ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - เรียกเสียงฮือฮาจากสาวกพรรคประชาธิปัตย์ได้อย่างคึกโครมและดูจะเป็นการโต้วิวาทะกันอย่างดุเดือดไม่น้อยทีเดียวเมื่อปรากฏข่าวจากข้อความที่โพสต์ในเฟซบุ๊กของ นายสมศักดิ์ เทพสุทินที่ระบุว่าเวลานี้มีนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลไปพบ นช.ทักษิณ ชินวัตร ถี่ผิดปกติ ถี่มากกว่าตัวเองที่บินไปพบเสียอีก โดย ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการด้านการตลาด นำข้อความที่อ่านพบดังกล่าวมาขยายความโดยโพสต์ในเฟซบุ๊กตัวเองเรียกร้องให้ฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์รีบออกมาชี้แจงโดยเร็ว เพื่อไม่ให้สังคมเกิดความเคลือบแคลง
ทั้งนี้ เนื่องเพราะบุคคลที่ถูกกล่าวถึงในกระแสข่าวที่ถูกปล่อยออกมามิใช่ใครอื่น หากแต่คือ นายกรณ์ จาติกวณิช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นั่นเอง
“ประชาธิปัตย์ต้องรีบออกมาชี้แจงกรณี นายสมศักดิ์ เทพสุทิน บอกว่านักการเมืองฝ่ายตรงกันข้ามกับรัฐบาลไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร บ่อยกว่าตัวนายสมศักดิ์เองเสียอีก ถ้าหากไปคุยกันเพื่อบ้านเมือง เพื่อประชาชนก็ยินดีสนับสนุน แต่ถ้าไปคุยเพื่อตกลงเรื่องผลประโยชน์ของนักการเมือง ประชาชนคงต้องคิดว่าจะให้นักการเมืองทำงานเพื่อประชาชนได้อย่างไร”ดร.เสรีเขียนข้อความลงในเฟซบุ๊ก “ดร.เสรี วงษ์มณฑา”
ฉับพลันทันทีเพียงไม่กี่ชั่วโมงถัดมา นางวรกร จาติกวณิช ภรรยานายกรณ์ จาติกวณิช ก็ออกโรงมาปฏิเสธทันควัน โดยได้โพสต์ในเฟซบุ๊ก "วรกร จาติกวณิช" ว่า “วันนี้มีข่าวปล่อยว่าคุณกรณ์ไปหาทักษิณที่ฮ่องกง มีคนเขียนมาถามใน inbox หลายคน ขอตอบชัดๆ สั้นๆ ตรงนี้ว่า ไม่จริง และขอบอกด้วยว่า ถ้าวันไหนคุณกรณ์จะไปหาทักษิณแบบหลบๆ ซ่อนๆ สายตาประชาชนไป ต้องข้ามศพเมียไปก่อนค่ะ”
ขณะที่ นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย นช.ทักษิณ ชินวัตร ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กถึงกรณีมีกระแสข่าวดังกล่าวซ้ำอีกพอกว่า “ไปฮ่องกงจะไปพบหรือไม่พบใคร ได้เข้าพบหรือไม่ได้เข้าพบ ก็ชี้แจงกันไปตรงๆ ครับ ไม่ใช่พูดกันงึมงำๆ จะชี้แจงกับพี่น้องประชาชนทั้งทีพูดไม่เคลียร์แบบนี้ ไม่ดีกับทุกๆ ฝ่ายครับ ...ก็แค่บอกไปตรงๆ ว่า วันนั้นที่ฮ่องกงไปทำอะไร บังเอิญหรือจงใจ ที่ไปนั่งเล่นอยู่เป็นชั่วโมงสองชั่วโมง ไปดักรอพบใครหรือเปล่า ได้เข้าพบ หรือไม่ได้เข้าพบ ก็พูดความจริงไปเท่านั้นเอง ฝั่งผมชี้แจงชัดเจน จะบังเอิญอย่างไร ก็ไม่ให้พบ เคลียร์มั้ยครับ??”
“ป.ล. ถ้านึกไม่ออกว่าวันไหน ดูจากในรูปก็ได้” ซึ่งก็ปรากฏว่าเป็นรูปนายกรณ์กับภรรยานั่งอยู่ที่ล็อบบี้โรงแรมดังกล่าว
จนในที่สุดตัวละครเอกของเรื่อง คือนายกรณ์ต้องตัดสินใจชี้แจงย้ำอีกครั้ง ผ่านเฟซบุ๊กว่า “เดิมทีไม่คิดจะชี้แจงเพราะเห็นเป็นเรื่องไร้สาระ และภรรยาผมก็ได้ชี้แจงอย่างเด็ดขาดไปแล้วตั้งแต่ข่าวเริ่มปรากฏ แต่ดูเหมือนมีการพยายามขยายผลโดยผู้ที่ไม่หวังดีกับผม กับพรรคประชาธิปัตย์ และไม่หวังดีกับแนวร่วมที่มั่นคงของเราอย่างเช่นอาจารย์เสรี วงษ์มณฑา ผมจึงขอสร้างความกระจ่างในเรื่องนี้เพื่อความสบายใจของผู้ร่วมอุดมการณ์ทุกคนผมยืนยันว่าไม่เคยไปพบหรือขอพบ ไม่เคยไปคุย ไปหา ไปเจรจา ไม่เคยคุยทางโทรศัพท์ ไม่เคยสไกป์ โฟนอิน หรือส่งข้อความใดๆทั้งสิ้นกับทักษิณล่าสุดเมื่อสามอาทิตย์ก่อน ที่โรงแรม Intercontinental ที่ฮ่องกง ผมนั่งดื่มน้ำชาอยู่กับภรรยา
“ขณะที่ทักษิณอยู่ในห้องตู้กระจกชั้นลอย ห่างจากผมไปหนึ่งชั้น ระยะประมาณ 20เมตร มีนักการเมือง และนักธุรกิจรอแถวเข้าพบ เมื่อดื่มน้ำชาเสร็จผมก็ลุกไป เพราะไม่ได้พักอยู่โรงแรมนั้น แต่ภรรยาอยากไปเพราะเป็นโรงแรมที่มีวิวข้ามจากฝั่งเกาลูนมาทางฝั่งฮ่องกงที่สวยที่สุด (รูปประกอบโพสท์นี้คือรูปที่ภรรยาผมถ่ายเล่นเพื่อลง instagram จากที่ๆเรานั่งอยู่) และผมก็ไม่เคยปฏิเสธว่า เห็น ทักษิณที่นั่น ก่อนลุกไปก็ยังได้ SMS มาหาท่านหัวหน้าอภิสิทธิ์ แจ้งให้ท่านทราบว่าเห็นทักษิณอยู่ที่ฮ่องกง คุณอภิสิทธิ์ก็ไม่ได้สนใจอะไรมากมายผมอยากจะบอกว่า ผมไม่รู้จะไปพบทักษิณทำไม ไม่มีอะไรต้องพูดกันถามว่าเมื่อเห็นว่ามีทักษิณอยู่ในที่นั้น ทำไมไม่เดินหนีออกมา ก็ต้องตอบว่า ผมไม่ใช่คนอย่างนั้นครับ ผมและภรรยาไม่มีเหตุที่จะทำให้ต้องหลบหน่าหลบตาใคร เรานั่งอยู่ใน lobby โรงแรมอย่างเปิดเผย ไม่มีความจำเป็นต้องหลบซ่อนหรือหลีกทางให้ใครแต่ถ้าผมเขียนอย่างนี้แล้วยังมีคนไม่เชื่อ ก็ช่วยไม่ได้แล้วครับ ดีที่สุดก็ดูท่าที่การทำงานของผมต่อไปแล้วกัน นั่นน่าจะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด มากกว่าการชี้แจงใดๆทั้งสิ้นส่วนการที่มีการพยายามปั่นข่าวนี้ ก็เพราะหวังจะทำให้พวกเราเองเคลือบแคลงใจ แตกแยก ไม่สามัคคีคนเราสุดท้ายก็ต้องคิดเอาเองครับ ว่าอะไรเป็นอะไร ใครได้ประโยชน์จากข่าว ใครเสียประโยชน์ ไม่อย่างนั้นก็เป็นเหยื่อเขาไปตลอดที่สำคัญผมระแวงกับข่าวนี้เพราะผมว่ามันไร้สาระเกินไป จนทำให้ต้องคิดว่าเขากำลังกลบหรือเบี่ยงเบนข่าวหรือการกระทำอะไรอยู่”
อย่างไรก็ตาม ก็ต้องบอกว่าไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าทั้งสองฝ่ายคือกรณ์และนช.ทักษิณ แอบพบกันหรือไม่อย่างไร แต่ก็นับว่าเป็นความบังเอิญแบบร้ายกาจเช่นกัน ตรงทั้งเวลาและสถานที่ในช่วงเวลาเดียวกัน แถมที่สำคัญยังมีรูปหลักฐานชัดเจนอีกต่างหาก
ที่สำคัญคือ แม้จะมีการปฏิเสธด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดแล้วก็ตาม แต่ใช่ว่าจะ เคลียร์ได้อย่างแบบหมดจดร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะข่าวนี้หลุดออกมาจาก สมศักดิ์ เทพสุทิน ว่ามีการแอบพบกัน ซึ่งถ้าไม่มีการแฉเรื่องนี้ออกมาก่อน ก็คงไม่มีใครรู้ เรื่องก็คงเป็นความลับดำมืดต่อไป ที่ต้องขีดเส้นใต้ไว้เสียหน่อยก็คือ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ก็จะใช่ว่าเป็นศัตรูกับพรรคประชาธิปัตย์ แถมยังเคยร่วมรัฐบาลเดียวกันเสียด้วยซ้ำไป
ขณะเดียวกัน ถ้าจะกล่าวถึงกระแสข่าวที่ทำให้พรรคประชาธิปัตย์และเจ้าตัวนายกรณ์ ต้องมานั่งปัดข่าวปฏิเสธกันวุ่นวายขนาดนี้ คงจะเป็นกรรมเก่าที่คนในพรรคประชาธิปัตย์ต้องรับกรรมเสียบ้าง เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าวิธีการปล่อยข่าวดิสเครดิตปล่อยข่าวทำลายฝั่งตรงข้ามเป็นงานถนัดของคนในพรรคพระแม่ธรณีบีบมวยผมเช่นกัน
หากยังจำกันได้ครั้งหนึ่งมีการปล่อยข่าวกรณีนายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งสื่อในเครือเอเอสทีวีผู้จัดการ และแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยว่า รับเงินจาก นช.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
โดยในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์นั้น มีกระแสข่าวหนาหูว่าคนปล่อยข่าวรายแรกๆ มิใช่ใครอื่น หากแต่คือ นายกรณ์ จาติกวณิช อดีต รมว.คลัง รองหัวหน้าพรรค นั่นเอง
โดยเป้าหมายก็ในการปล่อยข่าวทำลายพันธมิตรฯ ก็มิใช่อื่นไกล หากเป็นเพราะพันธมิตรฯ มักกล่าววิพากษ์วิจารณ์พรรคประชาธิปัตย์ในการบริหารราชการแผ่นดินที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งถ้าจะว่าไปแล้วการวิพากษ์วิจารณ์ดังกล่าวถือเป็นสิ่งที่เหมาะสมเพราะเมื่อพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลก็ย่อมต้องถูกตรวจสอบหากพบความไม่ชอบมาพากล
ที่สำคัญคือ การวิพากษ์วิจารณ์ดังกล่าวก็มิได้เลือกที่รักมักที่ชัง เพราะเมื่อพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล นายสนธิและสื่อในเครือเอเอสทีวีผู้จัดการก็เปิดฉากวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรอย่างหนักไม่แพ้กัน เผลอๆ จะมากกว่าเสียด้วยซ้ำไป
อย่างไรก็ดี การที่นายกรณ์ถูกปล่อยข่าวให้ได้รับความเสียหาย ความจริงก็มิใช่เรื่องแปลกประหลาดตรงไหน เพราะเมื่อย้อนหลังไปดูพฤติกรรมในอดีตของอดีตขุนคลังแห่งพรรคประชาธิปัตย์ผู้นี้ก็จะพบว่า มีสายสัมพันธ์อันดีกับระบอบทักษิณและคนเสื้อแดงไม่น้อย
หากยังจำกันได้ เมื่อครั้งที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะต้องการปรองดองกับคนเสื้อแดง ก็มิใช่นายกรณ์และนายกอรปศักดิ์ สภาวสุ ดอกหรือที่ถูกส่งไปเป็นตัวแทนเจรจาในช่วงการชุมนุมเผาบ้านเผาเมืองปี 2553
สุดท้ายแล้ว นิทานเรื่องนี้จึงสอนให้พรรคประชาธิปัตย์รู้ว่า เวรกรรมมีจริงและยิ่งด้วยติดยี่ห้อของนักการเมืองพันธุ์ไทยด้วยแล้ว ในประโยคที่ว่าไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวรบนเส้นทางการเมือง ก็ยิ่งไม่มีใครรับประกันได้ว่าความจริงแล้วเป็นอย่างไร จะมีเพียงกรณ์เท่านั้นที่น่าจะรู้ดีที่สุดและสุดท้ายเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์