณาบนฐานของความ “เพียงพอ” และ “พอเพียง”
ความ “เพียงพอ” เป็นเรื่องของร่างกาย ส่วนความ “พอเพียง” เป็นเรื่องของจิตใจ ซึ่งหมายความว่าทุกคนควรหมั่นแสวงหาให้ได้มาซึ่งสิ่งที่จำเป็นเบื้องต้นสำหรับร่างกายด้วยวิธีที่สังคมยอมรับ เมื่อได้มาครบถ้วน เราเรียกว่า “เพียงพอ” และเมื่อได้ทุกอย่างเพียงพอแล้วก็รู้สึกพอใจ เราเรียกสภาพนั้นว่า “พอเพียง”
อย่างไรก็ตาม ในกรณีของผู้ที่มีรายได้สูงมากจากการทำงานตามปกติหรือจากสินทรัพย์ที่มีอยู่ก่อนแล้ว เขาอาจจะมีสิ่งที่นอกเหนือความจำเป็นเบื้องต้นของร่างกายบ้างก็ได้ เช่น การจัดงานวันเกิดซึ่งมีขนมเค้ก การนอนในห้องที่มีเครื่องปรับอากาศ หรือการไปพายเรือเพื่อความสนุกสนาน แต่สิ่งที่เขามีหรือบริโภคนอกเหนือจากความจำเป็นเบื้องต้นนี้จะต้องไม่เกิดจากความกระเสือกกระสนที่จะหามาด้วยความโลภ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อบริโภคอย่างเมามันหรือเพื่อแข่งขันและอวดอ้างความมั่งมีกับผู้อื่น
ในระดับพื้นฐานความต้องการของร่างกายถูกกำหนดขึ้นโดยธรรมชาติว่าจะต้องมีอย่างน้อยปัจจัย 4 อันได้แก่อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัยและยารักษาโรค สิ่งเหล่านี้ทุกคนจะต้องมีอย่างครบถ้วนตามที่ธรรมชาติกำหนดมาจึงจะเรียกได้ว่ามีความ “เพียงพอ” เช่น เรื่องอาหาร จริงอยู่เราอาจไม่รู้อย่างละเอียดยิบว่าร่างกายต้องการอะไรในแต่ละวันและอาหารจานไหนให้อะไรแก่เราบ้าง แต่การศึกษาบอกเราว่าถ้าเรารับประทานอาหารหลากหลายและให้ครบทุกหมวดหมู่ โอกาสที่ร่างกายของเราจะได้รับทุกอย่างครบถ้วนมีอยู่สูง นั่นหมายความว่าถ้าเราเลือกได้ เราควรศึกษาให้เกิดความเข้าใจพร้อมกับมีวินัยสูงพอที่จะเลือกรับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางอาหารสูง ในปริมาณพอควร ไม่มากเกินไปจนก่อให้เกิดความอ้วน และไม่เลือกรับประทานอาหารเพราะความอร่อยหรือความทันสมัยโดยไม่คำนึงถึงคุณค่าของมัน
เกี่ยวกับประเด็นนี้มีเรื่องจริงที่จะยกมาเป็นอุทาหรณ์คือ หนุ่มชาวบ้านในย่านอยุธยาซึ่งอุดมสมบูรณ์ไปด้วยปลาและพืชผักพื้นบ้านบ่นว่าอาหารที่ทำด้วยส่วนประกอบเหล่านั้นไม่ทันสมัย เขาจึงมักขับมอเตอร์ไซค์เข้าไปในตลาดเพื่อให้เจ้าของร้านต้มอาหารที่ทันสมัยให้เขารับประทาน อาหารนั้นได้แก่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป อีกเรื่องหนึ่งเป็นความสัมพันธ์ระหว่างหลานกับป้า ด้วยความรัก ป้าจึงมักพาหลานออกไปรับประทานอาหารนอกบ้าน หลานจะเลือกรับประทานไก่ทอดเคเอฟซีทั้งที่ไก่ย่าง ส้มตำและข้าวเหนียวก็มีขายในย่านเดียวกัน
จริงอยู่เราอาจไม่รู้ข้อมูลที่แยกแยะคุณค่าของอาหารเหล่านั้นอย่างละเอียดยิบ แต่ข้อมูลที่เราพอรู้อยู่บ้างบ่งว่า บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปจำพวกมาม่ามีคุณค่าน้อยกว่าอาหารพื้นบ้านของชาวอยุธยา ไม่ว่าจะเป็นจำพวกน้ำพริกผักต้มหรือแกงส้มผักกระเฉดที่รับประทานกับข้าวสวย ส่วนไก่และมันฝรั่งทอดจิ้มซอสมะเขือเทศมีคุณค่าต่ำกว่าไก่ย่าง ส้มตำและข้าวเหนียว การได้รับประทานอาหารจำพวกมาม่าและไก่ทอดเคเอฟซีเป็นประจำอาจทำให้เกิดความรู้สึกทันสมัยและพอใจ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าผู้รับประทานจะดำเนินชีวิตตามแนวเศรษฐกิจพอเพียงเพราะเขาอาจไม่ได้รับคุณค่าทางอาหารอย่างครบถ้วน หรือ “เพียงพอ” ตามความต้องการของร่างกาย
หลักการพิจารณาไม่แตกต่างออกไปสำหรับปัจจัยพื้นฐานอีกสามอย่างและปัจจัยอื่นที่จำเป็นสำหรับการดำเนินชีวิตในยุคปัจจุบัน เช่น เครื่องมือสื่อสารและการขนส่ง ทุกคนต้องแสวงหามาให้เพียงพอแก่ความจำเป็น เมื่อได้มาแล้วก็มีความพอใจ ไม่กระเสือกกระสนแสวงหามาเพื่อสะสมหรือเพื่อแข่งขันกับผู้อื่น เช่น การมีบ้านใหญ่โต มีเครื่องแต่งกายหลายร้อยอย่างพร้อมทั้งเครื่องประดับหรูหราสารพัด โทรศัพท์มือถือรุ่นล่าสุดและรถยนต์ราคาแพงและแรงม้าสูงเกินความจำเป็น
เรื่องที่เล่ามานี้ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการศึกษา นั่นหมายความว่ารัฐบาลควรมีนโยบายในด้านให้การศึกษาแก่ประชาชนถึงเรื่องสุขภาพและคุณค่าของอาหารชนิดต่างๆ อย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง นอกจากนั้นรัฐบาลควรมีนโยบายสำหรับจูงใจให้เกิดการบริโภคอาหารที่มีคุณค่าสูงมากขึ้นพร้อมๆ กับให้เกิดการบริโภคอาหารที่มีคุณค่าต่ำน้อยลง เนื่องจากเมืองไทยอาศัยกลไกของตลาดเสรีเป็นหลักในการบริหารเศรษฐกิจและประชาชนมีสิทธิ์ที่จะเลือกซื้ออาหารรับประทานได้โดยอิสระ รัฐบาลคงจะใช้นโยบายห้ามขายอาหารที่มีคุณค่าต่ำไม่ได้ แต่รัฐบาลอาจใช้มาตรการอื่น เช่น มาตรการทางภาษีในแนวเดียวกันกับที่เก็บจากบุหรี่และสุรา อาหารมากมายให้คุณค่าต่ำและซ้ำร้ายอาจแฝงอันตรายไว้ด้วย เช่น ของขบเคี้ยวที่มุ่งขายให้แก่เด็กและจำพวกน้ำหวานอัดลม รัฐบาลควรเก็บภาษีอาหารจำพวกนี้ในแนวเดียวกับบุหรี่และสุราเพื่อให้ราคาของมันสูงจนผู้จะซื้อต้องฉุกคิดว่ามันคุ้มค่าของเงินหรือไม่ พร้อมกันนั้นก็อาจมีการเก็บภาษีแบบก้าวหน้าตามราคาของสิ่งต่างๆ รวมทั้งบ้าน เครื่องแต่งกาย เครื่องประดับ โทรศัพท์มือถือ รถยนต์และสินค้าฟุ่มเฟือยอื่นๆ ซึ่งผู้มีรายได้ดีอาจมีไว้ใช้ แต่ต้องเสียภาษีในอัตราที่สูงขึ้น
สรุป มีคำถามเสมอว่าการดำเนินชีวิตตามแนวเศรษฐกิจพอเพียงเป็นไปได้มากน้อยเพียงไร คำถามแนวนี้มีคำตอบซึ่งไม่จำกัดอยู่แค่ในแง่ของปรัชญาอย่างเดียว หากเป็นการดำเนินชีวิตจริงของชุมชนขนาดใหญ่ในสหรัฐอเมริกาและแคนาดาที่ทำต่อเนื่องกันมาเป็นเวลากว่า 300 ปีแล้ว
ชุมชนนั้นชื่อ “อามิช” ซึ่งกระจัดกระจายอยู่ในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา แห่งที่ใหญ่ที่สุดอยู่ในรัฐเพนซิลวาเนียของสหรัฐอเมริกา รายละเอียดการดำเนินชีวิตของชาวอามิชมีมากจึงยากแก่การนำมาเล่าทั้งหมด (เรื่องราวของชาวอามิชมีรายละเอียดอยู่ในหนังสือชื่อ “อเมริกาที่ยังใช้ม้าเทียมไถ” ซึ่งอาจดาวน์โหลดได้จากเว็บไซต์ “มูลนิธินักอ่านบ้านนา.com” หรือจาก www.OpenBase.in.th) อย่างไรก็ตาม ความจริงข้อนี้คงให้ความกระจ่างอย่างเพียงพอ นั่นคือ พวกเขามีชีวิตอยู่ได้อย่างดีและมีความสงบสุขมากกว่าสังคมอเมริกันโดยทั่วไป ทั้งที่ไม่มีเครื่องใช้ไฟฟ้า โทรศัพท์ในบ้าน รถยนต์และเครื่องจักรกลร่วมสมัยทุกชนิด พวกเขายังใช้ม้าลากไถเช่นเดียวกับคนไทยเคยใช้ควายไถนา
กลไกของตลาดเสรีมีอยู่คู่กับสังคมมนุษย์มาตั้งแต่ครั้งโบราณกาลเพราะมันวางอยู่บนฐานของธรรมชาติของมนุษย์ และจะมีต่อไปตราบใดที่มนุษย์ยังอยู่ ส่วนมนุษย์จะอยู่ต่อไปได้ยาวนานเท่าไรขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง รวมทั้งการบริหารจัดการทรัพยากรที่มีอยู่ในโลกอย่างจำกัดด้วย ดังที่เป็นมาตลอดประวัติศาสตร์ แนวคิดต่างๆ วิวัฒน์ไปตามสภาพแวดล้อม ในปัจจุบันนี้โลกมีประชากรราว 9 เท่าของวันที่ อดัม สมิธ คิดเรื่องระบบตลาดเสรีออกมา ในขณะที่ทรัพยากรของโลกถูกใช้จนร่อยหรอลงไปมาก
ฉะนั้น แนวคิดของเศรษฐกิจแนวตลาดเสรีย่อมต้องวิวัฒน์ไปให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมใหม่ด้วย แนวคิดเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงเป็นผลของการวิวัฒน์นั้น จึงเหมาะกับสังคมปัจจุบันอย่างยิ่ง
เศรษฐกิจพอเพียง : จากการวิวัฒน์สู่แนวปฏิบัติ
บทนำ ก่อนอื่นขอทำความเข้าใจร่วมกันว่า “เศรษฐกิจ” เกิดขึ้นเพราะทรัพยากรมีจำกัด “เศรษฐ” มีรากมาจากภาษาบาลีและสันสกฤตซึ่งมีความหมายว่า “ดีที่สุด” เศรษฐกิจจึงเป็นการกระทำที่นำไปสู่การใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อมนุษยชาติและเศรษฐศาสตร์เป็นวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับการกระทำนั้น มนุษย์เรามีแรงจูงใจที่จะใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุดและเราเรียกกิจกรรมที่ทำให้ทรัพยากรซึ่งมีอยู่อย่างจำกัดเกิดประโยชน์สูงเป็นการกระทำที่มีประสิทธิภาพสูง
มนุษย์เราต่างกับสัตว์หลายด้าน ความแตกต่างสำคัญอันเป็นที่มาของระบบเศรษฐกิจแนวตลาดเสรีคือ เมื่อเรามีอะไรเหลือกินเหลือใช้ เรามีแรงจูงใจที่จะนำสิ่งเหล่านั้นมาแลกเปลี่ยนกัน พฤติกรรมนี้ไม่มีในสัตว์ นอกจากนั้นเราต้องการที่จะทำกิจกรรมได้อย่างเสรี รวมทั้งการนำสิ่งที่เรามีมาแลกเปลี่ยนกันด้วย กระบวนการแลกเปลี่ยนกันนี้มีสิ่งที่เราเรียกว่า “ตลาด” เป็นสื่อกลาง ตลาดอาจมีห้างร้านหรือสถานที่ซึ่งเอื้อให้ผู้ขายและผู้ซื้อพบหน้ากัน หรืออาจไม่มีสถานที่เช่นนั้นก็ได้ เช่น ตลาดซื้อขายหุ้นและเงินตราซึ่งผู้ซื้อและผู้ขายไม่จำเป็นต้องเห็นหน้ากัน
ระบบเศรษฐกิจตลาดเสรีมีฐานอันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ ฐานนั้นจึงมั่นคงยังผลให้ระบบเศรษฐกิจแนวนี้มีโอกาสยั่งยืนสูงกว่าระบบอื่น เช่น ระบบคอมมิวนิสต์ซึ่งจำกัดสิทธิเสรีภาพอันเป็นการขัดธรรมชาติของมนุษย์
วิวัฒนาการของสังคมมนุษย์และแนวคิดทางเศรษฐกิจ ย้อนไปในอดีต บรรพบุรุษของมนุษย์ดำเนินชีวิตด้วยการเก็บของป่า ล่าสัตว์ และอยู่กับธรรมชาติโดยปราศจากการดัดแปลงอย่างจริงจังจนกระทั่งราว 1 หมื่นปีที่ผ่านมา เมื่อมีการค้นพบวิธีเพาะปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ในย่านตะวันออกกลาง ต่อด้วยในเมืองจีนและส่วนอื่นของโลก ความสามารถในการปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงแบบก้าวกระโดด หรือการปฏิวัติ ในวิถีชีวิตของมนุษย์ นั่นคือ เกิดการตั้งชุมชนถาวรแทนการเร่ร่อนไปตามฤดูกาลเพื่อเก็บของป่าและล่าสัตว์ การรู้จักปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ทำให้มนุษย์ผลิตอาหารได้มากจนเรียกว่าเป็นการปฏิวัติเกษตรกรรมซึ่งนำไปสู่การเพิ่มของประชากรอย่างรวดเร็ว กระบวนการนี้เอื้อให้สมาชิกบางส่วนของชุมชนมีเวลาเหลือเพื่อทำกิจกรรมอื่นซึ่งนำไปสู่การคิดค้นจนเกิดความก้าวหน้าในศาสตร์ต่างๆ รวมทั้งการประดิษฐ์ภาษาเขียนด้วย
ความเปลี่ยนแปลงแบบก้าวกระโดดหรือการปฏิวัติเกษตรกรรมครั้งนั้นบางทีมีผู้เรียกว่า “คลื่นลูกที่ 1”
คลื่นลูกนั้นเป็นพลังผลักดันให้เกิดวิวัฒนาการต่อมา นั่นคือ ความก้าวหน้าในศาสตร์และเทคโนโลยีต่างๆ ซึ่งนำไปสู่การสร้างอารยธรรมขึ้นในหลายส่วนของโลก อารยธรรมเหล่านั้นใช้ระบบเศรษฐกิจแนวตลาดเสรีอันมีฐานเป็นธรรมชาติอยู่แล้วเป็นหลัก อย่างไรก็ดี มีบางแง่ที่ไม่เป็นเสรีอย่างแท้จริง เช่น การจับมนุษย์เป็นทาส อารยธรรมเหล่านั้นมีทั้งการติดต่อค้าขายและการรุกรานกัน บางอารยธรรมล่มสลายแล้วมีอารยธรรมใหม่เกิดขึ้นแทนที่ หลังจากเวลาผ่านไปหลายพันปีจึงมีการปฏิวัติ หรือการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ในวิถีชีวิตของมนุษย์อีกครั้ง การเปลี่ยนแปลงแบบก้าวกระโดดครั้งนี้มีชื่อว่าการปฏิวัติอุตสาหกรรม ปัจจัยที่ก่อให้เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรมได้แก่ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีซึ่งเริ่มเมื่อ 250-300 ปีที่ผ่านมา ความก้าวหน้าเหล่านั้นนำไปสู่การประดิษฐ์เครื่องจักรกลเพื่อใช้แทนแรงคน แรงสัตว์และพลังทางธรรมชาติอื่นๆ ที่ใช้กันในสมัยก่อน
การเปลี่ยนแปลงอันเกิดจากเครื่องจักรกลนี้บางทีมีผู้เรียกว่า “คลื่นลูกที่ 2”
ช่วงต้นๆ ของการปฏิวัติอุตสาหกรรมไม่ได้ทำให้แนวคิดทางเศรษฐกิจเปลี่ยนไปมากนัก สังคมต่างๆ ยังอิงหลักของตลาดเสรี และในช่วงนี้เองที่ปราชญ์พยายามศึกษาการทำงานของตลาดเสรีและกฎเกณฑ์ที่จะทำให้มันมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น หรือทำทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดให้มีประโยชน์สูงขึ้น ในจำนวนนี้มีปราชญ์ชาวสกอตชื่อ อดัม สมิธ รวมอยู่ด้วย อดัม สมิธ รวบรวมการศึกษาเกี่ยวกับการทำงานของเศรษฐกิจแนวตลาดเสรีขึ้นอย่างเป็นระบบและพิมพ์ออกมาในหนังสือชื่อ The Wealth of Nations เมื่อปี พ.ศ. 2319 หนังสือซึ่งหนากว่า 1,100 หน้าเล่มนี้จึงเป็นต้นตำรับของระบบตลาดเสรีที่เราเข้าใจกันอยู่ในปัจจุบัน
เครื่องจักรกลต่างๆ ก่อให้เกิดโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ซึ่งผลิตสินค้าใหม่ๆ ออกมาได้จำนวนมหาศาล โรงงานเหล่านั้นมักเกิดขึ้นในย่านชุมชนเมืองและต้องการคนงานสูงจึงเป็นแรงจูงใจให้ชาวชนบทอพยพเข้าเมืองกันขนานใหญ่ ยังผลให้ชุมชนเมืองขยายออกไปอย่างรวดเร็วพร้อมๆ กับเกิดความแออัดเพิ่มขึ้น
การผลิตสินค้าใหม่ๆ ออกขายได้จำนวนมหาศาลยังผลให้เจ้าของโรงงานมั่งคั่งขึ้นอย่างเป็นกอบเป็นกำ ทว่ามันไม่ทำให้ผู้ใช้แรงงานมั่งคั่งขึ้นด้วย ฉะนั้นการปฏิวัติอุตสาหกรรมจึงนำไปสู่การแยกคนออกเป็นสองชนชั้นอย่างแจ้งชัด นั่นคือ ชนชั้นนายทุนซึ่งเป็นกลุ่มเล็กๆ ที่ร่ำรวยจากการเป็นเจ้าของกิจการใหญ่ๆ โดยเฉพาะโรงงานอุตสาหกรรม และชนชั้นกรรมกรซึ่งมีจำนวนมากและยากจนเพราะมักถูกนายทุนเอาเปรียบ ในขณะที่ชนชั้นนายทุนมีความเป็นอยู่อย่างหรูหรา ชนชั้นกรรมกรมักอยู่กันอย่างแออัดในย่านของเมืองที่เสื่อมโทรมและมีบริการสังคมเพียงจำกัด
สภาพเช่นนั้นวิวัฒน์ไปหลายทศวรรษก่อนที่จะมีปราชญ์สองคนเสนอทางแก้ไขคือ คาร์ล มาร์กซ์ และ ฟรีดริก เองเกลส์ ซึ่งพิมพ์แนวคิดระบบคอมมิวนิสต์ออกมาเมื่อปี พ.ศ. 2391 ชื่อ The Communist Manifesto ระบบคอมมิวนิสต์ต้องการกำจัดความเหลื่อมล้ำของคนสองชนชั้นอันเกิดจากระบบตลาดเสรีซึ่งประชาชนมีสิทธิ์ถือครองสินทรัพย์และผลิตสิ่งต่างๆ ตามความต้องการของผู้บริโภค โดยการให้รัฐยึดครองสินทรัพย์ทั้งหมดและเป็นผู้ออกคำสั่งให้ประชาชนผลิตสิ่งต่างๆ ตามที่รัฐเห็นว่ามีประโยชน์สูงสุด ระบบคอมมิวนิสต์จึงต่างกับแนวคิดตลาดเสรีชนิดที่อยู่คนละขั้ว
ระบบคอมมิวนิสต์ถูกนำมาใช้เป็นครั้งแรกในรัสเซียหลังการปฏิวัติเมื่อปี พ.ศ. 2460 และขยายออกไปในหลายประเทศโดยเฉพาะเมื่อรัสเซียแผ่อาณาเขตและอำนาจออกไปเป็นสหภาพโซเวียตหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดในปี พ.ศ. 2488 สหภาพโซเวียตก้าวหน้ามาได้หลายทศวรรษก่อนที่จะเริ่มประสบปัญหาหนักหนาสาหัสจนล่มสลายไปในปี พ.ศ. 2534 ทำให้การใช้ระบบคอมมิวนิสต์อย่างกว้างขวางเป็นครั้งแรกล่มสลายไปด้วย ปัจจัยที่ทำให้เกิดการล่มสลายได้แก่ระบบนี้มีฐานอยู่บนการบังคับซึ่งผิดธรรมชาติของมนุษย์ดังที่กล่าวถึงแล้ว ในปัจจุบันนี้โลกจึงมีระบบตลาดเสรีเป็นเศรษฐกิจกระแสหลัก
ก่อนที่สหภาพโซเวียตจะล่มสลายไม่นานโลกเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงในระดับปฏิวัติอีกครั้ง การปฏิวัติครั้งล่าสุดนี้มีเทคโนโลยีดิจิตอลและคอมพิวเตอร์เป็นหัวจักรขับเคลื่อน เทคโนโลยีดิจิตอลเข้ามาแทนที่แรงสมองของคนเฉกเช่นเครื่องจักรกลเข้ามาแทนที่แรงงาน มันเอื้อให้การคิดคำนวณและการส่งข่าวสารข้อมูลทำได้อย่างฉับพลันและผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบก้าวกระโดดในสังคมมนุษย์อีกครั้ง
การเปลี่ยนแปลครั้งหลังนี้บางทีมีผู้เรียกว่าการปฏิวัติสารสนเทศ และบางทีก็มีผู้เรียกว่า “คลื่นลูกที่ 3”
ความบกพร่องของเศรษฐกิจกระแสหลักและทางแก้ไข ในปัจจุบันนี้ทุกประเทศทั่วโลกยกเว้นเกาหลีเหนือและคิวบายึดระบบตลาดเสรีเป็นแนวบริหารจัดการเศรษฐกิจ อย่างไรก็ดี การใช้ระบบนี้มีความแตกต่างกันออกไปในรายละเอียดโดยเฉพาะด้านบทบาทของรัฐ อดัม สมิธ เสนอให้รัฐจำกัดบทบาทของตนให้อยู่เฉพาะในสิ่งที่จำเป็นจริงๆ เท่านั้น นั่นคือ ทำเฉพาะในสิ่งที่เอกชนไม่ควรทำ เช่น การบริหารและการป้องกันประเทศและการดำเนินงานด้านการควบคุมกระบวนการยุติธรรม อย่างไรก็ตาม ประเทศที่จำกัดบทบาทของรัฐตามคำเสนอแนะของ อดัม สมิธ มีเพียงส่วนน้อย
ทั้งที่มีฐานมั่นคงและอยู่คู่กับสังคมมนุษย์มาช้านาน ระบบตลาดเสรีมีข้อบกพร่องหลายอย่างซึ่งสร้างปัญหาขึ้น หากไม่แก้ไขปัญหานั้นจะทำให้สังคมมนุษย์ไม่ยั่งยืน
ในปัจจุบันปัญหาสำคัญยิ่งเป็นผลมาจากการแสวงหากำไรที่นำไปสู่ความร่ำรวยแบบไร้จริยธรรมและการบริโภคแบบสุดโต่ง
เท่าที่ผ่านมาการแสวงหากำไรและการบริโภคเป็นหัวจักรสำคัญของการขับเคลื่อนความก้าวหน้าต่างๆ ความจริงข้อนี้เป็นที่ยอมรับของปราชญ์รวมทั้ง อดัม สมิธ เองด้วย อย่างไรก็ตามในสมัยของ อดัม สมิธ โลกมีประชากรเพียง 800 ล้านคนและโดยเฉลี่ยแต่ละคนบริโภคน้อยกว่าประชากรในปัจจุบันซึ่งมีกว่า 7 พันล้านคนและยังเพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง อีกทั้งแต่ละคนยังต้องการบริโภคเพิ่มขึ้นด้วย
เนื่องจากทรัพยากรมีจำกัด ประเด็นจึงอยู่ที่ว่าถ้าประชากรโลกต้องการบริโภคแบบเกินความจำเป็นสูงมากดังที่ชาวอเมริกันทำกันในปัจจุบันนี้ เราจะเอาทรัพยากรที่ไหนมาสนองความต้องการอย่างเพียงพอ ในขณะนี้มีชาวโลกเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่บริโภคในระดับเดียวกับชาวอเมริกัน แต่โลกก็เริ่มขาดทรัพยากรจนถึงกับทำสงครามแย่งชิงกันแล้ว สงครามในตะวันออกกลางระหว่างอิสราเอลกับชาวอาหรับหลายครั้งมีการแย่งน้ำเป็นปัจจัยหนึ่งซึ่งซ่อนอยู่เบื้องหลัง สาเหตุสำคัญที่รัฐบาลอเมริกันส่งทหารเข้าไปในอิรักคือการครอบครองน้ำมันในย่านตะวันออกกลาง
เทคโนโลยีใหม่เอื้อให้การแสวงหากำไรและความร่ำรวยเกิดขึ้นได้อย่างฉับพลัน ผู้ที่มีความสามารถและเข้าถึงข่าวสารข้อมูลได้เร็วสร้างกำไรและความร่ำรวยได้ทันตาเห็นทำให้โลกมีมหาเศรษฐีเพิ่มขึ้นแทบทุกวัน แต่ในขณะเดียวกันความยากจนแสนสาหัสยังแพร่กระจายอยู่ทั่วไปทั้งโลก ความรู้สึกไม่เป็นธรรมอันเกิดจากความเหลื่อมล้ำอย่างร้ายแรงระหว่างประเทศและระหว่างกลุ่มชนต่างๆ ภายในสังคมเดียวกันกำลังสร้างความตึงเครียดทั้งระหว่างประเทศและภายในประเทศ ความตึงเครียดนี้จะผลักดันให้เกิดการรบราฆ่าฟันกันเพิ่มขึ้น
ความบกพร่องของระบบตลาดเสรีเป็นที่รู้กันมานานในหมู่ของปราชญ์รวมทั้ง อดัม สมิธ เองด้วย เนื่องจากเขาเป็นอาจารย์ทั้งทางด้านจริยศาสตร์และเศรษฐศาสตร์ เขาจึงเน้นการแก้ไขโดยการใช้จริยธรรมเป็นหลัก ดังที่อ้างถึงแล้ว ในสมัยของ อดัม สมิธ ประชากรโลกมีเพียง 800 ล้านคน และโดยเฉลี่ยแต่ละคนบริโภคน้อยกว่าในยุคปัจจุบัน ฉะนั้น การที่ปราชญ์ไม่ค่อยแสดงความวิตกถึงความจำกัดของทรัพยากรจึงเป็นสิ่งที่พอเข้าใจได้ แต่ในยุคนี้โลกมีประชากรกว่า 7 พันล้านคนและเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ถ้าทุกคนบริโภคเกินความจำเป็นมากๆ โลกย่อมไม่มีทรัพยากรเพียงพอ ความจริงข้อนี้เป็นที่ยอมรับในหมู่ของปราชญ์และกระตุ้นให้เกิดการแสวงหาทางแก้ไข เศรษฐกิจพอเพียงเป็นผลของการแสวงหานี้และเป็นแนวคิดที่จะแก้ปัญหาได้ตรงจุดที่สุด
กรอบและส่วนประกอบของแนวคิดเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง เศรษฐกิจพอเพียงมีส่วนประกอบสำหรับพิจารณา 5 ด้านด้วยกันคือ การมีความรู้ การมีคุณธรรม/จริยธรรม การมีความพอประมาณ การมีเหตุผลและการมีภูมิคุ้มกัน
“ความรู้” เป็นส่วนประกอบที่มีขอบเขตกว้างมาก จึงจะยกมาเพียง 3 ด้านเท่านั้น ด้านแรกเป็นความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการดำเนินชีวิต เช่น รู้ว่าร่างกายต้องการอะไรในแต่ละวัน อาหารชนิดไหนมีประโยชน์ สิ่งไหนให้โทษต่อร่างกาย สิ่งแวดล้อมชนิดไหนควรหลีกเลี่ยง ปริมาณของการออกกำลังกายและการพักผ่อน เป็นต้น
ด้านที่สองเกี่ยวกับความรู้ทางด้านเทคนิคสำหรับประกอบอาชีพ ความรู้ด้านนี้ส่วนใหญ่ได้จากการเรียนในสถาบันการศึกษาเสริมด้วยการฝึกฝนนอกสถาบันและการเรียนรู้ด้วยตัวเอง ในยุคปัจจุบันองค์ความรู้ด้านเทคนิคเปลี่ยนแปลงเร็วมาก ฉะนั้น การเรียนรู้ตลอดชีวิตเป็นหลักที่จะต้องถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ความรู้ด้านเทคนิคและหลักการเรียนรู้ตลอดชีวิตเป็นที่ยอมรับว่าเป็นส่วนประกอบสำคัญของระบบตลาดเสรีมานานแล้ว อดัม สมิธ จึงเขียนไว้อย่างละเอียดในหนังสือของเขาเรื่อง The Wealth of Nations นอกจากนั้นเขาเองเป็นแบบอย่างที่ดีของผู้ที่ศึกษาหาความรู้ตลอดชีวิตถึงขนาดก่อนตายเขาแสดงความเสียใจว่าเขายังศึกษาบางวิชาไม่สำเร็จ
ด้านที่สามเกี่ยวกับข่าวสารข้อมูลซึ่งมีความสำคัญต่อการทำงานของตลาดเสรี นั่นคือ ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายในตลาดจะต้องมีข่าวสารข้อมูลทัดเทียมกัน มิฉะนั้นจะเกิดการเอาเปรียบและการผูกขาดซึ่งจะทำให้ตลาดขาดประสิทธิภาพ ข่าวสารข้อมูลส่วนใหญ่ได้มาจากการติดตามวิวัฒนาการด้านต่างๆ ทั่วโลกโดยเฉพาะจากการอ่าน ในยุคของ อดัม สมิธ การอ่านและการเข้าร่วมสมาคมเพื่อพบปะกับสมาชิกในสังคมเป็นวิธีติดตามข่าวสารข้อมูลหลักซึ่งเขาถือปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ ในยุคนี้ระบบอินเทอร์เน็ตมีข่าวสารที่ทันกับเหตุการณ์ ฉะนั้นการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตมีความสำคัญยิ่ง นอกจากนั้นในยุคนี้มีการชักจูงด้วยวิธีต่างๆ อย่างเข้มข้นให้คนคิดว่าตนมีความจำเป็นที่จะต้องใช้สินค้าใหม่ๆ ทั้งที่ไม่มีความจำเป็นเลย ผู้ถูกชักจูงจะต้องรู้ทัน
“คุณธรรม/จริยธรรม” เป็นฐานของการอยู่ร่วมกันในสังคม เรื่องนี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด อดัม สมิธ เองย้ำเน้นเรื่องนี้เป็นพิเศษถึงกับเขียนหนังสือออกมาเล่มหนึ่งชื่อ The Theory of Moral Sentiments เพื่อเป็นตำราวิชาจริยศาสตร์ และแสดงความวิตกออกมาอย่างแจ้งชัดว่าการแสวงหากำไรเพื่อให้ได้มาซึ่งความมั่งคั่งและการบูชาคนรวยจะนำไปสู่ความเสื่อมของคุณธรรม/จริยธรรม นอกจากมีความรู้ชั้นปราชญ์แล้ว อดัม สมิธ เป็นผู้ดำเนินชีวิตอยู่ในกรอบของคุณธรรม/จริยธรรมอย่างเคร่งครัด ครอบครัวขุนนางชั้นสูงของอังกฤษครอบครัวหนึ่งจึงจ้างให้เขาเป็นครูแบบกินอยู่ประจำเพื่อสอนเด็กในครอบครัว
ส่วนประกอบอีกสามด้านเกี่ยวพันกันสูงมาก “ความพอประมาณ” เป็นส่วนประกอบที่ให้นิยามแบบเฉพาะเจาะจงได้ยาก จึงจะกล่าวถึงต่อไปในตอนที่เกี่ยวกับแนวปฏิบัติ
“ความมีเหตุผล” มีความหมายแจ้งชัดภายในตัวของมันเองอยู่แล้ว โดยธรรมชาติมนุษย์เรามีทั้งอารมณ์และเหตุผล การดำเนินชีวิตประจำวันต้องวางอยู่บนฐานของเหตุผล คนเราจึงจะอยู่ได้อย่างสงบสุข
“ภูมิคุ้มกัน” มีความสำคัญยิ่งขึ้นในยุคนี้เพราะมีความเสี่ยงสูง ในยุคก่อนซึ่งคนส่วนใหญ่ทำหลายอย่างเป็นและดำเนินชีวิตบนฐานของการร่วมมือกันในครอบครัวขนาดใหญ่และในชุมชน ความเสี่ยงมีค่อนข้างต่ำ แต่ยุคปัจจุบันยึดการแบ่งงานกันทำเป็นหลัก คนส่วนใหญ่จึงทำได้เพียงอย่างเดียว พร้อมกันนั้นสภาพสังคมได้เปลี่ยนไปจากการมีครอบครัวขนาดใหญ่ที่มีคนหลายรุ่นอยู่ร่วมกันและช่วยเหลือกัน เป็นครอบครัวขนาดเล็กที่มีคนเพียงรุ่นเดียวหรือสองรุ่นเท่านั้น และจากชุมชนขนาดเล็กที่ช่วยเหลือเกื้อกูลกันเป็นชุมชนขนาดใหญ่ที่มีลักษณะของการต่างคนต่างอยู่ ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นสร้างความจำเป็นที่จะต้องมีการบริหารจัดการความเสี่ยง
ส่วนประกอบ 3 ด้านนี้มีอยู่ในหลักของระบบตลาดเสรีแต่ไม่ได้รับการเน้นย้ำเพราะสภาพสังคมในสมัยก่อนต่างกับในสมัยนี้ดังที่กล่าวถึงแล้ว เช่น มีประชากรน้อย มีครอบครัวขนาดใหญ่และชุมชนขนาดเล็กที่มีการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน นอกจากนั้น อดัม สมิธ มีชีวิตอยู่ในยุคที่มีชื่อว่า The Age of Reason ฉะนั้นการมีเหตุผลเป็นสิ่งที่ปราชญ์อาจเห็นว่าไม่จำเป็นที่จะต้องเน้นย้ำ
อย่างไรก็ตาม อดัม สมิธ เองปฏิบัติตัวภายในกรอบของส่วนประกอบเหล่านี้ทั้งที่เขาเองไม่ได้แยกแยะมันออกมาโดยเฉพาะ เช่น เขาดำเนินชีวิตอย่างเรียบง่ายทั้งที่มีรายได้สูง เขาอุปการะแม่เมื่อยามแก่เฒ่าพร้อมกับส่งเสียหลานๆ ให้มีการศึกษา เขาต้องการคืนเงินบำนาญทั้งหมดที่เขาได้รับจากครอบครัวขุนนางที่จ้างเขาเป็นครูสอนเด็กเมื่อเขาได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งที่มีรายได้สูง เมื่อครอบครัวขุนนางไม่ยอมรับบำนาญคืน เขาก็ใช้รายได้นั้นซื้อตำรับตำราเพื่อศึกษาวิชาต่างๆ เพิ่มขึ้น อาจกล่าวได้ว่า อดัม สมิธ ดำเนินชีวิตตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงเพราะเขาเป็นปราชญ์ที่ตระหนักดีถึงความบกพร่องของระบบตลาดเสรีที่เขาศึกษาอย่างแตกฉาน
แนวปฏิบัติเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อให้เกิดผลในการแก้ไขความบกพร่องของระบบตลาดเสรี เราจะต้องนำแนวคิดเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงไปปฏิบัติทั้งในระดับบุคคลและในระดับประเทศ หรือในอีกนัยหนึ่งการพัฒนาประเทศจะประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืนได้ก็ต่อเมื่อประชาชนส่วนใหญ่ยึดแนวคิดนี้เป็นหลักปฏิบัติ และเมื่อแต่ละประเทศพัฒนาได้อย่างยั่งยืน มนุษยชาติย่อมอยู่ต่อไปได้อย่างยั่งยืนด้วย
ประชาชนอาจตัดสินใจดำเนินชีวิตตามแนวคิดเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงด้วยตัวเองเพราะความเข้าใจในความถูกต้องของมัน ในขณะเดียวกันรัฐบาลก็ควรมีนโยบายสำหรับสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนดำเนินชีวิตตามแนวคิดนี้พร้อมกันไปด้วย แนวคิดนี้มีทั้งความกว้างและความลุ่มลึก จึงทำให้ไม่สามารถที่จะนำมาขยายได้ทุกแง่มุม นอกจากตัวอย่างดังที่จะกล่าวถึงต่อไปเท่านั้น
เนื้อหาของตอนที่ผ่านเน้นการปฏิบัติในระดับบุคคลเป็นส่วนใหญ่และหลายครั้งนำ อดัม สมิธ ผู้เป็นเสมือนบิดาของเศรษฐกิจระบบตลาดเสรีมาเป็นตัวอย่าง เนื่องจากความ “พอประมาณ” เป็นส่วนประกอบสำคัญซึ่งยากแก่การให้นิยาม จึงขอยกตัวอย่างของความพอประมาณซึ่งวางอยู่บนฐานของความรู้มาเสนอ ดังนี้
จะดำเนินชีวิตอย่างไรจึงจะเรียกว่ากระทำตามความพอประมาณอาจพิจารณาบนฐานของความ “เพียงพอ” และ “พอเพียง”
ความ “เพียงพอ” เป็นเรื่องของร่างกาย ส่วนความ “พอเพียง” เป็นเรื่องของจิตใจ ซึ่งหมายความว่าทุกคนควรหมั่นแสวงหาให้ได้มาซึ่งสิ่งที่จำเป็นเบื้องต้นสำหรับร่างกายด้วยวิธีที่สังคมยอมรับ เมื่อได้มาครบถ้วน เราเรียกว่า “เพียงพอ” และเมื่อได้ทุกอย่างเพียงพอแล้วก็รู้สึกพอใจ เราเรียกสภาพนั้นว่า “พอเพียง”
อย่างไรก็ตาม ในกรณีของผู้ที่มีรายได้สูงมากจากการทำงานตามปกติหรือจากสินทรัพย์ที่มีอยู่ก่อนแล้ว เขาอาจจะมีสิ่งที่นอกเหนือความจำเป็นเบื้องต้นของร่างกายบ้างก็ได้ เช่น การจัดงานวันเกิดซึ่งมีขนมเค้ก การนอนในห้องที่มีเครื่องปรับอากาศ หรือการไปพายเรือเพื่อความสนุกสนาน แต่สิ่งที่เขามีหรือบริโภคนอกเหนือจากความจำเป็นเบื้องต้นนี้จะต้องไม่เกิดจากความกระเสือกกระสนที่จะหามาด้วยความโลภ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อบริโภคอย่างเมามันหรือเพื่อแข่งขันและอวดอ้างความมั่งมีกับผู้อื่น
ในระดับพื้นฐานความต้องการของร่างกายถูกกำหนดขึ้นโดยธรรมชาติว่าจะต้องมีอย่างน้อยปัจจัย 4 อันได้แก่อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัยและยารักษาโรค สิ่งเหล่านี้ทุกคนจะต้องมีอย่างครบถ้วนตามที่ธรรมชาติกำหนดมาจึงจะเรียกได้ว่ามีความ “เพียงพอ” เช่น เรื่องอาหาร จริงอยู่เราอาจไม่รู้อย่างละเอียดยิบว่าร่างกายต้องการอะไรในแต่ละวันและอาหารจานไหนให้อะไรแก่เราบ้าง แต่การศึกษาบอกเราว่าถ้าเรารับประทานอาหารหลากหลายและให้ครบทุกหมวดหมู่ โอกาสที่ร่างกายของเราจะได้รับทุกอย่างครบถ้วนมีอยู่สูง นั่นหมายความว่าถ้าเราเลือกได้ เราควรศึกษาให้เกิดความเข้าใจพร้อมกับมีวินัยสูงพอที่จะเลือกรับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางอาหารสูง ในปริมาณพอควร ไม่มากเกินไปจนก่อให้เกิดความอ้วน และไม่เลือกรับประทานอาหารเพราะความอร่อยหรือความทันสมัยโดยไม่คำนึงถึงคุณค่าของมัน
เกี่ยวกับประเด็นนี้มีเรื่องจริงที่จะยกมาเป็นอุทาหรณ์คือ หนุ่มชาวบ้านในย่านอยุธยาซึ่งอุดมสมบูรณ์ไปด้วยปลาและพืชผักพื้นบ้านบ่นว่าอาหารที่ทำด้วยส่วนประกอบเหล่านั้นไม่ทันสมัย เขาจึงมักขับมอเตอร์ไซค์เข้าไปในตลาดเพื่อให้เจ้าของร้านต้มอาหารที่ทันสมัยให้เขารับประทาน อาหารนั้นได้แก่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป อีกเรื่องหนึ่งเป็นความสัมพันธ์ระหว่างหลานกับป้า ด้วยความรัก ป้าจึงมักพาหลานออกไปรับประทานอาหารนอกบ้าน หลานจะเลือกรับประทานไก่ทอดเคเอฟซีทั้งที่ไก่ย่าง ส้มตำและข้าวเหนียวก็มีขายในย่านเดียวกัน
จริงอยู่เราอาจไม่รู้ข้อมูลที่แยกแยะคุณค่าของอาหารเหล่านั้นอย่างละเอียดยิบ แต่ข้อมูลที่เราพอรู้อยู่บ้างบ่งว่า บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปจำพวกมาม่ามีคุณค่าน้อยกว่าอาหารพื้นบ้านของชาวอยุธยา ไม่ว่าจะเป็นจำพวกน้ำพริกผักต้มหรือแกงส้มผักกระเฉดที่รับประทานกับข้าวสวย ส่วนไก่และมันฝรั่งทอดจิ้มซอสมะเขือเทศมีคุณค่าต่ำกว่าไก่ย่าง ส้มตำและข้าวเหนียว การได้รับประทานอาหารจำพวกมาม่าและไก่ทอดเคเอฟซีเป็นประจำอาจทำให้เกิดความรู้สึกทันสมัยและพอใจ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าผู้รับประทานจะดำเนินชีวิตตามแนวเศรษฐกิจพอเพียงเพราะเขาอาจไม่ได้รับคุณค่าทางอาหารอย่างครบถ้วน หรือ “เพียงพอ” ตามความต้องการของร่างกาย
หลักการพิจารณาไม่แตกต่างออกไปสำหรับปัจจัยพื้นฐานอีกสามอย่างและปัจจัยอื่นที่จำเป็นสำหรับการดำเนินชีวิตในยุคปัจจุบัน เช่น เครื่องมือสื่อสารและการขนส่ง ทุกคนต้องแสวงหามาให้เพียงพอแก่ความจำเป็น เมื่อได้มาแล้วก็มีความพอใจ ไม่กระเสือกกระสนแสวงหามาเพื่อสะสมหรือเพื่อแข่งขันกับผู้อื่น เช่น การมีบ้านใหญ่โต มีเครื่องแต่งกายหลายร้อยอย่างพร้อมทั้งเครื่องประดับหรูหราสารพัด โทรศัพท์มือถือรุ่นล่าสุดและรถยนต์ราคาแพงและแรงม้าสูงเกินความจำเป็น
เรื่องที่เล่ามานี้ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการศึกษา นั่นหมายความว่ารัฐบาลควรมีนโยบายในด้านให้การศึกษาแก่ประชาชนถึงเรื่องสุขภาพและคุณค่าของอาหารชนิดต่างๆ อย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง นอกจากนั้นรัฐบาลควรมีนโยบายสำหรับจูงใจให้เกิดการบริโภคอาหารที่มีคุณค่าสูงมากขึ้นพร้อมๆ กับให้เกิดการบริโภคอาหารที่มีคุณค่าต่ำน้อยลง เนื่องจากเมืองไทยอาศัยกลไกของตลาดเสรีเป็นหลักในการบริหารเศรษฐกิจและประชาชนมีสิทธิ์ที่จะเลือกซื้ออาหารรับประทานได้โดยอิสระ รัฐบาลคงจะใช้นโยบายห้ามขายอาหารที่มีคุณค่าต่ำไม่ได้ แต่รัฐบาลอาจใช้มาตรการอื่น เช่น มาตรการทางภาษีในแนวเดียวกันกับที่เก็บจากบุหรี่และสุรา อาหารมากมายให้คุณค่าต่ำและซ้ำร้ายอาจแฝงอันตรายไว้ด้วย เช่น ของขบเคี้ยวที่มุ่งขายให้แก่เด็กและจำพวกน้ำหวานอัดลม รัฐบาลควรเก็บภาษีอาหารจำพวกนี้ในแนวเดียวกับบุหรี่และสุราเพื่อให้ราคาของมันสูงจนผู้จะซื้อต้องฉุกคิดว่ามันคุ้มค่าของเงินหรือไม่ พร้อมกันนั้นก็อาจมีการเก็บภาษีแบบก้าวหน้าตามราคาของสิ่งต่างๆ รวมทั้งบ้าน เครื่องแต่งกาย เครื่องประดับ โทรศัพท์มือถือ รถยนต์และสินค้าฟุ่มเฟือยอื่นๆ ซึ่งผู้มีรายได้ดีอาจมีไว้ใช้ แต่ต้องเสียภาษีในอัตราที่สูงขึ้น
สรุป มีคำถามเสมอว่าการดำเนินชีวิตตามแนวเศรษฐกิจพอเพียงเป็นไปได้มากน้อยเพียงไร คำถามแนวนี้มีคำตอบซึ่งไม่จำกัดอยู่แค่ในแง่ของปรัชญาอย่างเดียว หากเป็นการดำเนินชีวิตจริงของชุมชนขนาดใหญ่ในสหรัฐอเมริกาและแคนาดาที่ทำต่อเนื่องกันมาเป็นเวลากว่า 300 ปีแล้ว
ชุมชนนั้นชื่อ “อามิช” ซึ่งกระจัดกระจายอยู่ในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา แห่งที่ใหญ่ที่สุดอยู่ในรัฐเพนซิลวาเนียของสหรัฐอเมริกา รายละเอียดการดำเนินชีวิตของชาวอามิชมีมากจึงยากแก่การนำมาเล่าทั้งหมด (เรื่องราวของชาวอามิชมีรายละเอียดอยู่ในหนังสือชื่อ “อเมริกาที่ยังใช้ม้าเทียมไถ” ซึ่งอาจดาวน์โหลดได้จากเว็บไซต์ “มูลนิธินักอ่านบ้านนา.com” หรือจาก www.OpenBase.in.th) อย่างไรก็ตาม ความจริงข้อนี้คงให้ความกระจ่างอย่างเพียงพอ นั่นคือ พวกเขามีชีวิตอยู่ได้อย่างดีและมีความสงบสุขมากกว่าสังคมอเมริกันโดยทั่วไป ทั้งที่ไม่มีเครื่องใช้ไฟฟ้า โทรศัพท์ในบ้าน รถยนต์และเครื่องจักรกลร่วมสมัยทุกชนิด พวกเขายังใช้ม้าลากไถเช่นเดียวกับคนไทยเคยใช้ควายไถนา
กลไกของตลาดเสรีมีอยู่คู่กับสังคมมนุษย์มาตั้งแต่ครั้งโบราณกาลเพราะมันวางอยู่บนฐานของธรรมชาติของมนุษย์ และจะมีต่อไปตราบใดที่มนุษย์ยังอยู่ ส่วนมนุษย์จะอยู่ต่อไปได้ยาวนานเท่าไรขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง รวมทั้งการบริหารจัดการทรัพยากรที่มีอยู่ในโลกอย่างจำกัดด้วย ดังที่เป็นมาตลอดประวัติศาสตร์ แนวคิดต่างๆ วิวัฒน์ไปตามสภาพแวดล้อม ในปัจจุบันนี้โลกมีประชากรราว 9 เท่าของวันที่ อดัม สมิธ คิดเรื่องระบบตลาดเสรีออกมา ในขณะที่ทรัพยากรของโลกถูกใช้จนร่อยหรอลงไปมาก
ฉะนั้น แนวคิดของเศรษฐกิจแนวตลาดเสรีย่อมต้องวิวัฒน์ไปให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมใหม่ด้วย แนวคิดเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงเป็นผลของการวิวัฒน์นั้น จึงเหมาะกับสังคมปัจจุบันอย่างยิ่ง