ปัญญาพลวัตร
โดย...พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต
หากพูดถึงจำนวนผู้เสียชีวิตจากสงครามกลางเมืองและการใช้อำนาจรัฐอย่างป่าเถือนของชนชั้นนำซึ่งเป็นผู้ปกครองประเทศต่างๆในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา กลุ่มชนชั้นนำของประเทศกัมพูชาดูเหมือนจะมีสถิติเหนือกว่าชนชั้นนำของประเทศอื่นๆทั้งหมด จึงเป็นสิ่งที่น่าสนใจที่จะมองไปยังประเทศกัมพูชาว่า มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง หลังจากที่ได้ซากปราสาทพระวิหารไปครอบครอง
หลังจากการพิพากษาของศาลโลกในปี 2505 ที่ระบุว่า ซากปราสาทพระวิหารเป็นอธิปไตยของกัมพูชา และสั่งให้รัฐบาลไทยถอนกำลังคนทั้งหมดที่อยู่บริเวณปราสาทออกไป รวมทั้งคืนโบราณวัตถุต่างๆที่เกี่ยวข้องกับซากปราสาทแก่กัมพูชา รัฐบาลไทยยุคนั้นก็ทำตัวเป็นเด็กดีอยู่ในโอวาทของศาลโลกปฏิบัติตามคำสั่งทุกข้อ ทั้งยังใช้ลวดหนามล้อมเป็นรั้วซากปราสาทเอาไว้เพื่อเป็นการแสดงให้ประจักษ์ว่าพื้นที่ใดบ้างเป็นของกัมพูชา พื้นที่ใดบ้างเป็นของไทย
ส่วนรัฐบาลกัมพูชายุคนั้นเฉลิมฉลองชัยชนะกันเอิกเกริก เจ้านโรดมสีหนุซึ่งเป็นประมุขของกัมพูชารับมอบและขึ้นไปชื่นชมกับซากปราสาท เมื่อเห็นปราสาทได้รับการล้อมรั้วอย่างดีก็มีท่าทียินดี ชมเจ้าหน้าที่ไทยในการดูแล รวมทั้งยอมรับกับรั้วลวดหนามของไทยที่กั้นรอบตัวซากปราสาทเอาไว้ โดยปราศจากการโต้แย้งใดๆ
แต่หลังจากได้ปราสาทพระวิหารไปครอบครองแล้ว แทนที่ประเทศกัมพูชาจะรุ่งเรืองขึ้น กลับปรากฏว่าสถานการณ์เลวร้ายลง ประเทศกัมพูชาต้องประสบชะตากรรมอย่างรุนแรงครั้งแล้วครั้งเล่า มีชาวกัมพูชาถูกสังหารไปนับล้านคน ส่วนเจ้านโรดม สีหนุเองก็ประสบความหายนะตกจากอำนาจภายใน 8 ปีหลังได้ปราสาทพระวิหาร โดยใน พ.ศ.2513 เจ้าสีหนุถูกรัฐประหาร ภายใต้การนำของนายพลลอนนอล และเจ้าสีสุวัตถิ์ เพียงไม่กี่ปีที่ได้ชื่นชมซากปราสาทพระวิหาร ท้ายที่สุดก็กลายเป็นคนที่ไม่มีแผ่นดินอยู่ ต้องหลบหนีลี้ภัยอยู่ในประเทศจีน
หลังจากนั้นความหายนะของประเทศกัมพูชาก็ทับถมทวีมากขึ้น โดยตกอยู่ภายใต้ภาวะสงครามกลางเมืองระหว่างรัฐบาลลอนนอล กับฝ่ายเขมรแดง ส่วนเจ้านโรดมสีหนุก็กระตุ้นให้กลุ่มที่จงรักภักดีกับตนเองร่วมมือกับฝ่ายต่อต้านรัฐบาลลอนนอล นอกจากจะรบราฆ่าฟันกันเองระหว่างคนภายในแล้ว ประเทศกัมพูชายังกลายเป็นสนามรบของสหรัฐกับเวียตนามเหนืออีกด้วย เมื่อสงครามกลางเมืองครั้งแรกจบลง ฝ่ายเขมรแดงที่นำโดยนายพอลพต และนายเอียง สารี เป็นฝ่ายชนะและยึดครองประเทศกัมพูชาได้อย่างเบ็ดเสร็จใน พ.ศ.2518
ภายใต้การครองอำนาจของเขมรแดง ประเทศกัมพูชาก็กลายเป็นนรก เขมรแดงใช้นโยบายแบบสุดขั้วหวังจะสร้างประเทศใหม่โดยอาศัยการเกษตรแบบโบราณจากยุคที่อาณาจักรขอมรุ่งเรืองเป็นตัวแบบ มีการอพยพชาวเมืองไปอยู่ในชนบทเพื่อใช้แรงงานในภาคเกษตร มีการทำลายระบบการแพทย์แผนตะวันตก ทำลายวัด ทำลายห้องสมุด และสิ่งอื่นๆทุกอย่างที่เกี่ยวโยงกับตะวันตกทั้งหมด เรียกได้ว่า เขมรแดงได้ทำลายความเป็นมนุษย์ ทำลายการสาธารณสุข ทำลายการศึกษาและปัญญาของสังคมจนแทบจะหมดสิ้นไปจากเขมร
เขมรแดงฆ่าประชาชนไปประมาณ 2 ล้านกว่าคน ประเทศกัมพูชาในยุคนั้นจึงได้รับฉายาว่าเป็น “ทุ่งสังหาร” คุกที่มีชื่อเสียงมาก คือ คุกตวล แซลง ซึ่งขังคนได้ประมาณ 1,500 คน คุกนี้เป็นสถานที่สำคัญสำหรับการประหารประชาชน กลุ่มคนที่ถูกฆ่าหลักๆได้แก่ ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลเดิมและรัฐบาลต่างชาติ ครูและอาจารย์ รวมทั้งผู้มีการศึกษาสูงและแม้แต่คนที่สวมแว่นตา ศิลปินและนักแสดง ชนกลุ่มน้อยที่มีเชื้อสายจีน เวียตนาม และไทย และพ่อค้าที่ไม่มีความสามารถด้านการเกษตร
นอกจากเป็นฆาตกรสังหารประชาชนของประเทศตนเองแล้ว เขมรแดงยังทำตัวเป็นอันธพาลและโจร โดยจัดกำลังไปปล้นชาวบ้านแถบบริเวณชายแดนทั้งประเทศไทยและเวียตนาม กรณีประเทศไทย บริเวณแถวจังหวัดปราจีนบุรี ถูกทหารเขมรแดงเข้ามารุกรานบ่อยครั้ง จนกระทั่ง พ.อ.ประจักษ์ สว่างจิตร ต้องนำกำลังทหารไทยผลักดันและขับไล่ออกไป
ด้านชายแดนเวียตนามก็ไม่เบา เขมรแดงโจมตีหมู่บ้านชายแดนของเวียตนาม จนในที่สุดเวียตนามก็ทำสงครามกับเขมรแดง และตัดสินใจสนับสนุนฝ่ายต่อต้าน พอลพต จากนั้นเวียตนามก็ส่งกำลังทหารเข้าไปรุกรานเขมรครั้งใหญ่ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2521 และสามารถยึดกรุงพนมเปญได้ในวันที่ 7 มกราคม 2522 และจัดตั้งรัฐบาลหุ่นของตนเองซึ่งมีเฮง สัมริน เป็นผู้นำในการบริหารประเทศ ส่วนกองทัพเขมรแดงที่หลงเหลือก็หนีมาอยู่ในบริเวณชายแดนไทยและยังคงต่อสู้กับรัฐบาลเฮง สัมรินอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปี
ประเทศเขมรก็ตกอยู่ในสภาพสงครามกลางเมืองอีกครั้งโดยมีกองกำลังติดอาวุธของสามฝ่ายซึ่งประกอบด้วยฝ่ายเจ้านโรดมสีหนุ ฝ่ายเขมรแดง และฝ่ายเขมรเสรีของซอนซาน ร่วมมือกันต่อต้านรัฐบาลหุ่นของเวียตนาม ต่อมา ในพ.ศ. 2532 เวียตนามถอนกำลังออกจากประเทศกัมพูชา และมีการเปิดเจรจาสันติภาพระหว่างเขมรฝ่ายต่างๆขึ้นมา โดยจะจัดให้มีการเลือกตั้ง แต่ฝ่ายเขมรแดงคิดว่าเป็นกลลวงให้ฝ่ายตนวางอาวุธเพื่อจับตัวไปดำเนินคดีฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ จึงถอนตัวออกจากการเจรจาสันติภาพ และไม่ยอมให้ประชาชนในเขตปกครองของตนเองลงทะเบียนเลือกตั้งใน พ.ศ.2536 อีกทั้งยังนำกำลังทหารเข้ายึดปราสาทพระวิหารด้วย
ผลการเลือกตั้ง ปี 2536 พรรคฟุนซิมเปค ของ เจ้านโรดม รณฤทธิ์ ชนะการเลือกตั้ง ทำให้ฮุนเซนซึ่งเป็นผู้สืบทอดอำนาจจาก เฮง สัมริน อันเป็นรัฐบาลหุ่นเชิดของเวียตนาม ไม่พอใจและคิดที่จะล้มกระดานยึดอำนาจ แต่ต่อมามีการเจรจากันได้จึงทำให้เขมรมีนายกรัฐมนตรีสองคน คนที่ 1 คือ เจ้านโรดม รณฤทธิ์ และ คนที่ 2 คือ ฮุนเซ็น ต่อมาใน ปี 2540 ฮุนเซ็นก็ทำการรัฐประหาร ยึดอำนาจ ปลดเจ้านโรดม รณฤทธิ์ออกจากตำแหน่ง ถัดจากนั้นอีกหนึ่งปี ใน พ.ศ.2541 ฮุนเซ็นก็จัดให้มีการเลือกตั้ง และใช้วิธีการต่างๆนาๆนาจนทำให้พรรคตนเองชนะเลือกตั้งและกลายเป็นนายกรัฐมนตรีที่มีอำนาจสูงสุดเพียงคนเดียว และครองอำนาจเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
ระหว่างครองอำนาจ ฮุนเซ็นได้ใช้อำนาจรัฐกวาดล้างศัตรูทางการเมืองของตนเองอย่างต่อเนื่อง และขยายการควบคุมกลไกการเลือกตั้งไว้ได้อย่างเบ็ดเสร็จ ศัตรูการเมืองคนสำคัญที่ยังหลงเหลืออยู่ในปัจจุบันของฮุนเซนคือ นายสม รังสี ผู้นำฝ่ายค้าน ก็ถูกรัฐบาลฮุนเซน เล่นงานจนไม่มีแผ่นดินอยู่ โดยการยัดเยียดข้อหาว่าเป็นอาชญากรจากความผิดฐานเคลื่อนย้ายหลักเขตแดน และตีพิมพ์แผนที่ติดพรมแดนกับเวียตนามปลอม นายสม รังสี จึงต้องหนีไปอยู่ต่างประเทศและต่อมาถูกศาลกัมพูชาตัดสินจำคุก 11 ปี
ที่น่าตลกคือ ฮุนเซน กล่าวหาว่า นายสม รังสีทำแผนที่ติดพรมแดนกับเวียตนามปลอม และตัดสินให้จำคุก แต่เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2556 ที่ผ่านมา ทนายฝ่ายไทยได้แถลงในศาลโลกว่า รัฐบาลฮุนเซนทำแผนที่ติดกับชายแดนไทยปลอม หากนาย สม รังสี เป็นอาชญากรในการทำแผนที่ปลอม รัฐบาลฮุนเซน ก็ควรโดนข้อกล่าวหาเดียวกันด้วย เพราะทำแผนที่ปลอมเหมือนกัน
หรือกฎหมายกัมพูชาจะกำหนดว่า การทำแผนที่ปลอมติดกับชายแดนเวียตนามเป็นอาชญากร ส่วนการทำแผนที่ปลอมติดกับชายแดนไทยเป็นวีรบุรุษ คำถามนี้คงต้องให้ ฮุนเซน ช่วยตอบกระมัง
เมื่อกวาดล้างศัตรูภายในจนราบคาบแล้ว ด้วยพันธุกรรมเชิงวัฒนธรรมของชนชั้นนำเขมรมาแต่โบราณจึงผลักดันให้ฮุนเซนและชนชั้นนำในกัมพูชาไม่สามารถอยู่อย่างสงบนิ่งได้ จึงต้องมองหาเป้าของการสร้างความขัดแย้งและการรบต่อไป เรื่องราวความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาเกี่ยวกับซากปราสาทพระวิหาร และพื้นที่รอบซากปราสาทพระวิหารจึงต้องเกิดขึ้นมาเพื่อตอบสนองสันชาตญาณดั้งเดิมของพวกเขาอันเป็นสิ่งที่หล่อเลี้ยงอำนาจให้คงอยู่ต่อไป
อันที่จริงแม้ว่าหลักฐานทางประวัติศาสตร์จะบ่งอย่างชัดเจนว่า ซากปราสาทเขาพระวิหารเป็นของประเทศไทย แต่เมื่อศาลโลกตัดสินยกให้กัมพูชาไปแล้ว เราก็ยอมรับ และเมื่อดูความวุ่นวายในประเทศกัมพูชาหลังจากได้ซากปราสาทไปครอบครอง ผมคิดว่า บางทีก็อาจเป็นการดีแล้วที่สิ่งนี้เป็นของประเทศกัมพูชา
แต่เมื่อฮุนเซน หาเรื่องรุกรานแผ่นดินไทยและคิดยึดครองพื้นที่เพิ่มเติมนอกเหนือจากซากปราสาทตามคำพิพากษาของโลก นั่นคงเป็นเรื่องที่คนไทยคงยอมไม่ได้เป็นแน่ และผมคิดว่าทหารไทยก็คงไม่ยอมเช่นเดียวกัน