xs
xsm
sm
md
lg

คำเตือน! จากหลักสูตรล้างพิษตับ (ฉบับที่ 2) : พิษประทุจาก“นมวัว”รุนแรงกว่าที่หลายคนคิด

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ณ บ้านพระอาทิตย์
โดย : ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

อ.แก่นฟ้า แสนเมือง แห่งศีรษะอโศก ในฐานะผู้ที่บุกเบิกหลักสูตรล้างพิษตับ ลำไส้ และถุงน้ำดี ได้เล่าให้ฟังถึงความรุนแรงเกี่ยวกับพิษประทุจาก “นมวัว”ก่อนที่จะมีหลักสูตรล้างพิษนี้ว่า

คนจำนวนหนึ่งซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิงและเป็นวัยรุ่นที่มีประวัติการดื่มนมวัวต่างน้ำ เมื่อถึงจุดหนึ่งจะเป็นตุ่มพุพองขึ้นเต็มตัว!!!


“น้องฝ้ายหลานดาบน้อยก็เป็นทั้งตัวเพราะดื่มนมวัวมาก พอให้อดนมก็เกิดอาการพุพองทั้งตัว และใช้เวลาหลายเดือนกว่าที่จะหายได้ เป็นการประทุทั้งตัวทั้งหัวและหู ทั้งๆที่ในเวลานั้นไม่ได้เข้าคอร์สล้างพิษ เพราะเกิดขึ้นมาสิบกว่าปีมาแล้ว”

“ลูกดาบน้อยก็เป็นเหมือนกันเป็นไข้ทั้งพุพอง 10 เดือนกว่าจะหาย มีแผลหนองเป็นร้อยๆตุ่ม ต้องหยุดนม เพราะเมื่อก่อนดื่มนมแทนน้ำ”

อ.แก่นฟ้า แสนเมือง เล่าให้ฟังอีกว่า “เจอหลายคนแล้วครับที่ดื่มนมอย่างนี้แล้วพุพอง ปัจจุบันยังมีแผลเป็นอยู่เลย ทุกวันนี้ผมจะแนะนำให้เด็กเลิกดื่มนมวัว”

ด้วยเหตุผลนี้เมื่อหลายปีก่อนชาวอโศก จึงได้ออกหนังสือมาเล่มหนึ่งชื่อ “คนไทยถูกหลอกให้ดื่มนม”

ความจริงแล้วในนมมีแป้งชนิดหนึ่งชื่อ แลคโตส (Lactose) ซึ่งต้องใช้เอนไซม์ย่อยแป้งชื่อเอนไซม์แลคเตส (Lactase) ในการย่อย เพื่อทำให้แลคโตสแตกตัวเป็นน้ำตาลกลูโคส และน้ำตาลกาแลคโตส

แต่ปัญหาคือสัตว์ทั่วไปจะมีอายุในการดื่มนมเพียง 1 - 2 ปี จะหย่านมจากแม่ และไปกินอาหารอย่างอื่นแทนตลอดชีวิต มีแต่มนุษย์เท่านั้นที่เมื่อหย่านมจากแม่แล้ว ก็หันไปดื่มนมจากสัตว์อื่นอีกหลายสิบปี

คนไทยและเอเชียส่วนใหญ่ถึงร้อยละ 80 เมื่อเติบโตขึ้นก็จะหย่านมจากแม่เหมือนกันเมื่ออายุเกิน 1 – 2 ขวบ จึงทำให้มีเอนไซม์แลคเตสน้อยลงมากหรือแทบไม่มีเลย (เพราะสัตว์ทุกประเภทต่างก็มีขบวนการหย่านมวัว) อาการที่นมไม่ย่อยเพราะขาดเอนไซม์แลคเตสนี้เองก็จะทำให้เกิดอาการ ใน 4 ชั่วโมงหลังจากดื่มนมวัว คือ ปวดท้องแน่น ท้องอืด มีลมในลำไส้มาก และบางครั้งอาจท้องร่วงเพราะร่างกายพยายามจะขับสารพิษที่ไม่เหมาะกับร่างกายออก

นายแพทย์ เอส.ซี. ทรูเลิฟ ในวารสาร British Medical Journal ในปี 1961 และงานของ ดี.โจเซฟ ซักคา ในวารสาร Annual of Allergy พฤษภาคม 1971 ระบุเอาไว้ชัดเจนถึงความสัมพันธ์ของการดื่มนมกับการเกิดลำไส้อักเสบจากภาวะภูมิแพ้

จากข้อมูลข้างต้นนี้ก็มีความสอดคล้องจากงานเก็บตัวอย่างของ ดร.ฮิโรมิ ชินย่า คุณหมอชาวญี่ปุ่น ซึ่งได้เก็บตัวอย่างด้วยการส่องกล้องในลำไส้ของคนกว่า 400,000 คน เพื่อดูความสัมพันธ์ของลำไส้กับสิ่งที่รับประทานและโรคที่ป่วยของแต่ละคน ดร.ฮิโรมิ ชินย่า และได้เผยแพร่ตัวอย่าคนที่ชอบดื่มนมวัวต่างน้ำนั้นมีลำไส้อักเสบซึ่งมีลักษณะต่างจากคนปกติ ดังรูปที่ 1
รูปที่ 1 แสดงการสำรวจและส่องกล้องในลำไส้ของ ดร.ฮิโรมิ ชินย่า แพทย์ชาวญี่ปุ่น แสดงลำไส้ของคนปกติด้านซ้าย กับสภาพลำไส้อักเสบของคนที่ดื่มนมวัวต่างน้ำ
แต่อาการที่แพ้แลคโตสในนมก็ยังดี เพราะเมื่อไม่ย่อย ท้องอืด หรือท้องร่วง ก็มักจะหยุดการดื่มนมวัวไป แต่อีกส่วนหนึ่งก็คือแพ้เคซีนในนม ซึ่งความจริงแล้วมนุษย์สามารถดูดซึมโปรตีนในนม (Net Protein Utilization) ได้เพียงร้อยละ 82 และดูดซึมไม่ได้อีกร้อยละ 18 ซึ่งจะถูกแบคทีเรียย่อยสลายและทำให้เกิด Immune Complex หรือสารก่อภูมิแพ้ใหม่ๆ

ซึ่งแพทย์แผนปัจจุบันจำนวนหนึ่งแก้ปัญหาของคนที่มีอาการแพ้นมวัว เช่น ผื่น หรือ ตุ่มขึ้นตามผิวหนัง ด้วยการให้กินยากดภูมิ หรือ หนักกว่านั้นคือทาหรือฉีดยาสเตียรอยด์เพื่อกดอาการเหล่านั้นไม่ให้ร่างกายตอบสนองต่อสารก่อภูมิแพ้เหล่านั้น โดยไม่ได้แก้ที่ต้นเหตุแต่ประการใด


ในทางธรรมชาติบำบัด เมื่อมีสารก่อภูมิแพ้เกิดขึ้นในร่างกาย ร่างกายจึงต้องพยายามขับสารพิษหรือสารแปลกปลอมเหล่านั้นออกจากร่างกายทางใดทางหนึ่ง ถ้าไม่ย่อยแลคโตสก็จะแสดงอาการไม่ย่อยด้วยการท้องอืด หรือ ท้องร่วง หรือหากไม่สามารถระบายออกด้วยการขับถ่ายได้หรือขับถ่ายไม่ทัน ก็จะแสดงออกด้วยการประทุทางผิวหนังให้เราได้เห็น เพื่อให้เราปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินใหม่

แต่ถ้าเรามัวแต่กินยาหยุดอาการท้องเสีย หรือ ทา หรือ ฉีดยากดภูมิเพื่อหยุดผื่นคันโดยไม่หยุดพฤติกรรมการกิน สารก่อภูมิแพ้หรือสิ่งที่ไม่ควรจะอยู่ในร่างกายเรานั้นก็จะอยู่ในร่างกายเราต่อไป ก็จะทำให้เราเป็นภูมิแพ้ไม่หายและต้องพึ่งพายากดภูมิตลอดเวลา และยาเหล่านั้นก็จะส่งผลกระทบต่อการทำงานของตับ ที่ต้องทำหน้าที่แบกรับในการเก็บสารพิษเหล่านั้นเอาไว้เอง จนรอถึงวันจุดระเบิดที่ตับไม่สามารถรับเอาไว้ได้จึงเกิดการประทุพิษเป็นผื่นทั่วร่างกายอย่างที่เกิดขึ้นมาแล้วในหลายกรณี

ดังนั้นผู้ที่มีประวัติดื่มนมวัวต่างน้ำ และมีอาการผื่นขึ้นตามผิวหนังแล้วใช้ยาทาหรือกดภูมิอยู่ตลอดเวลา โดยไม่ได้เปลี่ยนพฤติกรรมการกินนั้น จะต้องมีความระมัดระวังอย่างมากในการตัดสินใจที่จะล้างพิษตับ เพราะจะต้องให้ความสำคัญในการเปลี่ยนพฤติกรรมการกินและ ให้ความสำคัญกับการล้างลำไส้ให้สะอาด “ก่อน”ที่จะตัดสินใจเข้าสู่การล้างพิษตับด้วยการดื่มน้ำมันมะกอก


เพราะสิ่งที่ผมได้พบนั้นพบว่าปัจจุบันมีผู้ที่ล้างพิษตับด้วยตัวเองบ้าง หรือไปล้างพิษตับตามศูนย์ล้างพิษตับบ้างก็ตามพบว่า ผู้ที่มีประวัติดื่มนมวัวต่างน้ำ และมีอาการผื่นขึ้นตามผิวหนังแล้วใช้ยาทาหรือกดภูมิอยู่ตลอดเวลาจำนวน 3 ราย หลังจากล้างพิษตับแล้วพบว่ามี ผื่นขึ้นเหมือนไฟลามทุ่งทั่วตัว โดยเฉพาะแขนขา ลำตัว ข้อพับ หู ศีรษะ ผิวหนังปริแตก มีน้ำเหลืองไหลจนพอกพูน ขาบวม ซึ่งมีตำแหน่งในการขึ้นผื่นใกล้เคียงกันอย่างมาก
รูปที่ 2  ผู้ที่มีประวัติดื่มนมวัวต่างน้ำมีผื่นขึ้นในบริเวณขาและมือหลังล้างพิษตับด้วยตัวเอง
รูปที่ 3  ผู้ที่มีประวัติดื่มนมวัวต่างน้ำ 2 รายมีผื่นขึ้นหลังล้างพิษตับในบริเวณขาในตำแหน่งใกล้เคียงกัน
รูปที่ 4 อีกรายหนึ่งผู้ที่มีประวัติดื่มนมวัวต่างน้ำและมีประวัติหลายๆวันขับถ่าย 1 ครั้ง มีพิษประทุถึงศีรษะหลังล้างพิษตับ 3 ครั้ง โดยแต่ละครั้งดื่มน้ำมันมะกอก 1-3 แก้ว รวม 6 แก้ว
ที่น่าสนใจไปกว่านั้นในจำนวน 3 ราย มีรายหนึ่งไปพบแพทย์ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งได้ใช้วิธีขูดเอาเนื้อบริเวณดังกล่าวออกอย่างเจ็บปวดทรมานมาก โดยแพทย์ไม่สามารถบอกได้ว่าเกิดจากสาเหตุใด ได้แต่บอกว่าเมื่อหายแพ้แล้วค่อยกลับมารักษาใหม่และให้ยารับประทาน (ซึ่งก็ไม่ได้หาย) อีกรายไปพบแพทย์ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งก็ได้รับการฉีดสเตรียรอยด์มาแล้วหลายรอบแต่ก็กลับพบว่าผิวดำคล้ำขึ้นและมีเหมือนก้อนไตแข็งเกิดขึ้นใต้ผิวหนังเหมือนเป็นฝี และก็เกิดอาการผื่นขึ้นใหม่ตลอดเวลา โดยที่แพทย์ในโรงพยาบาลก็ยังหาคำตอบในการรักษายังไม่ได้ ส่วนอีกรายหนึ่งเพิ่งเกิดขึ้นมาเมื่อไม่กี่วันมานี้หลังไปล้างพิษตับมาแล้ว 3 ครั้ง ครั้งแรกดื่มน้ำมันมะกอกไป 1 แก้ว ครั้งที่สอง 3 แก้ว ครั้งที่สาม 2 แก้ว โดยในแต่ละครั้งพบว่าการประทุพิษกลับรุนแรงเสียยิ่งกว่าเดิม

แม้ว่าจะมีรายแรกที่ไปล้างพิษตับด้วยตัวเองและเกิดอาการดังกล่าวเข้ามาขอคำปรึกษาจากผมจะเริ่มมีอาการดีขึ้นอย่างมาก หลังจากการผสมผสานในการรักษาโดยการประสานงานจาก หมอปาน (จิตรา ปลอดอักษร) และคุณจุ๊บ จากบ้านรัตนาราม 982 โดยการเน้นการล้างลำไส้ (ด้วยการดื่มเอนไซม์จากมะละกอเพื่อย่อยโปรตีน และการดื่มยาหม้อไทยที่เพื่อขับถ่ายของเสียในร่างกาย) ตลอดจนทาแผลด้วยน้ำเอนไซม์สลับกับน้ำมันมะรุมสลับกับการแช่น้ำปัสสาวะและตากแดด ควบคุมอาหารงดเนื้อสัตว์และของหวาน ตลอดจนใช้การคลายเส้นเพื่อช่วยการไหลเวียนของเลือด แต่ถึงกระนั้นก็เห็นว่าการป้องกันดีกว่าการแก้ไข เพราะแม้จะแก้ไขให้ดีขึ้นได้แต่ก็ต้องใช้เวลาเยียวยารักษาด้วยแพทย์ทางเลือก อย่างน้อยประมาณ 1เดือนครึ่ง - 2 เดือน

แม้จะข้อมูลข้างต้นอาจจะยังสรุปไม่ได้ถึงขั้นเป็นงานวิจัยและถือว่ามีจำนวนน้อยเมื่อเทียบกับผู้ที่ล้างพิษตับมาแล้วไม่ต่ำกว่า 3-4 หมื่นรายที่เข้าอบรมในหลักสูตรทั่วประเทศ แต่เมื่อพบข้อมูลกลุ่มตัวอย่างที่มีปัญหาใกล้เคียงกันหลายคนแล้ว ก็จำเป็นต้องแจ้งย้ำเตือนเป็นฉบับที่ 2 ไปยังทุกท่านว่าการล้างพิษตับจำเป็นต้องมีข้อควรระวังดังต่อไปนี้


1.การล้างพิษตับควรต้องมีผู้เชี่ยวชาญและแพทย์(แผนไทยหรือแพทย์แผน
ปัจจุบัน) ที่มีความเข้าใจในเรื่องนี้ให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะคนที่ไม่เคยล้างพิษตับมาก่อน จำเป็นต้องเข้าหลักสูตรเพื่อทำความเข้าใจอย่างละเอียด และจำเป็นต้องมีผู้เชี่ยวชาญที่มีความสามารถการรับมือกับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้จริงเท่านั้น หากเป็นผู้ที่เข้าหลักสูตรแล้วไม่มีอาการจึงค่อยไปทำการล้างพิษด้วยตัวเองได้

2.สำหรับคนที่มีประวัติดื่มนมวัวมากหรือผลิตภัณฑ์จากนมวัว และต้องทา/กิน/ฉีด
ยา ประเภทกดภูมิมาก่อน จำเป็นจะต้องให้ความสำคัญกับการล้างลำไส้ให้สะอาดเสียก่อน โดยจะต้องงดนมวัวมาอย่างน้อย 2-3 เดือน (และจะให้ดีควรงดดื่มนมวัวไปเลย) ควรงดเนื้อสัตว์ก่อนล้างลำไส้ 1 สัปดาห์ และคนที่นานๆวันจึงจะขับถ่าย 1 ครั้ง จำเป็นต้องปรับสมดุลให้การขับถ่ายได้เป็นปกติทุกวันเสียก่อน ไม่เช่นนั้นหากเร่งไปล้างพิษตับเหมือนคนปกติ พิษที่ออกมาจากตับหากมาเจอกับลำไส้ที่สกปรกเป็นคราบเหนียว (จากรูปที่ 1) จะทำให้พิษที่ออกมาจากตับที่ถูกขับออกมาพร้อมน้ำดีไม่สามารถสามารถขับถ่ายออกจากร่างกาย เพราะอาจติดกองอยู่ตามผนังลำไส้ แล้วทำให้ลำไส้ดูดสารพิษเหล่านั้นกลับเข้าไปตามกระแสเลือดจนประทุออกทางผิวหนังได้

3.การสวนล้างลำไส้ (ดีท็อกซ์) เช้า-เย็น ต่ออีก 7 วันหลังล้างพิษตับ (และในช่วง
เช้าควรทำก่อน 7.00 น.) ยังคงมีความจำเป็น เพราะพบว่าหลายคนไม่ได้ให้ความสำคัญในเรื่องนี้ ก็จะมีอาการพิษตกค้างประทุตามผิวหนังได้เช่นกัน

4.สำหรับคนที่มีประวัติดื่มนมวัวมากหรือผลิตภัณฑ์จากนมวัว และต้องทา/กิน/ฉีด
ยา ประเภทกดภูมิมาก่อน ไม่ควรดื่มน้ำมันมะกอกเกินกว่า 1 แก้วต่อครั้ง และจำเป็นต้องเว้นระยะห่างในการล้างพิษ 1 เดือนต่อครั้ง เพราะมิเช่นนั้นลำไส้ที่สกปรกเหนียวเป็นคราบอาจไม่มีความสามารถพอในการนำของเสียหรือพิษที่ออกมาจากตับได้ และทำให้เกิดการดูดกลับไปตามกระแสเลือดและเกิดการปะทุพิษตามร่างกายส่วนอื่นๆได้

ความจริงแล้วนับตั้งแต่หลักสูตรล้างพิษตับได้เผยแพร่เป็นที่นิยมมากนั้น ก็ได้รับผลรายงานที่มีผลดีเป็นจำนวนมาก ซึ่งก็ถือได้ว่าเป็นข่าวดี แต่ก็มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่เราต้องค้นหาผู้ที่ไม่ได้ผลดีหรือได้รับผลข้างเคียงด้วย เพื่อที่จะได้นำไปเตือนคนที่จะล้างพิษด้วยตัวเองหรือส่งข้อมูลให้ผู้ที่จัดหลักสูตรล้างพิษได้มีความระมัดระวังมากขึ้น จึงทำให้การพัฒนาการล้างพิษนั้นเดินหน้าต่อไปได้อย่างมีคุณภาพต่อไป



กำลังโหลดความคิดเห็น