เพราะครั้งหนึ่งในชีวิตวัยหนุ่ม ได้เคยร่วมเดินขบวนกับฝูงชนเมื่อเดือนตุลาคม 2516 ได้เห็นและสัมผัสพลังแห่งมวลมหาประชาชน ที่ทะลักทะลายเหมือนคลื่นลูกใหญ่ในมหาสมุทร ลึกๆ ผมจึงมีความเชื่อมั่นในใจเสมอมาว่า เมื่อสถานการณ์บ้านเมืองถูกย่ำยีและเลวร้ายถึงขีดสุด คลื่นยักษ์แห่งมวลมหาประชาชนชาวไทยจะทะลักทะลายออกมากวาดล้างสิ่งเลวร้ายทั้งปวงให้หมดสิ้นไป
วันที่ร่วมกับขบวนพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยบุกล้อมยึดทำเนียบ รัฐบาล เมื่อเดือนสิงหาคม 2551 ผมเคยรู้สึกฮึกเหิมและเชื่อมั่นในพลังมวลชน ในค่ำคืนที่เดินสำรวจมวลชนที่ทะลักทะลายจากทำเนียบรัฐบาลไปถึงสะพานมัฆวานฯ ลานพระบรมรูปทรงม้า และลามไหลไปถึงสนามม้านางเลิ้ง เชื่อว่าประชาชนชนะแล้ว แต่ฝ่ายครอบครองอำนาจรัฐด้านหนาหาได้ยินยอมไม่ มวลชนจึงทำได้เพียงยึดทำเนียบรัฐบาลแบบอหิงสาและถูกซุ่มโจมตีด้วยอาวุธ สงครามเอ็ม 79 ล้มตายทีละคนสองคน จนสุดแสนจะทนทาน และเกินจะควบคุมพลังโทสะของมวลชนที่นับวันจะครุกรุ่นรอวันระเบิด แกนนำจึงจำเป็นต้องตัดสินใจใช้มาตรการรุนแรงเพื่อหวังจะยุติการคุกคามของฝ่ายอำนาจรัฐ ด้วยการไปปิดล้อมสนามบินดอนเมืองและสุวรรณภูมิ
การชุมนุมต่อต้านยืดเยื้อถึง 193 วัน ทำได้แค่การผลัดเปลี่ยนการครอบครองอำนาจรัฐของนักการเมือง ที่ผลัดเปลี่ยนกันเป็นฝ่ายค้านฝ่ายรัฐบาลตามระบบรัฐสภาที่มาจากการเลือกตั้ง แบบฉ้อฉลไม่เที่ยงธรรม ในสภาวะแวดล้อมที่พื้นฐานความรู้เรื่องการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ของคนเลือกตั้งยังอ่อนด้อยและอ่อนแอ
เมื่อสถานการณ์สร่างซาลง พลังมวลชนที่รวมกันเป็นพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เริ่มแตกกระสานซ่านเซ็น แยกตัวกันออกไปเป็นกลุ่มย่อยต่างๆมากมาย ด้วยเหตุผลและความเชื่อของแต่ละฝ่าย ซึ่งแน่ละว่า ย่อมทำให้พลังของการเมืองภาคประชาชนอ่อนแรงลง และหลายต่อหลายสถานการณ์ของบ้านเมืองที่ผ่านมา ทำให้ผมเริ่มรู้สึกว่า คงหวังอะไรจาก “พลังเงียบ” ที่เงียบเชียบไม่ได้อีกต่อไปแล้ว สังคมไทยแปรเปลี่ยนไปมาก คนไทยเริ่มเป็นอยู่อย่างปัจเจกชนสูงขึ้นเรื่อยๆ และกำลังจะกลายเป็นสังคมตัวใครตัวมัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อดูจากสังคมคนหนุ่มสาวเยาวชน ยิ่งจะเห็นชัดว่า สังคมอุดมการณ์เหือดหายไปจากสังคมไทยแทบจะหมดสิ้นแล้ว สังคมไทยส่วนใหญ่กลายเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยเงิน คนหนุ่มสาวเยาวชนส่วนใหญ่จึงฟุ้งเฟ้ออยู่ในสังคมเทคโนโลยีที่หยาบกระด้างไร้สุนทรีย์ และปราศจากอุดมการณ์ทางการเมืองอย่างสิ้นเชิง
มวลชนที่ออกมาคัดค้านต่อต้านความไม่ชอบมาพากลของนักการเมืองไทย จึงมีแต่หญิงชายวัยชราที่อายุอานามเกินครึ่งศตวรรษแล้วเป็นส่วนใหญ่ โดยเหลียวหาไม่แลเห็นคนรุ่นหนุ่มสาวเป็นทายาทสืบทอดต่อแต่อย่างใด
การต่อสู้ของการเมืองภาคประชาชนนับแต่นี้ต่อไป จึงไม่ควรตั้งความหวังไว้กับ “พลังเงียบ” อีกต่อไปแล้ว ผมว่าที่มีๆ กันอยู่ในปัจจุบันนี้แหละ ที่กระจัดกระจายเป็นสารพัดกลุ่ม ควรจะรวมตัวกันเป็นการเมืองภาคประชาชนให้เป็นปึกแผ่น ซึ่งอาจจะตั้งชื่อขบวนการใหม่ เลือกแกนนำกันขึ้นมาใหม่อย่างไรก็ย่อมได้ ขอเพียงทำอย่างไรให้รวมกันเป็นกลุ่มก้อนแข็งแรง เพราะดูๆ ไปแล้ว ก็คงจะเหลือกำลังที่จะรวมกันได้แค่นี้แหละ อาจมีมาเพิ่มบ้าง ด้วยอานิสงส์จากการสัญจรตระเวนให้ข้อมูลความรู้และปลุกระดมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่บากบั่นมุ่งมั่นทำอยู่ ซึ่งผมก็เชื่อว่า ไม่น่าจะมีเพิ่มอีกมากสักเท่าใด เพราะคนที่มารับฟังและรับการปลุกระดม ก็ล้วนแล้วแต่คนหน้าเดิมที่ร่วมอุดมการณ์กันมานั่นแหละ
ผมเชื่อของผมอย่างนี้นะ ใครจะคิดเห็นเป็นประการอื่นใด ก็เป็นสิทธิเสรีตามแต่ใจเถิด ผมเลิกหวังกับพลังเงียบที่เงียบเชียบอีกต่อไปแล้ว และถ้ากลุ่มพลังมวลชนต่างๆ ยังถือทิฐิ ต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างทำ พลังการเมืองภาคประชาชนก็จะอ่อนระโหยโรยแรงอย่างที่เห็นที่เป็นอยู่ แม้จะดูเคลื่อนไหวคึกคักในบางช่วงบางจังหวะ ก็คงต้องยอมรับว่ายังมีกำลังคนไม่มากพอที่จะกดดันพลิกคว่ำอะไรได้ และผมเชื่อว่าฝ่ายทักษิณ ชินวัตรกับบรรดากุนซือคนเสื้อแดงก็คงจะประเมินสถานการณ์และกำลังของฝ่ายต่อ ต้านได้เช่นกัน ดังจะสังเกตเห็นการรุกคืบในทุกด้านอย่างเหิมเกริม ไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหมอีกต่อไปแล้ว ไม่ว่าจะการแก้ไขรัฐธรรมนูญ การดัน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม และล่าสุดถึงกับรวมตัวกันใช้กำลังมวลชนกดดันให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญยุติการปฏิบัติหน้าที่ และเป้าหมายสำคัญต่อไปของเขาก็คือการยึดกุมทุกองค์กร เพื่อยึดครองประเทศไทยแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดนั่นเอง
สู้ไหวไหมครับพี่น้อง ข้าราชการพลเรือน ทหาร ตำรวจ อัยการ ดีเอสไอ และรัฐสภาส่วนใหญ่อยู่ภายใต้อาณัติเขาหมดแล้ว เหลือเพียง ป.ป.ช. และศาลที่เขากำลังมุ่งแก้กฎหมายรัฐธรรมนูญ เพื่อครอบครองให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดเช่นเดียวกัน
และล่าสุดโคลนนิ่งอย่าง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ถึงกับเผยตัวตนเป็นฝ่ายทักษิณและคนเสื้อแดงอย่างเต็มตัว ด้วยการให้ลิ่วล้อเขียนโพยประณามประเทศไทยเพื่อปกป้องพี่ชายอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู ไปยืนอ่านอย่างไม่อายปากที่ประเทศมองโกเลีย โดยไม่คำนึงถึงกาละเทศะและสถานะที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย
สถานการณ์มันสุกงอมเกินสุกงอมแล้ว แต่พลังเงียบก็ยังเงียบเชียบและเงียบงัน ไร้ปฏิกิริยาตอบสนองด้วยประการใดๆ สรุปแล้วการเมืองภาคประชาชนก็คงมีแต่พลังมวลชนที่เหลืออยู่เท่านั้นแหละ จะต่อสู้ด้วยยุทธศาสตร์ ยุทธวิธีใด คราวนี้คงสู้ยืดเยื้อยากแล้วล่ะ เพราะมือไม้ตำรวจควบคุมฝูงชนของฝ่ายเขาได้แสดงการปกป้องฝ่ายเขาอย่างเด็ดขาดและเอาจริง แบบที่กระทำกับม็อบเสธ.อ้ายให้เห็นแล้วนั่นไง ยุทธการครั้งต่อไปจึงมีแต่ต้องม้วนเดียวจบอย่างเดียว แต่อยู่ที่ว่าจะจบแบบใดเท่านั้นเอง ไม่ใช่เรื่องที่จะประมาทอีกต่อไปแล้ว การเมืองภาคประชาชนต้องตระหนัก และไตร่ตรองวางแผนให้รอบคอบมากกว่าที่เคยคิดเคยทำแบบเดิมๆ ที่ผ่านมา
ทีละกลีบทีละกลีบที่ร่วงหล่น ทีละคนทีละคนที่ห่างหาย
ทีละหวังทีละหวังที่วางวาย ทีละสายทีละสายไหลแยกทาง
เคยจับมือหลอมรวมร่วมกันสู้ เคยร่วมเรียนร่วมรู้ร่วมกันสร้าง
เคยคิดต่างเห็นต่างต่างปล่อยวาง ธรรมนำหน้าใสสว่างทุกทางทิศ
ตั้งตรงตามมติเสียงส่วนใหญ่ เสี่ยงสู้เสี่ยงภัยในถูกผิด
สายใยผูกพันเป็นพันธมิตร มุ่งมั่นทุกพันธกิจด้วยจิตใจ
ร่วมทุกข์ร่วมสุขทุกเช้าค่ำ ร่วมกันร่ายกันรำไม่หวั่นไหว
อหิงสาสันติภาพทุกโพยภัย ร่วมหัวเราะร่วมร้องไห้ในคืนวัน
ระหว่างทางหนาวร้อนในอ่อนล้า เหนือทุกข์ท้อทรมาคือคำมั่น
เพื่อชาติศาสน์กษัตริย์เหนือชีวัน คือพันธะสำคัญแห่งพันธมิตร
ทีละกลีบทีละกลีบที่ร่วงหล่น ทีละเหตุทีละผลชี้ถูกผิด
อาจคิดต่างเห็นต่าง ต่างความคิด ขอเพียงทุกพันธกิจ มุ่งทิศธรรม
วันนี้ชาติศาสน์กษัตริย์ล้วนสุ่มเสี่ยง เหล่าโฉดชั่ว ฉุดเอียงลงทางต่ำ
จาบจ้วงล่วงละเมิดด้วยมืดดำ ขึงระบอบครอบงำเอาตามใจ
มวลชนแตกสานซ่านกระเซ็น อ่อนกำลัง โลดเต้นต้านไม่ไหว
จึงเรียกร้องผองชนทุกคนไทย รวมกันป้องผองภัย...ไม่แยกกัน
ว.แหวนลงยา