ผู้ส่งออก-ธปท.ทวงถามคลัง ให้เร่งพิจารณาอนุมัติมาตรการผ่อนคลายเงินทุนของคนไทย และผู้ประกอบการรายกลาง-เล็กที่จะออกไปลงทุนในต่างประเทศ และการอนุญาตให้ถือเงินตราต่างประเทศให้ยาวขึ้นตามภาระการชำระในอนาคต ช่วยผู้ส่งออกบริหารเงิน และการแข็งค่าของเงินบาท หลังคลังระบุต้องใช้เวลาพิจารณามากกว่า 3 เดือน
แหล่งข่าวจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ในช่วงที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นมาในช่วงผ่านมา ได้มีผู้ประกอบการรายย่อย (เอสเอ็มอี) และผู้ส่งออกได้โทรศัพท์เข้ามาสอบถาม ธปท.ถึงมาตรการการผ่อนคลายการนำเงินทุนออกไปลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งจะขยายให้บุคคลธรรมดา และผู้ประกอบการรายย่อย สามารถนำเงินทุนไปลงทุนโดยตรงในต่างประเทศได้โดยไม่จำกัดจำนวน รวมถึงมาตรการที่อนุญาตให้ผู้ประกอบการ สามารถฝากเงินเป็นเงินตราต่างประเทศ ในบัญชีเงินฝากสกุลเงินตราต่างประเทศในประเทศไทยได้ (เอฟซีดี) โดยไม่จำกัดเวลา ขึ้นกับภาระการชำระเงินตราต่างประเทศในอนาคต ว่า ธปท.จะนำมาออกใช้จริงได้ในช่วงใด
ทั้งนี้ เนื่องจากมาตรการดังกล่าวจะช่วยให้ผู้ส่งออกสามารถที่จะบริหารเงินตราต่างประเทศที่อยู่ในมือได้สะดวกขึ้น และไม่ต้องขายเงินตราต่างประเทศออกมาเมื่อครบ 360 วัน ขณะที่ทำให้ผู้ที่มีหนี้เป็นสกุลเงินตราต่างประเทศในระยะยาว สามารถซื้อเงินตราต่างประเทศในช่วงที่ค่าเงินบาทแข็งเพื่อสะสมไว้สำหรับใช้หนี้ได้ ขณะเดียวกัน การให้ผู้ประกอบการรายย่อย
และบุคคลธรรมดาไปลงทุนโดยตรงได้ จะสร้างความสะดวกในการย้ายฐานการผลิตไปยังต่างประเทศของผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็กเพิ่มขึ้น
โดยผู้ประกอบการต้องการให้อนุมัติผ่อนคลายมาตรการดังกล่าวโดยเร็ว ซึ่งเรื่องนี้ทางธปท.ก็เห็นด้วย เพราะในช่วงที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง จากเงินทุนที่ไหลเข้ามาลงทุนในต่างประเทศ และเห็นแนวโน้มที่จะไหลเข้ามาลงทุนในระยะต่อไปอีกนั้น หากเร่งออกมาตรการดังกล่าวออกมา จะช่วยให้ผู้ส่งออกสามารถถือครองเงินตราต่างประเทศได้นานขึ้น
และอำนวยความสะดวกการย้านฐานการผลิตของเอสเอ็มอีในช่วงที่ได้รับผลกระทบจากค่าแรงที่เพิ่มขึ้น และค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น
อย่างไรก็ตาม สายตลาดการเงินให้ข้อมูลว่า มาตรการทั้ง 2 เรื่องดังกล่าว ธปท.ได้จัดทำเสร็จแล้ว พร้อมที่จะนำออกใช้ แต่อำนาจการประกาศใช้บังคับในเรื่องดังกล่าว จะต้องได้รับการอนุมัติจากกระทรวงการคลัง โดยขณะนี้ทางธปท.ได้ส่งเรื่องดังกล่าวไปยังกระทรวงการคลังให้พิจารณาอนุมัติแล้ว ตั้งแต่ช่วงเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา แต่เท่าที่ได้รับทราบจากกระทรวงการคลัง
อาจจะต้องใช้เวลาค่อนข้างนาน เพราะต้องมีการพิจารณาอย่างรอบคอบ โดยอาจจะพิจารณาอนุมัติได้ภายในเดือน มิ.ย.ที่จะถึงนี้
โดยในขณะนี้ ธปท.กำลังติดตามการอนุมัติมาตรการดังกล่าวว่า กระทรวงการคลังสามารถจะดำเนินการได้เร็วกว่าที่บอกไว้หรือไม่ เพราะในช่วงครึ่งปีหลัง ธปท.ก็จะมีมาตรการผ่อนคลายเกณฑ์การนำเงินทุนของบุคคล และนิติบุคคลของไทยเสนอไปยังกระทรวงการคลังเพิ่มเติมอีก ซึ่งเป็นไปตามแผนแม่บทเงินทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศ เพื่อสร้างความสมดุลระหว่างเงินไหลเข้าและเงินทุนไทยที่ออกไปลงทุนในต่างประเทศ
แหล่งข่าวจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ในช่วงที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นมาในช่วงผ่านมา ได้มีผู้ประกอบการรายย่อย (เอสเอ็มอี) และผู้ส่งออกได้โทรศัพท์เข้ามาสอบถาม ธปท.ถึงมาตรการการผ่อนคลายการนำเงินทุนออกไปลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งจะขยายให้บุคคลธรรมดา และผู้ประกอบการรายย่อย สามารถนำเงินทุนไปลงทุนโดยตรงในต่างประเทศได้โดยไม่จำกัดจำนวน รวมถึงมาตรการที่อนุญาตให้ผู้ประกอบการ สามารถฝากเงินเป็นเงินตราต่างประเทศ ในบัญชีเงินฝากสกุลเงินตราต่างประเทศในประเทศไทยได้ (เอฟซีดี) โดยไม่จำกัดเวลา ขึ้นกับภาระการชำระเงินตราต่างประเทศในอนาคต ว่า ธปท.จะนำมาออกใช้จริงได้ในช่วงใด
ทั้งนี้ เนื่องจากมาตรการดังกล่าวจะช่วยให้ผู้ส่งออกสามารถที่จะบริหารเงินตราต่างประเทศที่อยู่ในมือได้สะดวกขึ้น และไม่ต้องขายเงินตราต่างประเทศออกมาเมื่อครบ 360 วัน ขณะที่ทำให้ผู้ที่มีหนี้เป็นสกุลเงินตราต่างประเทศในระยะยาว สามารถซื้อเงินตราต่างประเทศในช่วงที่ค่าเงินบาทแข็งเพื่อสะสมไว้สำหรับใช้หนี้ได้ ขณะเดียวกัน การให้ผู้ประกอบการรายย่อย
และบุคคลธรรมดาไปลงทุนโดยตรงได้ จะสร้างความสะดวกในการย้ายฐานการผลิตไปยังต่างประเทศของผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็กเพิ่มขึ้น
โดยผู้ประกอบการต้องการให้อนุมัติผ่อนคลายมาตรการดังกล่าวโดยเร็ว ซึ่งเรื่องนี้ทางธปท.ก็เห็นด้วย เพราะในช่วงที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง จากเงินทุนที่ไหลเข้ามาลงทุนในต่างประเทศ และเห็นแนวโน้มที่จะไหลเข้ามาลงทุนในระยะต่อไปอีกนั้น หากเร่งออกมาตรการดังกล่าวออกมา จะช่วยให้ผู้ส่งออกสามารถถือครองเงินตราต่างประเทศได้นานขึ้น
และอำนวยความสะดวกการย้านฐานการผลิตของเอสเอ็มอีในช่วงที่ได้รับผลกระทบจากค่าแรงที่เพิ่มขึ้น และค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น
อย่างไรก็ตาม สายตลาดการเงินให้ข้อมูลว่า มาตรการทั้ง 2 เรื่องดังกล่าว ธปท.ได้จัดทำเสร็จแล้ว พร้อมที่จะนำออกใช้ แต่อำนาจการประกาศใช้บังคับในเรื่องดังกล่าว จะต้องได้รับการอนุมัติจากกระทรวงการคลัง โดยขณะนี้ทางธปท.ได้ส่งเรื่องดังกล่าวไปยังกระทรวงการคลังให้พิจารณาอนุมัติแล้ว ตั้งแต่ช่วงเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา แต่เท่าที่ได้รับทราบจากกระทรวงการคลัง
อาจจะต้องใช้เวลาค่อนข้างนาน เพราะต้องมีการพิจารณาอย่างรอบคอบ โดยอาจจะพิจารณาอนุมัติได้ภายในเดือน มิ.ย.ที่จะถึงนี้
โดยในขณะนี้ ธปท.กำลังติดตามการอนุมัติมาตรการดังกล่าวว่า กระทรวงการคลังสามารถจะดำเนินการได้เร็วกว่าที่บอกไว้หรือไม่ เพราะในช่วงครึ่งปีหลัง ธปท.ก็จะมีมาตรการผ่อนคลายเกณฑ์การนำเงินทุนของบุคคล และนิติบุคคลของไทยเสนอไปยังกระทรวงการคลังเพิ่มเติมอีก ซึ่งเป็นไปตามแผนแม่บทเงินทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศ เพื่อสร้างความสมดุลระหว่างเงินไหลเข้าและเงินทุนไทยที่ออกไปลงทุนในต่างประเทศ
