ASTVผู้จัดการรายวัน - นับจากเศรษฐกิจกลุ่มประเทศยุโรปและอเมริกาตกต่ำ ประกอบกับจีน อินเดีย ซึ่งเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก มีการบริโภคมากที่สุดเช่นกัน ยิ่งทำให้เอเชียกลายเป็นภูมิภาคที่มีความโดดเด่นด้านเศรษฐกิจมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้ทุนหลั่งไหลเข้ามาในเอเชียจำนวนมาก และหากโฟกัสความร้อนแรงของภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในภูมิภาคเอเชีย
ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมามีการเติบโตอย่างมาก ราคาที่ดิน อสังหาริมทรัพย์พุ่งสูงในหลายเมือง อาทิ ประเทศจีน ฮ่องกง สิงคโปร์ เวียดนาม และล่าสุดพม่า จนทำให้รัฐบาลหลายๆประเทศต้องออกมาตรการควบคุมเพื่อลดความร้อนแรงของตลาดลง ป้องกันการเกิดภาวะฟองสบู่ที่จะตามมา เช่น รัฐบาลสิงคโปร์ ฮ่องกง พม่า ปรับขึ้นภาษีอสังหาฯในอัตรา 15% รวมถึงเพิ่มดอกเบี้ยเงินกู้
การปรับขึ้นภาษีในอัตราดังกล่าวถือว่าสูงมาก ทำให้นักลงทุนเริ่มลังเลที่จะเข้าไปลงทุนในประเทศนั้นๆ แต่นี้ถือเป็นโอกาสที่ดีสำหรับอสังหาริมทรัพย์ของไทย ที่ทั้งอัตราดอกและภาษีอสังหาฯอยู่ในระดับต่ำกว่าประเทศคู่แข่งมาก
นายแฟรงค์ ข่าน กรรมการบริหารและผู้อำนวยการ-หัวหน้าฝ่ายที่ปรึกษาด้านโครงการที่พักอาศัย บริษัท ไนท์แฟรงค์ ชาร์เตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ช่วงจังหวะนี้ถือเป็นโอกาสที่ดีสำหรับการทำตลาดชาวต่างชาติ เนื่องจากอสังหาฯของไทยมีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น ทั้งจากการออกมาตรการลดภาวะฟองสบู่ในต่างประเทศ ขณะที่การเมืองภายในประเทศของไทยถือว่าสงบไม่มีความร้อนแรง จึงถือเป็นช่วงโอกาสที่ดีในการนำอสังหาฯไทยออกไปโรดโชว์ยังต่างประเทศ เพื่อดึงกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติให้เข้ามาซื้ออสังหาฯของไทย ทั้งนี้ พบว่าในปีนี้มีการนำโครงการอสังหาฯไปโรดโชว์ยังต่างประเทศเพิ่มมากขึ้นทุกปี
สำหรับแผนการดำเนินงานของไนท์แฟรงค์ปีนี้ มีแผนนำโครงการอสังหาฯไทยไปโรดโชว์ต่างประเทศมากถึง 10 ครั้ง จากปีที่แล้ว จัดโรดโชว์แค่ 3 ครั้ง โดยเน้นตลาดสิงคโปร์และฮ่องกงเป็นหลัก โดยเฉพาะสิงคโปร์ จะโรดโชว์มากกว่า 5 ครั้ง ในช่วงเดือนพ.ค.,มิ.ย. และก.ค.นี้ ทั้งนี้ คาดว่าสามารถทำยอดขายแต่ละครั้งไม่ต่ำกว่า 100-200 ล้านบาท จากก่อนหน้านี้ช่วงเดือนมีนาคม ได้นำคอนโดมิเนียม 4 โครงการ ที่อยู่ระหว่างบริหารงานขายไปโรดโชว์ที่สิงคโปร์มาแล้ว รวม 50-60 ยูนิต มูลค่ากว่า 350 ล้านบาท และสามารถทำยอดขายกว่า 100 ล้านบาท
" ปีนี้มีบริษัทอสังหาฯไทยให้ความสนใจร่วมไปโรดโชว์ที่สิงคโปร์ และฮ่องกง มากขึ้น โดยเฉพาะบริษัทมีโครงการในย่านซีบีดี สุขุมวิท ช่วงรอยต่อแนวรถไฟฟ้าบีทีเอส และรถไฟฟ้าใต้ดิน ซึ่งเป็นทำเลที่นักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจมากเป็นพิเศษ อีกทั้งมองว่ามาตรการควบคุมการซื้ออสังหาฯ ในสิงคโปร์ ฮ่องกง จะเป็นโอกาสทองในการดึงเม็ดเงินจำนวนดังกล่าวมายังตลาดที่อยู่อาศัยไทย ทั้งนี้ มีเงินแค่ 4-6 ล้านบาทก็ซื้อคอนโดฯในไทยได้ แต่หากซื้อคอนโดฯในสิงคโปร์ ต้องใช้เงินอย่างน้อย 50 ล้านบาท โดย 75% เป็นการซื้อเพื่อลงทุน อีก 25% ซื้อเป็นบ้านหลังที่สอง” นาย ข่าน กล่าว
ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมามีการเติบโตอย่างมาก ราคาที่ดิน อสังหาริมทรัพย์พุ่งสูงในหลายเมือง อาทิ ประเทศจีน ฮ่องกง สิงคโปร์ เวียดนาม และล่าสุดพม่า จนทำให้รัฐบาลหลายๆประเทศต้องออกมาตรการควบคุมเพื่อลดความร้อนแรงของตลาดลง ป้องกันการเกิดภาวะฟองสบู่ที่จะตามมา เช่น รัฐบาลสิงคโปร์ ฮ่องกง พม่า ปรับขึ้นภาษีอสังหาฯในอัตรา 15% รวมถึงเพิ่มดอกเบี้ยเงินกู้
การปรับขึ้นภาษีในอัตราดังกล่าวถือว่าสูงมาก ทำให้นักลงทุนเริ่มลังเลที่จะเข้าไปลงทุนในประเทศนั้นๆ แต่นี้ถือเป็นโอกาสที่ดีสำหรับอสังหาริมทรัพย์ของไทย ที่ทั้งอัตราดอกและภาษีอสังหาฯอยู่ในระดับต่ำกว่าประเทศคู่แข่งมาก
นายแฟรงค์ ข่าน กรรมการบริหารและผู้อำนวยการ-หัวหน้าฝ่ายที่ปรึกษาด้านโครงการที่พักอาศัย บริษัท ไนท์แฟรงค์ ชาร์เตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ช่วงจังหวะนี้ถือเป็นโอกาสที่ดีสำหรับการทำตลาดชาวต่างชาติ เนื่องจากอสังหาฯของไทยมีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น ทั้งจากการออกมาตรการลดภาวะฟองสบู่ในต่างประเทศ ขณะที่การเมืองภายในประเทศของไทยถือว่าสงบไม่มีความร้อนแรง จึงถือเป็นช่วงโอกาสที่ดีในการนำอสังหาฯไทยออกไปโรดโชว์ยังต่างประเทศ เพื่อดึงกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติให้เข้ามาซื้ออสังหาฯของไทย ทั้งนี้ พบว่าในปีนี้มีการนำโครงการอสังหาฯไปโรดโชว์ยังต่างประเทศเพิ่มมากขึ้นทุกปี
สำหรับแผนการดำเนินงานของไนท์แฟรงค์ปีนี้ มีแผนนำโครงการอสังหาฯไทยไปโรดโชว์ต่างประเทศมากถึง 10 ครั้ง จากปีที่แล้ว จัดโรดโชว์แค่ 3 ครั้ง โดยเน้นตลาดสิงคโปร์และฮ่องกงเป็นหลัก โดยเฉพาะสิงคโปร์ จะโรดโชว์มากกว่า 5 ครั้ง ในช่วงเดือนพ.ค.,มิ.ย. และก.ค.นี้ ทั้งนี้ คาดว่าสามารถทำยอดขายแต่ละครั้งไม่ต่ำกว่า 100-200 ล้านบาท จากก่อนหน้านี้ช่วงเดือนมีนาคม ได้นำคอนโดมิเนียม 4 โครงการ ที่อยู่ระหว่างบริหารงานขายไปโรดโชว์ที่สิงคโปร์มาแล้ว รวม 50-60 ยูนิต มูลค่ากว่า 350 ล้านบาท และสามารถทำยอดขายกว่า 100 ล้านบาท
" ปีนี้มีบริษัทอสังหาฯไทยให้ความสนใจร่วมไปโรดโชว์ที่สิงคโปร์ และฮ่องกง มากขึ้น โดยเฉพาะบริษัทมีโครงการในย่านซีบีดี สุขุมวิท ช่วงรอยต่อแนวรถไฟฟ้าบีทีเอส และรถไฟฟ้าใต้ดิน ซึ่งเป็นทำเลที่นักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจมากเป็นพิเศษ อีกทั้งมองว่ามาตรการควบคุมการซื้ออสังหาฯ ในสิงคโปร์ ฮ่องกง จะเป็นโอกาสทองในการดึงเม็ดเงินจำนวนดังกล่าวมายังตลาดที่อยู่อาศัยไทย ทั้งนี้ มีเงินแค่ 4-6 ล้านบาทก็ซื้อคอนโดฯในไทยได้ แต่หากซื้อคอนโดฯในสิงคโปร์ ต้องใช้เงินอย่างน้อย 50 ล้านบาท โดย 75% เป็นการซื้อเพื่อลงทุน อีก 25% ซื้อเป็นบ้านหลังที่สอง” นาย ข่าน กล่าว