xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ไบกอนฟ้า สูตรฆ่ากันเอง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร
ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ชัยชนะของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตรในศึกเลือกตั้งผู้ว่ากรุงเทพมหาคร ที่จบลงไปไม่กี่วันที่ผ่านมาอาจจะทำให้คุณชายหมูและพรรคประชาธิปัตย์ จะมามัวแต่ฉลองฝันหวานถึงชัยชนะที่เพิ่งได้มาสดๆ ร้อนๆ ไม่ได้เสียแล้ว และอาจจะต้องพับเก็บโผรองผู้ว่าฯ กทม. ที่สะพัดปลิวว่อนไปทั่วที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์อย่างคึกคักลงไปก่อน เนื่องจาก ยังต้องเจอมรสุมการเมืองกรณีคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยังไม่ประกาศรับรองผลการเลือกตั้งออกมาอย่างเป็นทางการเพราะเหตุที่มีเรื่องร้องเรียนให้พิจารณาด้วยกันยาวเป็นหางว่าวเลยทีเดียว

และถ้าจะกล่าวถึงชัยชนะที่ได้มานั้นพรรคประชาธิปัตย์ ย่อมรู้ตัวเองดีว่าใช้กลยุทธใดในการหาเสียงจนได้รับชัยชนะในศึกครั้งนี้มาว่าเป็นเพราะกลยุทธ์วิชาก้นกุฏิของพรรคประชาธิปัตย์เองล้วนๆ อาทิไม่เลือกเราเขามาแน่ของบรรดาแกนนำพรรค การโพสต์รูปภาพเผาบ้านเผาเมืองและข้อความทำนองเผาบ้านเผาเมือง ของนายศิริโชค โสภา ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ รวมไปถึงผลจากคำปราศรัยของแกนนำพรรคประชาธิปัตย์ที่ออกในเชิงการใส่ร้ายป้ายสี กำลังกลับมาเป็นดาบสองคม ทำลายพรรคประชาธิปัตย์เองอยู่ในขณะนี้นั้นเอง

ทั้งนี้ เรื่องแรกที่บรรดาพรรคประชาธิปัตย์ต้องมานั่งลุ้นระทึกกันแบบเสียวไส้กันเลยทีเดียวกับกรณีคณะกรรมการการเลือกตั้งกรุงเทพมหานคร (กกต.กทม.) มีมติ 3 ต่อ 2 ชงเรื่องให้ กกต.กลางพิจารณาชี้ขาด 2ประเด็นว่าจะรับรอง ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ที่ชนะเลือกตั้งให้เป็นผู้ว่าฯ กทม. หรือไม่

พล.ต.ท.ทวีศักดิ์ ตู้จินดา ประธาน กกต.กทม. กล่าวถึงการพิจารณาคำร้องคัดค้านการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. ที่ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร เป็นผู้ได้รับเลือกตั้งว่า ขณะนี้ กกต.กทม.ได้รับคำร้องทั้งสิ้น 20 คำร้อง พิจารณาไปแล้ว 9 คำร้อง ในจำนวนนี้รับเป็นคำร้อง 3 เรื่อง ไม่รับ 4 เรื่อง และมี 2 เรื่องที่ กกต.กทม.มีมติเสียงข้างมากเสนอความเห็นไปยัง กกต.กลาง โดยจะถึง กกต.กลางในวันที่ 14 มีนาคมนี้ เป็นกรณีที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีต ส.ว.และผู้มีสิทธิเลือกตั้งร้องขอให้ กกต.ตรวจสอบการโพสต์ภาพเผาบ้านเผาเมืองของนายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา ปชป. ในเฟซบุ๊ก รวมถึงการโพสต์ข้อความในลักษณะ "ไม่เลือกเราเขามาแน่" ของดร.เสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการ โดยเชื่อว่าจากพยานหลักฐานและการสอบสวนของ กกต.กทม. มีความสมบูรณ์พอที่ กกต.กลางจะพิจารณาได้เลยว่าสมควรที่จะประกาศ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์เป็นผู้ว่าฯหรือไม่ ไม่น่าจะต้องมีการส่งให้อนุกรรมการวินิจฉัยเรื่องร้องคัดค้านของ กกต.พิจารณาอีกครั้ง

ผลจึงออกมาเป็นมติที่ประชุม กกต. ชุดใหญ่ 31 เสียง ยังไม่ประกาศรับรอง ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ เป็นผู้ว่าฯ กทม. เนื่องจาก พ.ต.ท.ทวีศักดิ์ ไม่ยอมลัดขั้นตอนก่อนรับรองผลการเลือกตั้ง เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาขึ้นในภายหลัง จึงได้ทำหนังสือแจ้งมายัง กกต.ชุดใหญ่ว่า ยังไม่ควรประกาศรับรองผล และขอเวลาตรวจสอบเพื่อความโปร่งใสประมาณ 15 วัน

อย่างไรก็ดี ประเด็นที่เสียวไส้ของคุณชายหมูและพรรคประธิปัตย์นั้น ก็คือประเด็นนายศิริโชคโพสต์ภาพและข้อความทำนองเผาบ้านเผาเมือง และประเด็นดร.เสรีโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กในลักษณะไม่เลือกเราเขามาแน่ โดยทั้ง 2 ประเด็น กกต.กทม. มีมติ 3 ต่อ 2 เพราะเห็นว่ามีน้ำหนักเข้าเกณฑ์ เป็นผู้ใดกระทำการจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเข้าใจผิดในคะแนนนิยมของผู้สมัครรายใดรายหนึ่ง ทั้งนี้จากหลักฐานและการสอบสวน ยังไม่ชัดเจนเพียงพอว่าจะพิจารณาเสนอให้ใบเหลือง-แดง เพราะกระบวนการสืบสวนข้อเท็จจริงตามคำร้องยังไม่แล้วเสร็จ โดยถ้า กกต.กทม.เห็นว่าคดีมีมูลเชื่อมโยงไปถึงตัว ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์จะต้องมีหนังสือเรียก ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์มารับทราบข้อกล่าวหาและทำการชี้แจงเสียก่อน จากนั้น กกต.กทม.จึงจะค่อยพิจารณาและมีความเห็นเสนอไปยัง กกต.กลาง โดยมีทางเลือก 3ทาง คือใบเหลือง ใบแดง หรือใบขาว

และจะไม่ให้เสียวไส้ได้อย่างไร เพราะแม้แต่เจ้าตัวคือนายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ยังกล่าวยอมรับว่าโพสต์รูปภาพดังกล่าวจริง และกล่าวว่า การแถลงข่าวของ กกต.กทม.มีมติส่งคำร้องคัดค้านผลเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. กรณีที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีต ส.ว.สรรหา ยื่นคำร้องการโพสต์ภาพเผาบ้านเผาเมือง และข้อความในโซเซียลเน็ตเวิร์กให้กกต.กลาง วินิจฉัยชี้ขาด อาจจะมีความสับสนมีความเข้าใจผิด ทำให้สังคมเกิดความเชื่อว่าจะมีใบเหลืองเกิดขึ้น ซึ่งในข้อกฎหมาย กกต.ท้องถิ่นมีอำนาจหน้าที่ในการกลั่นกรอง และแสดงความคิดเห็นกับเรื่องที่ได้รับการร้องเรียน ซึ่งไม่มีอำนาจว่าจะให้ใบเหลืองใบแดงหรือใบขาว

กรณีที้ได้มีการโพสต์ภาพลงไปนั้น ได้ระบุชัดว่าเป็นภาพตัดต่อ ไม่ได้กล่าวถึง พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.จากพรรคเพื่อไทย แต่กล่าวถึงเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมือง ที่ศาลมีคำพิพากษาไปแล้ว และเหตุผลที่ต้องพูดถึงเรื่อนี้ เพราะมีภาพนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.พาณิชย์ ปรากฏตัวบนรถหาเสียงด้วย เพราะไม่ว่านายณัฐวุฒิจะปรากฏว่าที่ไหน คนก็จะคิดถึงเรื่องเผาบ้านเผาเมือง ยืนยันว่า จะดูมุมไหนกรณีนี้ก็ไม่ผิดกฎหมาย เพราะไม่มีการไปบอกว่า อย่าไปเลือกใคร หรือให้ไปเลือกใคร และไม่ได้มีการกล่าวหาผู้สมัครว่าเผาบ้านเผาเมือง

หรือจะเป็น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ปราศรัยตอนหนึ่งที่เวที"เดินหน้าผ่าความจริง หยุดล้มรัฐธรรมนูญออกกฎหมายล้างผิดคนโกง" ที่ศูนย์ประชุมกาญจนาภิเษก มหาวิทยาลัยขอนแก่น ว่า "2 สัปดาห์ก่อนที่จะมีการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. มีการสำรวจความนิยมของประชาชน มีการระบุว่าพรรคประชาธิปัตย์ และ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร จะแพ้การเลือกตั้ง แล้วมีการวิเคราะห์ด้วยว่า จะแพ้ถ้าไปพูดเรื่องเก่า พูดเรื่องเผาบ้านเผาเมือง

นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ ปราศรัยตอนหนึ่งระบุว่า "การปราศรัยบนเวทีหาเสียงเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.ที่กล่าวหาว่าเป็นการใส่ร้ายป้ายสี ทั้งการก่อการร้าย และการเผาบ้านเผาเมือง ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องจริงทั้งสิ้น จึงเป็นเหตุผลที่พรรคประชาธิปัตย์ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง ดังนั้นจึงอยากถามว่า จะมาโวยวายเรื่องอะไรกัน"

เช่นเดียวกับ นายวิรัตน์ กัลยาศิริ ส.ส.สงขลา หัวหน้าทีมกฎหมาย พรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ว่า "พรรคประชาธิปัตย์ไม่จำเป็นต้องรับมือกรณี พรรคเพื่อไทยจะร้องเรียนคณะกรรมการการเลือกตั้งเกี่ยวกับการปราศรัยของแกนนำพรรคประชาธิปัตย์ เพราะทุกอย่างเป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นจริง คนทั่วโลกรับรู้ทั้งกรณีเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมืองการใส่ร้ายต้องเป็นการใส่ร้ายด้วยความเท็จ ซึ่ง กกต.ก็มีบรรทัดฐานว่า การเอาความจริงมาพูดไม่ถือเป็นความผิด

แน่นอน จัดให้เป็นครบทีมงานแบบนี้คงไม่ต้องถามว่ามีเจตนาเป็นอย่างไร ซึ่งถ้อยคำที่ออกมาจากปากของคนพรรคประชาธิปัตย์ย่อมรู้ดีว่าเป็นเจตนาชัดเจน ถามรู้ทราบดีหรือไม่ มือกฏหมายทั้งหลายในพรรคประชาธิปัตย์ รวมไปถึงหัวโจกของพรรคย่อมรู้อยู่แก่ใจ ว่าเข้าข่ายความผิดอะไรหรือไม่ เพราะมิฉะนั้นแล้วคงจะไม่ออกมาเป็นรูปแบบแพทเทิร์นเดียวกันหมดแบบนี้

อย่างไรก็ตามนั้นเป็นสิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์ ยกขึ้นมาเพื่อต่อสู้คัดค้านเพียงเท่านั้น และไม่ได้เป็นสิ่งน่าแปลกใจอยู่แล้วสำหรับบทที่พรรคประชาธิปัตย์จะต้องเล่นหลังจากเจอมรสุมการเมืองอยู่ในขณะนี้ แต่ในขณะเดียว หากไปดูตามข้อกฏหมายของ กกต.ก็ใช่ว่าจะไม่เป็นเรื่องหนักใจเลย เพราะขณะที่ มาตรา 57 พ.ร.บ.เลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น ระบุว่า...

"...ห้ามมิให้ผู้สมัคร หรือผู้ใด กระทำการเพื่อจูงใจผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ลงคะแนนให้ตนเองหรือผู้สมัครอื่น หรือให้งดเว้นการลงคะแนนให้แก่ผู้สมัครใด ด้วยวิธีการดังนี้....
(5) หลอกลวง บังคับ ขู่เข็ญ ใช้อิทธิพลคุกคาม ใส่ร้าย หรือจูงใจให้เข้าใจผิดในเรื่องใดอันเกี่ยวกับผู้สมัครใด"

ข้อกฏหมายเหล่านี้ เป็นสิ่งที่กกต.ต้องนำไปพิจารณาว่าเข้าข่ายหรือไม่อย่างไร ซึ่งความน่ากลัวของพรรคประชาธิปัตย์จึงอยู่ตรงนี้นี่เอง ที่น่าสนใจก็คือ คณะกรรมการการเลือกตั้งจะพิจารณาประเด็นนี้ออกมาอย่างไร

อย่างไรก็ดี สำหรับแนวทางในการตัดสินจากนี้ของกกต.เป็นได้ 3 ทางคือ 1.หากเห็นว่า ไม่มีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า เรื่องร้องคัดค้านทั้งสองเรื่องทำให้การเลือกตั้งไม่สุจริต เที่ยงธรรม ก็สามารถยุติเรื่องและรับรองผลได้ทันที

2.กรณีที่เห็นว่ามีหลักฐานอันควรเชื่อว่าเรื่องคัดค้านมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า ทำให้การเลือกตั้งไม่สุจริต กกต. สั่งเลือกตั้งใหม่ได้ แต่ไม่สามารถสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ได้ เนื่องไม่ได้เป็นผู้กระทำผิดโดยตรง โดยสั่งเลือกตั้งใหม่ภายใน 30 วันนับแต่วันเลือกตั้ง หรือภายในวันที่ 2 เมษายน ซึ่งเหลืออีกประมาณสองสัปดาห์เท่านั้น จึงค่อนข้างยากที่จะเตรียมการเลือกตั้งในเขตใหญ่เช่น กทม.

3.ในกรณีที่เห็นว่าต้องสืบสวนสอบสวนเพิ่มเติม กกต.ต้องทำตามประกาศ คปค.ฉบับที่ 32 คือ ประกาศรับรองไปก่อนภายใน 30 วันนับแต่วันเลือกตั้ง จากนั้นเมื่อสรุปเรื่องได้และเห็นควรให้มีการเลือกตั้งใหม่ก็ให้ส่งเรื่องให้ศาลอุทธรณ์เป็นผู้พิจารณาซึ่ง กกต.ต้องส่งเรื่องให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งปี นับแต่วันเลือกตั้ง และระหว่างที่ศาลอุทธรณ์รับเรื่องนั้น ผู้ว่าฯ กทม.ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ โดยให้รองผู้ว่าฯ กทม. รักษาการไปพลาง

กล่าวคือ เผือกร้อนตอนนี้จะตกอยู่ที่คณะกรรมการการเลือกตั้งหรือกกต.ทันที ซึ่งได้ประกาศไว้แล้วว่า หากพ้นเวลา 30 วัน กกต.จะรับรองผลการเลือกตั้งไปก่อน ส่วนข้อร้องเรียนเมื่อมีการรับรองผลเลือกตั้งแล้ว กกต.ต้องส่งผลสอบไปยังศาล ซึ่งถ้ากกต.เลือกวิธีนี้ นั้นหมายถึงเป็นการปัดสวะให้พ้นตัวไปก่อน เพราะรู้ดีว่า ถ้าเลือกตัดสินทางใดทางหนึ่งก็จะตกอยู่ในวังวนของกองเชียร์ทั้งสองฝ่าย ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าจะเล่นบทยื้อเวลาไปจนกว่าจะครบกำหนดตามข้อกฏหมาย พูดง่ายๆก็คือ ให้ศาลเป็นผู้ตัดสินชี้ขาดไปเลย ซึ่งแนวทางนี้มีสิทธิ์ออกมาได้มากเช่นกัน เนื่องจากถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด และเป็นเรื่องที่อยู่ในความสนใจประชาชน

บ้างก็มีกระแสว่า จะมีเหตุให้ล้มผลการเลือกตั้งให้ได้ เพราะมีการเดิมพันครั้งนี้กันอย่างสูง ในราคาต่อรองพนัน ถ้าแทงพงศพัศ 100 จ่าย 80 ถ้าแทงสุขุมพันธุ์ 100 จ่าย 100 ก็เพราะผลโพล วันสุดท้ายที่ปิดหีบปั๊บ ราคาต่อรองของพงศพัศเป็น 3 : 2 แต่ปรากฏว่ามันพลิกล็อก แล้วก่อนที่จะปิดหีบระหว่างนั้นมีการเดิมพันกันจำนวนมากและด้วยเม็ดเงินที่สูงทีเดียว

ว่ากันว่า เจ้ามือใหญ่คือตำรวจใหญ่คนหนึ่งในกรุงเทพมหานคร เสียงานนี้ไป 40 กว่าล้าน และยังไม่มีจ่ายเงิน เพราะผลยังไม่ประกาศ และ กกต.ใหญ่คนหนึ่งในกรุงเทพมหานคร สนิทสนมกับคุณนายร้อยวิก มีการสั่งตำรวจทุกโรงพักเลยว่าให้ปั้นหลักฐานว่าสุขุมพันธุ์ผิด แล้วส่งไปให้ กกต. ก็เป็นกระแสที่กล่าวกันอย่างหนาหูเช่นกัน

แต่จะอย่างไรก็ตาม เมื่อดูตามเงื่อนไขทางกฎหมายและกรอบเวลาที่กฎหมายกำหนดแล้ว ทำให้เชื่อได้ว่า กกต. จะมีมติประกาศรับรองให้ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์นั่งเป็นผู้ว่าฯ กทม. ไปก่อนค่อน ข้างแน่ ส่วนข้อร้องเรียนคัดค้านผลการเลือกตั้งที่ค้างอยู่ก็ค่อยๆพิจารณากันไป จะใช้เวลานานแค่ไหนกฎหมายไม่ได้กำหนด กฎหมายกำหนดแค่ 2 ประเด็นหลักคือ หากไม่มีเรื่องร้องเรียนคัดค้านผลการเลือกตั้ง กกต.กลางจะต้องประกาศรับรองผลการเลือกตั้งภายใน 7 วัน

อีกประเด็นคือ หากมีเรื่องร้องเรียนคัดค้านผลการเลือกตั้ง และพบว่ามีความผิดจะต้องจัดเลือกตั้งใหม่ภายในกำหนด 30 วัน นับตั้งแต่วันเลือกตั้งสรุปคือให้ใช้ห้วงเวลา 30 วันเป็นตัวตั้ง หากยังพิจารณาเรื่องร้องเรียนคัดค้านผลการเลือกตั้งไม่เสร็จ ก็ต้องประกาศรับรองไปก่อน

ระยะเวลาที่เหลือจากนี้ ทำให้ กกต.กลางไม่มีทางเลือกอื่นนอกจาก ต้องประกาศรับรองผลการเลือกตั้งให้ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์นั่งเป็นผู้ว่าฯ กทม. ไปก่อน เพราะระยะเวลาเพียง เท่านี้หากจะให้ใบเหลืองหรือใบแดง เพื่อจัดเลือกตั้งใหม่คงทำได้ไม่ทัน
เมื่อ กกต.กลางประกาศรับรองผลการเลือกตั้งไปก่อน พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ก็ต้องเลือกอนาคตตัวเองว่าจะยื่นเรื่องกลับเข้ารับราชการตำรวจ หรือเลือกที่จะรอลุ้นผลการพิจารณาข้อร้องเรียนต่างๆที่เหลือของ กกต.กลาง

อย่างน้อยที่สุด การจะทำอย่างใดอย่างหนึ่งของกกต. คงต้องมีคำอธิบายเป็นเหตุเป็นผล พอรับฟังได้ระดับหนึ่งกล่าวสำหรับต้นสังกัดคู่แข่งขันแล้ว ฝ่ายเพื่อไทยก็แน่นอนว่า ย่อมอยากให้ตัดสินไปเลยอาทิร.ต.อ. เฉลิม อยู่บำรุง ถึงกับประกาศอย่างมั่นใจว่า ไม่ใบใดก็ใบหนึ่ง ส่วนจะเป็นใบเหลือหรือใบแดง พรรคประชาธิปัตย์ไม่น่ารอด ขั้วประชาธิปัตย์คงอยากให้ชี้ขาด เหมือนกัน แต่ประกาศรับรองผลเลือกตั้ง คุณชายสุขุมพันธุ์ ไปก่อน แล้วค่อยไปพิจารณาเรื่องปล่อยหรือสอยภายหลัง น่าจะเป็นการปลอดภัยมากกว่า

กล่าวถึงความรุนแรงในการคาดโทษที่อาจจะออกในมุมไหนก็ได้คือ กรณีถ้าพรรคประชาธิปัตย์ โดนใบเหลืองจาก กกต.กลาง จะมีการจัดการเลือกตั้งใหม่

หากโดนใบแดง ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร จะถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง แถมพรรคประชาธิปัตย์ต้องหาคนมาลงสมัคร และจะต้องมีการเลือกตั้งใหม่เมื่อนั้น

หากโดนใบขาวก็ถือว่ารอดตัวโฆฆะกันไปสำหรับ คุณชายหมูและพรรคประชาธิปัตย์

ขณะที่ สดศรี สัตยธรรม กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวว่าอำนาจของ กกต.จังหวัดแค่พิจารณาว่าควรจะรับเป็นคำร้องหรือไม่เท่านั้นเอง ที่ผ่านมามีมากที่ กกต.กลางไม่เห็นด้วยกับมติที่ กกต.จังหวัดเสนอมา และมีมากถึงร้อยละ 60 ที่เมื่อคดีขึ้นสู่ศาลแล้วศาลยกคำร้องไม่เห็นตาม กกต. ฉะนั้น คำตอบต่างๆ จึงต้องรอฟังศาลเว้นแต่จะสอยก่อนการประกาศผลการเลือกตั้ง ถ้าทำเช่นนั้นการจะให้ใบเหลือง ใบแดงต้องใช้เสียงของที่ประชุม กกต.ถึง 4 ใน 5 ซึ่งมากกว่ากรณีปกติ

ขณะเดียวกัน กล่าวถึงพายุที่บรรดาพรรคแมลงสาบที่ต้องเจออยู่นั้นก็หาใช่ว่าจะหมดแค่นั้น เพราะยังมีเรื่องภายหลังอีก 2 เรื่อง คือ 1.พรรคเพื่อไทยร้องว่า แกนนำพรรคประชาธิปัตย์จำนวน 4 คน ปราศรัยโค้งสุดท้ายเชื่อมโยงเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมือง และกล่าวหาเรื่องการกินรวบประเทศ ผูกขาดประเทศ โดยผู้ร้องเห็นว่า ตามมาตรา 57 ของ พ.ร.บ.เลือกตั้งท้องถิ่น กรณีที่จงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเข้าใจผิดในคะแนนนิยม

2.กรณีที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ร้องว่า ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์แต่งตั้งคณะที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ 31 คน ซึ่งผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยการบริหารราชการ กทม. ที่ให้ตั้งที่ปรึกษาได้เพียง 9 คน จึงทำหน้าที่เกินกว่าอำนาจของผู้ว่าฯ เป็นการหาเสียงแบบหลอกลวง

นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีต ส.ว.สรรหา กล่าวว่า สาเหตุที่ต้องยื่นตรวจสอบ เพราะเห็นว่ามีการกระทำขัดต่อกฎหมายอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในเรื่องที่มีการตั้งโต๊ะแถลงข่าวพร้อมหน้าตั้งแต่หัวหน้าพรรคยัน ผู้บริหารพรรค ว่าจะตั้งทีมที่ปรึกษาถึง 31 คน ทั้งที่กฎหมายกำหนดให้ตั้งที่ปรึกษาได้เพียง 9 คน พรรคประชาธิปัตย์ น่าจะรู้ข้อกฎหมายดีว่าทำอะไรได้แค่ไหน อีกทั้ง นายกรณ์ จาติกวณิช ส.ส.บัญชีรายชื่อ ยังนำรูปภาพของทั้ง 31 คนไปโพสต์ลงเฟซบุ๊กอีก ซึ่งกรณีลักษณะแบบนี้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เคยมีบรรทัดฐานไว้แล้ว และไม่ว่าจะเกิดกับพรรคไหนตนร้องหมด ไม่เช่นนั้นตนจะร้อง กกต.เอาผิดนายฉลอง เรี่ยวแรง ส.ส.นนทบุรี พรรคเพื่อไทย หรือนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.พาณิชย์ อย่างนั้นหรือ

"ที่บอกว่าผมจับผิดนั้นถูก เพราะคุณทำผิด แต่ถ้าทำถูกแล้วไปจับผิดค่อยมาด่าผม แต่นี่เห็นว่าทำผิดก็ต้องร้องเรียน เพราะก็อยากรู้เหมือนกันว่าพรรคประชาธิปัตย์ทำไมถึงรอดได้ตลอด ไม่เหมือนคุณสมัคร (นายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกฯ) หรือพรรคการเมืองอื่น และไม่ใช่เฉพาะกรณีนี้ ผมกำลังถอดเทปการปราศรัยของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์อย่างละเอียด เพราะเห็นว่าเข้าข่ายความผิดถึงขั้นยุบพรรค" นายเรืองไกร กล่าว

อย่างไรก็ดี มาถึงตรงนี้แล้ว คงต้องบอกว่าชัยชนะอันน่าสมเพศของคุณชายหมูและพรรคประธิปัตย์ที่พยายามฝังหัวคนกทม.ให้เกิดความกลัวจนต้องกัดฟันตัดใจเลือก คุณชายหมู มาเป็นผู้ว่ากทม.อีกสมัยนั้น มีราคาที่ต้อจ่ายแพงเลยทีเดียว เพราะเส้นทางที่ดูขลุขละของคุณชายหมูก็หาได้เกิดจากสิ่งใด นอกเสียจากกลยุทธ์และวาทกรรมหาเสียงตามแผนของคนในพรรคประชาธิปัตย์ตั้งแต่หัวโจกไปจนถึงหางแถวเองล้วนๆ อาทิ อาวุธทีเด็ดการสร้างวาทกรรมไม่เลือกเราเขามาแน่มาใช้ ไม่ว่าจะเป็นการปลูกฝังภาพเผาบ้านเผาเมืองของคนเสื้อแดงที่ให้เชื่อมโยงไปถึงฝ่ายตรงข้าม

ทั้งนี้ ความจริงประการหนึ่งที่พรรคประชาธิปัตย์ก็ย่อมรู้ดีก็คือ หากไม่ขุดวิชาก้นกุฏิดังกล่าวขึ้นมาใช้แล้วก็มีสิทธิ์ที่แพ้ฝ่ายตรงข้ามเอาได้ง่ายๆ และแน่นอนซึ่งเป็นการได้ผลลัพธ์ที่ดีอีกครั้งหนึ่งที่สามารถรวมพลังช่วยกันหาเสียงให้ คุณชายหมูสามารถรักษาเก้าอี้ขุมทรัพย์และฐานการเมืองแห่งสุดท้ายคือ เก้าอี้ผู้ว่ากทม.เอาไว้ได้ เพราะถ้าจะพูดตามความเป็นจริง ครั้นจะให้โชว์ผลงานอันน่าชื่นตาชื่นใจของ คุณชายหมูตลอดเวลา 4 ปีที่ผ่านมา ก็มิได้ปรากฏเด่นชัดในสายตาของคนกทม.เลยแม้แต่น้อย

เพราะจะว่าไปแล้วคนในพรรคประชาธิปัตย์ก็รู้ดีว่าถ้าไม่เล่นมุขหากินโจมตีฝ่ายตรงข้ามแบบนี้แล้วก็ไม่มีหนทางใดเอาชนะได้ ยิ่งเมื่อดูคะแนนของพล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ที่โกยคะแนนมาได้ล้านกว่าคะแนนก็เรียกว่าไม่ธรรมดาและเพียงพอต่อการเป็นผู้ว่าฯกทม.เสียด้วยซ้ำ ซึ่งต้องนับว่าเป็นความโชคดีไม่น้อยที่ต้องอาศัยสรรพกำลังทุกคนในพรรค งัดกลยุทธ์อย่าปล่อยให้กินรวบประเทศ หรือเผาบ้านเผาเมืองมาดิสเครดิตดึงคะแนนทันเวลาโค้งสุดท้ายทำให้คุณชายหมูเข้าวินแบบทำสถิติแบบถล่มทลาย

แน่นอน ความจริงที่จะต้องพูดถึงก็คือพรรคประชาธิปัตย์คงจะไม่ต้องลุ้นกันเหนื่อยเหมือนขณะนี้หาก 4 ปีที่ผ่านมา ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ทำงานเป็นที่น่าชื่นใจให้กับคนกทม. มีผลงานเป็นรูปธรรมจับต้องได้ ไม่บริหารเมืองหลวงแบบเช้าแก้วเย็นแก้ว อย่างที่ผ่านมา คงจะไม่ต้องเหนื่อยยากเย็นหาเสียงแบบลักษณะให้ร้ายหมิ่นเหม่จะผิดกฏหมายเลือกตั้ง ที่สำคัญอาจจะมีความผิดร้ายแรงไปถึงขั้นยุบพรรคประชาธิปัตย์อีกด้วยซ้ำ

... ถ้าพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อมีโอกาศมีอำนาจ ทำผลงานให้ประชาชนเห็นและจับต้องได้คงไม่ต้องมานั่งลุ้นเสียวอยู่แบบนี้ ถ้าพรรคประชาธิปัตย์หาเสียงแบบสร้างสรรค์ขายผลงานตัวเองอย่างที่ควรจะทำในการเลือกตั้งคงจะไม่ต้องลุ้นเสียวสันหลังอย่างที่เป็นอยู่ขณะนี้ ถ้าพรรคประชาธิปัตย์ หัดเปลี่ยนแนวทางการเมืองบ้างก็คงไม่ต้องเจอคดีจ่อคอหอย คอพาดเคียงเสี่ยงจะร่นจากเก้าอี้ผู้ว่ากทม.และอาจสาหัสเจอยุบพรรคได้อยู่ขณะนี้

จริงหรือไม่บรรดาพรรคประชาธิปัตย์ทั้งหลาย !?


อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

กำลังโหลดความคิดเห็น