ASTVผู้จัดรายวัน - “มนตรี” เชื่อหุ้นไทยปรับฐาน คาดหลังสงกรานต์กลับสู่ภาวะปกติ ชี้เป็นโอกาสดีแก่การเข้าลงทุน เหตุการราคาหุ้นปรับตัวลดลงมาเยอะ และP/Eอยู่แค่ 13 เท่า คาดดัชนีมีสิทธิ์ขึ้นไปถึง 1,680 จุด P/E 16เท่า ล่าสุด หุ้นไทยรีบาวด์ 19 จุด ระหว่างวันผันผวนตลอด คาดวันนี้ยังเคลื่อนไหวเหมือนเดิม
นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ MBKET กล่าวถึงสภาวะหุ้นไทยว่า ในช่วงหลังเทศกาลสงกรานต์ไปแล้วอาจกลับเข้าสู่ภาวะปกติเพราะช่วงนี้เป็นช่วงที่หยุดยาว ทำให้อยู่ในสถานะที่หุ้นปรับฐาน หลังตลาดหุ้นไทยทยอยปรับขึ้นมาเยอะขึ้น หลายคนมีต้นทุนที่ถืออยู่มาก ใครที่มีงบประมาณที่จะลงทุนในตลาดหุ้นก็น่าจะกลับเข้ามาลงทุนได้ เพราะลงตรงนี้ถือเป็นสัญญาณซื้อ
“นักลงทุนควรมองหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มีโอกาสเห็นช่องทางในการลงทุนมากขึ้น ระดับ 1,450 จุด ถือว่าเป็นแนวรับที่แข็งแกร่ง ค่า P/E ประมาณ13 เท่า ถือว่าไม่ได้แพงมาก เมื่อเทียบกับตลาดต่างประเทศ ขณะเดียวกันในเชิงนโยบายทางเศรษฐกิจ ยังมีแนวโน้มค่อนข้างมากที่จะอยู่ในระบบที่จะทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ ต้องประเมินมูลค่าของสินทรัพย์”
ส่วนปัจจัยในต่างประเทศ นโยบาย QEของสหรัฐฯทำให้ยังคงมีเม็ดเงินออกมาอย่างต่อเนื่อง ยอดคนว่างงานก็ยังเป็นปัญหาที่ทางรัฐบาลต้องหามาตรการแก้ใข ทำให้ยังไม่มีแผนปรับลดนโยบายของ QE ในช่วงนี้ ขณะที่ยุโรปก็ใช้แนวทางเดียวกัน
สำหรับฝั่งเอเซีย ถือว่ามีปัญหารูปแบบเดียวกันคือ ญี่ปุ่นก็มีมาตรการแข็งกร้าวมากขึ้น เพราะฉะนั้นเอเซียน่าจะได้ประโยชน์ และไทยเองก็น่าจะได้ประโยชน์ตรงนี้ด้วย ในเรื่องอัตราความเสี่ยงก็ไม่ได้แปลกหรือแตกต่างไปจากแต่ก่อนมากนัก เพียงแต่ความกังวลอาจจะมีเข้ามามากขึ้น ด้วยความที่เป็นจังหวะตลาดปรับฐาน
ขณะเดียวกัน คนที่ซื้อกองทุน LTF และ RMF มองว่าเป็นจังหวะดีที่จะเข้ามาซื้อ เพราะหุ้นปรับตัวลดลงพอสมควร ในส่วนคนที่ซื้อถัวเฉลี่ย ก็น่าจะเข้ามาซื้อได้เช่นกัน และนักลงทุนรายย่อยที่เพิ่งเริ่มหัดลงทุนจังหวะนี้ก็ถือว่าเหมาะที่จะเข้ามาลงทุน ด้วย
“ถ้าประมาณการกำไรทฤษฎีของแต่ละหุ้นโดยรวม น่าจะอยู่ที่ประมาณ 1,680 จุด พลิกกลับมาเป็น P/ E ประมาณ 16 เท่า ถ้าตลาดอื่นยังวิ่งได้ดีอยู่เราก็จะขนานไปกับเขาได้ ทั้งอเมริกากับญี่ปุ่นก็ปรับตัวขึ้นไป แม้ในช่วง 1 อาทิตย์ที่ผ่านมา ตลาดไทยยังถูกทิ้ง แต่น่าจะทยอยปรับขึ้นตามภาวะตลาดได้”
นายมนตรี กล่าวถึงสถานการณ์ค่าเงินบาท ว่า การที่ค่าเงินบาทแข็งค่าสวนกระแสกับตลาดหุ้นที่ปรับตัวลงนั้น หลายคนเชื่อว่าโอกาสแข็งค่าของเงินบาทกับตลาดทุนนั้นควรที่จะดีไปพร้อมๆกัน แต่หุ้นมีปัจจัยหลายอย่างแทรกซ้อน เพราะหุ้นปรับตัวสูงขึ้นไปมากก็เลยปรับตัวอ่อนลงไปบ้าง โดยทิศทางระยะยาวความเสี่ยงน่าจะน้อยลง ถ้ายอมให้ค่าเงินบาทอ่อนมากขึ้นกว่านี้ จะขายของได้มากขึ้น นักลงทุนจะเข้ามาซื้อขายมากขึ้น
“อเมริกาเจอวิกฤติเหมือนที่เราเจอ เขาก็อยากให้ค่าเงินเราอ่อนค่าบ้าง ซึ่งค่าเงินบาทไทยอาจกลับไปแตะที่ 25-26 บาท/ดอลล่าห์สหรัฐ ถ้าหากอเมริกายังไม่สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจภายในประเทศได้ ยังขาดดุลการค้าการลงทุนยังไม่สมดุล ค่าเงินบาทและเงินในสกุลเงินในภูมิภาคเอเซียทั้งก็จะยังคงแข็งค่าขึ้นต่อไป”
ในส่วนของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก็ทำหน้าที่ได้อย่างดีที่ปล่อยให้ค่าเงินบาทปรับตัวโดยไม่เข้ามาแทรกแซงกลไกตลาด แต่แทรกแซงในระดับที่ไม่ให้ผันผวนเกินไปเท่านั้น ก็ถือว่าเป็นบทบาทที่ดีที่สุด ถ้าไปฝืนธรรมชาติมากๆก็จะไม่ดี
**หุ้นไทยวันนีผันผวนจัดบวก19จุด
ความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทย วานนี้ (10เม.ย.) ดัชนีปิดที่ระดับ 1,490.25 จุด เพิ่มขึ้น 19.53 จุด หรือ 1.33% มูลค่าการซื้อขาย 43,497.88 ล้านบาท ภาพรวมแกว่งตัวผันผวนทั้งบวก-ลบสลับกัน ไร้ปัจจัยใหม่หนุนและยังมีสถานการณ์ความไม่แน่นอนเกี่ยวจากคาบสมุทรเกาหลี ไข้หวัดนก และมาตการดูแลค่าเงินบาทเข้ามากดดัน มีผลต่อดัชนีให้ปรับตัวลง ก่อนปรับตัวขึ้นในช่วงท้าย
โดยระหว่างวันดัชนีขยับขึ้นแตะจุดสูงสุดของวันที่ระดับ 1,490.39 จุด ส่วนดัชนีจุดต่ำสุดของวันอยู่ที่ 1,458.40 จุด หลักทรัพย์ทีทมีการเปลี่ยนแปลง เพิ่มขึ้น 433 หลักทรัพย์ ลดลง 238 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 109 หลักทรัพย์
หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ ได้แก่ ADVANC มูลค่าการซื้อขาย 2,245.23 ล้านบาท ปิดที่ 237.00 บาท เพิ่มขึ้น 9.00 บาท PTT มูลค่าการซื้อขาย 2,039.67 ล้านบาท ปิดที่ 314.00 บาท เพิ่มขึ้น 3.00 บาท KBANK มูลค่าการซื้อขาย 1,723.90 ล้านบาท ปิดที่ 193.50 บาท ลดลง 3.50 บาท SIRI มูลค่าการซื้อขาย 1,350.47 ล้านบาท ปิดที่ 3.90 บาท เพิ่มขึ้น 0.12 บาท และ BBL มูลค่าการซื้อขาย 1,285.30 ล้านบาท ปิดที่ 219.00 บาท ลดลง 2.00 บาท
น.ส.อาภาภรณ์ แสวงพรรค ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส(ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้แกว่งตัวบวกลบสลับกัน ไร้ปัจจัยใหม่เข้ามาหนุนตลาด ซึ่งช่วงที่ดัชนีปรับตัวลง มาจากความไม่แน่นอนจากปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก ทั้งเกาหลี ไข้หวัดนก และมาตรการดูแลเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น
“ดัชนีที่ปรับตัวขึ้นคาดว่าเป็นการรีบาวน์หลังจากที่ปรับตัวลงมาในช่วงเช้า ประกอบกับมีการซื้อเพื่อเก็งกำไรในช่วงท้ายตลาด โดยช่วงนี้ทำให้มีนักลงทุนบางส่วนปรับพอร์ตก่อนช่วงวันหยุดยาว และมีนักลงทุนบางส่วนยังมีการทยอยซื้อเพื่อเก็งกำไร เพราะคาดหวังว่าหลังจากจบเทศกาล จะกลับมาอยู่ในช่วงขาขึ้นอีกครั้ง"
แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในวันนี้ (11เม.ย.) คาดว่ายังคงมีการแกว่งตัวคล้ายกับวานนี้ เนื่องจากปัจจัยเดิมยังส่งผลกระทบอยู่ และยังไร้ปัจจัยบวกใหม่ๆเข้ามา น่าจะทำให้ตลาดหุ้นไทยยังคงมีการแกว่งตัวในลักษณะเดียวกัน แนวต้าน 1,490-1,500 จุด แนวรับ 1,450 จุด
นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ MBKET กล่าวถึงสภาวะหุ้นไทยว่า ในช่วงหลังเทศกาลสงกรานต์ไปแล้วอาจกลับเข้าสู่ภาวะปกติเพราะช่วงนี้เป็นช่วงที่หยุดยาว ทำให้อยู่ในสถานะที่หุ้นปรับฐาน หลังตลาดหุ้นไทยทยอยปรับขึ้นมาเยอะขึ้น หลายคนมีต้นทุนที่ถืออยู่มาก ใครที่มีงบประมาณที่จะลงทุนในตลาดหุ้นก็น่าจะกลับเข้ามาลงทุนได้ เพราะลงตรงนี้ถือเป็นสัญญาณซื้อ
“นักลงทุนควรมองหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มีโอกาสเห็นช่องทางในการลงทุนมากขึ้น ระดับ 1,450 จุด ถือว่าเป็นแนวรับที่แข็งแกร่ง ค่า P/E ประมาณ13 เท่า ถือว่าไม่ได้แพงมาก เมื่อเทียบกับตลาดต่างประเทศ ขณะเดียวกันในเชิงนโยบายทางเศรษฐกิจ ยังมีแนวโน้มค่อนข้างมากที่จะอยู่ในระบบที่จะทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ ต้องประเมินมูลค่าของสินทรัพย์”
ส่วนปัจจัยในต่างประเทศ นโยบาย QEของสหรัฐฯทำให้ยังคงมีเม็ดเงินออกมาอย่างต่อเนื่อง ยอดคนว่างงานก็ยังเป็นปัญหาที่ทางรัฐบาลต้องหามาตรการแก้ใข ทำให้ยังไม่มีแผนปรับลดนโยบายของ QE ในช่วงนี้ ขณะที่ยุโรปก็ใช้แนวทางเดียวกัน
สำหรับฝั่งเอเซีย ถือว่ามีปัญหารูปแบบเดียวกันคือ ญี่ปุ่นก็มีมาตรการแข็งกร้าวมากขึ้น เพราะฉะนั้นเอเซียน่าจะได้ประโยชน์ และไทยเองก็น่าจะได้ประโยชน์ตรงนี้ด้วย ในเรื่องอัตราความเสี่ยงก็ไม่ได้แปลกหรือแตกต่างไปจากแต่ก่อนมากนัก เพียงแต่ความกังวลอาจจะมีเข้ามามากขึ้น ด้วยความที่เป็นจังหวะตลาดปรับฐาน
ขณะเดียวกัน คนที่ซื้อกองทุน LTF และ RMF มองว่าเป็นจังหวะดีที่จะเข้ามาซื้อ เพราะหุ้นปรับตัวลดลงพอสมควร ในส่วนคนที่ซื้อถัวเฉลี่ย ก็น่าจะเข้ามาซื้อได้เช่นกัน และนักลงทุนรายย่อยที่เพิ่งเริ่มหัดลงทุนจังหวะนี้ก็ถือว่าเหมาะที่จะเข้ามาลงทุน ด้วย
“ถ้าประมาณการกำไรทฤษฎีของแต่ละหุ้นโดยรวม น่าจะอยู่ที่ประมาณ 1,680 จุด พลิกกลับมาเป็น P/ E ประมาณ 16 เท่า ถ้าตลาดอื่นยังวิ่งได้ดีอยู่เราก็จะขนานไปกับเขาได้ ทั้งอเมริกากับญี่ปุ่นก็ปรับตัวขึ้นไป แม้ในช่วง 1 อาทิตย์ที่ผ่านมา ตลาดไทยยังถูกทิ้ง แต่น่าจะทยอยปรับขึ้นตามภาวะตลาดได้”
นายมนตรี กล่าวถึงสถานการณ์ค่าเงินบาท ว่า การที่ค่าเงินบาทแข็งค่าสวนกระแสกับตลาดหุ้นที่ปรับตัวลงนั้น หลายคนเชื่อว่าโอกาสแข็งค่าของเงินบาทกับตลาดทุนนั้นควรที่จะดีไปพร้อมๆกัน แต่หุ้นมีปัจจัยหลายอย่างแทรกซ้อน เพราะหุ้นปรับตัวสูงขึ้นไปมากก็เลยปรับตัวอ่อนลงไปบ้าง โดยทิศทางระยะยาวความเสี่ยงน่าจะน้อยลง ถ้ายอมให้ค่าเงินบาทอ่อนมากขึ้นกว่านี้ จะขายของได้มากขึ้น นักลงทุนจะเข้ามาซื้อขายมากขึ้น
“อเมริกาเจอวิกฤติเหมือนที่เราเจอ เขาก็อยากให้ค่าเงินเราอ่อนค่าบ้าง ซึ่งค่าเงินบาทไทยอาจกลับไปแตะที่ 25-26 บาท/ดอลล่าห์สหรัฐ ถ้าหากอเมริกายังไม่สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจภายในประเทศได้ ยังขาดดุลการค้าการลงทุนยังไม่สมดุล ค่าเงินบาทและเงินในสกุลเงินในภูมิภาคเอเซียทั้งก็จะยังคงแข็งค่าขึ้นต่อไป”
ในส่วนของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก็ทำหน้าที่ได้อย่างดีที่ปล่อยให้ค่าเงินบาทปรับตัวโดยไม่เข้ามาแทรกแซงกลไกตลาด แต่แทรกแซงในระดับที่ไม่ให้ผันผวนเกินไปเท่านั้น ก็ถือว่าเป็นบทบาทที่ดีที่สุด ถ้าไปฝืนธรรมชาติมากๆก็จะไม่ดี
**หุ้นไทยวันนีผันผวนจัดบวก19จุด
ความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทย วานนี้ (10เม.ย.) ดัชนีปิดที่ระดับ 1,490.25 จุด เพิ่มขึ้น 19.53 จุด หรือ 1.33% มูลค่าการซื้อขาย 43,497.88 ล้านบาท ภาพรวมแกว่งตัวผันผวนทั้งบวก-ลบสลับกัน ไร้ปัจจัยใหม่หนุนและยังมีสถานการณ์ความไม่แน่นอนเกี่ยวจากคาบสมุทรเกาหลี ไข้หวัดนก และมาตการดูแลค่าเงินบาทเข้ามากดดัน มีผลต่อดัชนีให้ปรับตัวลง ก่อนปรับตัวขึ้นในช่วงท้าย
โดยระหว่างวันดัชนีขยับขึ้นแตะจุดสูงสุดของวันที่ระดับ 1,490.39 จุด ส่วนดัชนีจุดต่ำสุดของวันอยู่ที่ 1,458.40 จุด หลักทรัพย์ทีทมีการเปลี่ยนแปลง เพิ่มขึ้น 433 หลักทรัพย์ ลดลง 238 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 109 หลักทรัพย์
หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ ได้แก่ ADVANC มูลค่าการซื้อขาย 2,245.23 ล้านบาท ปิดที่ 237.00 บาท เพิ่มขึ้น 9.00 บาท PTT มูลค่าการซื้อขาย 2,039.67 ล้านบาท ปิดที่ 314.00 บาท เพิ่มขึ้น 3.00 บาท KBANK มูลค่าการซื้อขาย 1,723.90 ล้านบาท ปิดที่ 193.50 บาท ลดลง 3.50 บาท SIRI มูลค่าการซื้อขาย 1,350.47 ล้านบาท ปิดที่ 3.90 บาท เพิ่มขึ้น 0.12 บาท และ BBL มูลค่าการซื้อขาย 1,285.30 ล้านบาท ปิดที่ 219.00 บาท ลดลง 2.00 บาท
น.ส.อาภาภรณ์ แสวงพรรค ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส(ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้แกว่งตัวบวกลบสลับกัน ไร้ปัจจัยใหม่เข้ามาหนุนตลาด ซึ่งช่วงที่ดัชนีปรับตัวลง มาจากความไม่แน่นอนจากปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก ทั้งเกาหลี ไข้หวัดนก และมาตรการดูแลเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น
“ดัชนีที่ปรับตัวขึ้นคาดว่าเป็นการรีบาวน์หลังจากที่ปรับตัวลงมาในช่วงเช้า ประกอบกับมีการซื้อเพื่อเก็งกำไรในช่วงท้ายตลาด โดยช่วงนี้ทำให้มีนักลงทุนบางส่วนปรับพอร์ตก่อนช่วงวันหยุดยาว และมีนักลงทุนบางส่วนยังมีการทยอยซื้อเพื่อเก็งกำไร เพราะคาดหวังว่าหลังจากจบเทศกาล จะกลับมาอยู่ในช่วงขาขึ้นอีกครั้ง"
แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในวันนี้ (11เม.ย.) คาดว่ายังคงมีการแกว่งตัวคล้ายกับวานนี้ เนื่องจากปัจจัยเดิมยังส่งผลกระทบอยู่ และยังไร้ปัจจัยบวกใหม่ๆเข้ามา น่าจะทำให้ตลาดหุ้นไทยยังคงมีการแกว่งตัวในลักษณะเดียวกัน แนวต้าน 1,490-1,500 จุด แนวรับ 1,450 จุด