จะถือว่าเป็นเพราะโชคชะตาฟ้าลิขิตหรือเกิดจากธรรมะจัดสรร ก็ตามทีเถิด สิ่งที่ปรากฏเป็นจริงต่อเบื้องหน้าในขณะนี้ก็คือ ปรากฏการณ์หน้ากากขาวกายฟอว์กส์ V for Thailand ที่ช่างมาได้อย่างเหมาะเจาะ และทันเวลาจริงๆ ในขณะที่ประเทศไทยกำลังจะถูกกลืนกินด้วยระบอบทักษิณอย่างเบ็ดเสร็จบริบูรณ์
ฝ่ายทักษิณและบริวารกำลังฮึกเหิมและรุกคืบที่จะแก้กฎหมายรัฐธรรมนูญ เพื่อรวบอำนาจทั้งฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการไว้ในอุ้งมืออย่างย่ามใจ พร้อมทั้งเตรียมการจะตรากฎหมายปรองดองเพื่อนิรโทษทักษิณและกลุ่มคนเสื้อแดงทั้งหมด โดยไม่แยแสต่อความถูกต้องชอบธรรมใดๆ เพราะประมาทคาดการณ์ว่า ฝ่ายต่อต้านกำลังแตกกระสานซ่านเซ็น รวมตัวกันไม่ติด ทักษิณและพวกจึงคิดจะรวบหัวรวบหาง ยึดครองประเทศไทยอย่างสะดวกสบายมือ
แต่คนคำนวณมิสู้ฟ้าลิขิต ทักษิณก้าวพลาดที่ย่ามใจให้นายกรัฐมนตรีโคลนนิ่งของตนไปกล่าวปาฐกถาที่ประเทศมองโกเลีย โดยคิดจะฟอกผิดตนเองต่อนานาชาติสากล อย่างที่คิดว่าชาญฉลาดเต็มที แต่กลับกลายเป็นประเด็นที่สังคมโลกต้องนำไปวิเคราะห์วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างแพร่หลายว่า อะไรคือข้อเท็จและข้อจริง ทางการเมืองระหว่างทักษิณกับประเทศไทย ในขณะที่ปาฐกถาครั้งนั้น กลายเป็นผลกระทบอย่างรุนแรงที่คนไทยส่วนหนึ่งยอมรับไม่ได้ เพราะเห็นว่าเป็นการยกย่องทักษิณโดยกล่าวให้ร้ายประเทศไทย และผู้กล่าวให้ร้ายนั้นคือผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีประเทศไทยเอง ที่มุ่งจะปกป้องพี่ชายของตนเองโดยไม่คำนึงถึงกาลเทศะว่าอยู่ในสถานะใด
ผลกระทบทำให้เกิดแรงต่อต้านฉับพลัน โดยมีการจัดตั้งกลุ่ม “Thai Spring” นำโดย พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร และนายแก้วสรร อติโพธิ ใช้การตอบโต้สื่อสารทางโซเชียลเน็ตเวิร์ก และเปิดช่องทางให้คนไทยร่วมลงชื่อคัดค้านและแสดงความคิดเห็นเพื่อเผยแพร่สู่ประชาคมโลกให้ได้รับรู้ข้อมูลที่เป็นจริงระหว่างขบวนการของระบอบทักษิณกับประเทศไทย เลียนแบบปรากฏการณ์อาหรับสปริง ที่เคยก่อให้เกิดคลื่นการปฏิวัติโดยประชาชนในโลกอาหรับ ลุกลามโค่นล้มรัฐบาลในหลายประเทศ เช่น ลิเบีย ตูนีเซีย และอียิปต์ เป็นต้น
และหลังจากการรวมกลุ่มไทยสปริงไม่กี่วัน ในโลกโซเชียลเน็ตเวิร์ก ก็เกิดการรวมกลุ่มหน้ากากขาว Guy Fawkes ระดมพลเข้าไปก่อกวนทุกเว็บเพจของฝ่ายรัฐบาล โดยใช้ข้อความเดียวกันว่า “บัดนี้ กองทัพประชาชนได้ลุกขึ้นแล้ว ข้าขอประกาศว่า ข้าจะล้มล้างระบอบทักษิณให้หมดสิ้นจากแผ่นดินไทย” จนเกิดการโกลาหลไปทั้งฟากฝั่งพรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดง ถึงขนาดทักษิณบริภาษมาทางพรรคเพื่อไทยว่า ทีมงานโง่ ปล่อยให้พวกสวะเข้ามาหยามได้
นั่นเป็นปรากฏการณ์เริ่มต้น หลังจากนั้นบรรดา “สวะ” ที่ทักษิณผรุสวาทหยามเหยียดด้วยโทสะ ได้มีการนัดหมายรวมพลคนหน้ากากขาวที่บริเวณหน้าเซ็นทรัลเวิลด์ สองครั้ง คือ เมื่อวันที่ 2 และ 9 มิถุนายน 2556 ครั้งแรกมีคนมาร่วมเดินขบวนจากเซ็นทรัลเวิลด์ไปที่สยามสแควร์ประมาณสักพันคนเห็นจะได้ ซึ่งก็สร้างความฮือฮาพอสมควร เพราะเป็นการรวมตัวกันเองโดยไม่ต้องมีแกนนำใดๆ ทุกคนพร้อมใจกันมาต่อต้านรัฐบาลแบบเสรีชน และครั้งที่สองเมื่อวันที่ 9 มิ.ย. ไม่น่าเชื่อว่า จะมีคนมาร่วมชุมนุมเดินขบวนในนามหน้ากากขาวเพิ่มขึ้นถึงนับหมื่นคน โดยพร้อมใจกันมาแสดงสัญลักษณ์การไม่ยอมรับรัฐบาลนี้และระบอบทักษิณอย่างอิสรเสรี ไม่ต้องมีแกนนำแกนตามอีกเช่นเดียวกัน
เนื่องจากปรากฏการณ์ไทยสปริงและหน้ากากขาว เป็นการต่อสู้ของภาคประชาชนในรูปแบบที่เป็นสากลมากขึ้น สามารถแพร่กระจายไปในโซเชียลเน็ตเวิร์กได้กว้างขวางขึ้น แตกต่างจากการชุมนุมเดินขบวนแบบเดิมๆ ที่ผ่านมา ทำให้ขบวนการหน้ากากขาวแพร่กระจายไปทั่วโลก และจากกรุงเทพฯ ก็เริ่มแพร่กระจายไปสู่ภูมิภาคจังหวัดต่างๆ แล้ว หลายจังหวัดทั้งภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคกลาง ภาคอีสาน เริ่มมีการนัดหมายชุมนุมกันแบบขบวนการหน้ากากขาว ซึ่งเชื่อได้ว่า จะแพร่กระจายไปทั่วประเทศในเร็ววันนี้ เกิดเป็นขบวนการมวลมหาประชาชนหน้ากากขาวที่มีพลังมหาศาลได้อย่างแน่นอน
ในขณะที่ทักษิณและพวกกำลังชิงความได้เปรียบทางการเมือง หมายแก้กฎหมายรัฐธรรมนูญ ยุบเลิกศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง และองค์กรอิสระต่างๆ ตลอดจนการครอบงำอำนาจตุลาการ โดยให้อำนาจรัฐสภาเป็นผู้คัดเลือกผู้ดำรงตำแหน่งในศาลฎีกา รวมไปถึงการคิดก้าวล่วงไปจำกัดสิทธิในส่วนของสถาบันอย่างจาบจ้วงไม่บังควร การปรากฏขึ้นของขบวนการหน้ากากขาว จึงมาได้อย่างทันกาลทันเวลาและทันต่อสถานการณ์ เพื่อจะเป็นพลังกดดันต่อต้านยับยั้งไม่ให้ฝ่ายทักษิณและพวกกระทำการอาจเอื้อมเอาตามอำเภอใจได้โดยง่าย
ผมเชื่อว่า พลังเงียบที่เงียบเฉยมานาน เริ่มสะดวกใจที่จะออกมาร่วมต่อต้าน เพราะไม่ต้องพะวงในเรื่องสีเสื้อและลังเลต่อแกนนำที่ถูกมัดมือมัดเท้าโดยคำสั่งศาลที่ให้ประกันตัวในคดีก่อการร้ายอีกต่อไปแล้ว สังเกตไหมว่า แม้ในระยะหลัง การชุมนุมของกลุ่มต่างๆ จะพยายามประกาศว่าไม่จำกัดเรื่องสีแล้ว ขอให้เป็นคนไทยที่มีจิตใจและเป้าหมายตรงกัน ให้ออกมาร่วมกันได้ พลังเงียบส่วนใหญ่ก็ยังลังเลที่จะออกมา บัดนี้ ปรากฏการณ์หน้ากากาขาวที่ไม่ต้องมีแกนนำได้มาปลดเปลื้องเงื่อนไขทั้งปวงแล้ว พลังเงียบน่าจะทยอยออกมาเป็นพลังมวลมหาประชาชนเหมือนเมื่อครั้งเดือนตุลาคม 2516 ที่โค่นล้มเผด็จการทหาร
และผมดีใจที่ภาคประชาชนทุกกลุ่มที่พลัดพรายแยกจากกัน ต่างสนับสนุนเป็นเสียงเดียวกัน รวมทั้งกลุ่มใหญ่อย่างพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่คุณสนธิ ลิ้มทองกุล ถึงกับสั่งพิมพ์สติกเกอร์หน้ากากขาวแจกให้แก่สมาชิกหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายสัปดาห์ แบบบอกเป็นนัยๆ ว่าพร้อมจะก้าวเดินไปด้วยกัน และแกนนำพันธมิตรฯ ทุกคนต่างเห็นชอบกับขบวนการนี้อย่างยินยอมพร้อมใจกันแล้ว
ผมเชื่อว่าการเกิดขึ้นของขบวนการหน้ากากขาวในต่างจังหวัด ก็น่าจะมีกลุ่มพันธมิตรฯ เดิมเป็นกำลังสำคัญ ผนวกเข้ากับพลังเงียบที่เริ่มตื่นตัวและพร้อมที่จะเข้าร่วมขบวนการอย่างสะดวกใจ และที่น่ายินดีอย่างยิ่งคือ คนในโลกโซเชียลเน็ตเวิร์กที่มาเข้าร่วมขบวนการนี้ ล้วนคนหนุ่มสาวเยาวชนเป็นส่วนใหญ่ด้วย
คลื่นปฏิวัติโดยการเมืองภาคประชาชน จะเป็นคลื่นยักษ์โหมกระหน่ำทำลายล้างสิ่งชั่วร้ายในบ้านเมือง เหมือนปรากฏการณ์อาหรับสปริงในโลกอาหรับที่โค่นล้มรัฐบาลเผด็จการระเนนระนาดมาแล้วอย่างแน่นอน ใครไม่เชื่อก็คอยดู