นักลงทุนผวา “ยิ่งลักษณ์”ตกเก้าอี้นายกฯ แห่เทขายกดหุ้นรูด40 จุด ก่อนรีบาวด์กลับช่วงท้ายมาปิดบวก 7 จุด อยู่ที่ระดับ 1,528.46 จุด “จรัมพร”ชี้ตลาดหุ้นไทยเปราะบางจากข่าวลบ แต่เห็นโอกาสดี ค่าP/Eลดต่ำกว่าภูมิภาค น่าเข้าลงทุนหุ้นที่มีพื้นฐานรองรับ “เผดิมภพ”เตือนระยะสั้นยังอยู่ช่วงพักฐาน แต่ต้นพ.ค.เชื่อไปต่อ ด้านทองคำก็ร่วง 350 บาท จากกองทุนตปท.เทขาย “วายแอลจี”แนะนักลงทุนติดเบรก ชะลอการลงทุน
ความเคลื่อนตลาดหุ้นไทย วานนี้ (4เม.ย.) ดัชนีหลักทรัพย์เคลื่อนตัวอยู่ในแดนลบตลอดทั้งวันปรับตัวลงกว่า 40 จุดก่อนรีบาวด์ขึ้นมาในช่วงบ่ายจนสามารถปิดตลาดที่ระดับ 1,528.46 จุด เพิ่มขึ้น 7.94 จุด หรือ 0.52% มูลค่าการซื้อขาย 60,928.61 ล้านบาท
สาเหตุหลักของ Panic Sell ครั้งนี้ มาจากความกังวลต่อตำแหน่งนายกรัฐมนตรี น.ส.ยิงลักษณ์ ชินวัตร กรณีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พิจารณาประเด็นการปล่อยกู้สามีนอกสมรส ซึ่งในครึ่งวันแรกนักลงทุนกังวลว่าจะทำให้หลุดจากตำแหน่ง จึงพากันเทขายหุ้นออกมา แต่พอช่วงบ่ายเมื่อที่ประชุมป.ป.ช.มีมติยกคำร้อง ก็ทำให้เกิดแรงซื้อกลับเข้ามาในตลาดหุ้น
ทั้งนี้ ระหว่างวัน ดัชนีแตะจุดสูงสุดที่ระดับ 1,528.48 จุด ต่ำสุดที่ระดับ 1,480.41 จุด นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 3,084.90 ล้านบาท ตามมาด้วยบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ (บล.)ขายสุทธิ 161.47 ล้านบาท
**จรัมพร แนะอย่าตื่นข่าวลบ ชี้หุ้นไทยP/Eเหลือ13เท่า
นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.)กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยอยู่ภาวะที่เปราะบาง จากข่าวต่าง ๆ เข้ามากระทบค่อนข้างมาก และไม่สามารถห้ามได้ แต่ขณะที่ค่า P/E อยู่ที่ 13 เท่ากว่า เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่นๆในภูมิภาคอยู่ที่ 14 เท่ากว่า จึงมองว่าเป็นโอกาสที่ดี เพราะระดับราคาหุ้นนั้นน่าสนใจนักลงทุนควรเลือกลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานรองรับ เพราะ เมื่อดัชนีปรับตัวลดลง จะไม่ได้ทำให้เป็นกังวลมากนัก
** “เผดิมภพ”เตือนระยะสั้นหุ้นไทยยังพักฐาน
ด้านนายเผดิมภพ สงเคราะห์ กรรมการผู้จัดการสายงานการเงินบุคคล บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า การปรับตัวของดัชนีครั้งนี้ ส่วนหนึ่งมาจากข่าวลบด้านการเมือง ซึ่งพอทุกอย่างออกมาในทิศทางที่ดี ดัชนีหุ้นไทยก็ปรับตัวกลับมา แต่ระยะสั้นยังมองว่าดัชนีอยู่ในช่วงพักฐาน และน่าจะปรับตัวเพิ่มขึนต่อไปในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม เนื่องจากส่วนหนึ่ง เมษายนมีวันหยุดเทศกาลเยอะทำให้นักลงทุนบางกลุ่มเริ่มชะลอการลงทุน
อีกทั้งคาดว่าจะมีตัวเลขเศรษฐกิจด้านบวกทั้งจากในและต่างประเทศ เข้ามาเป็นปัจจัยผลักดันในต้นเดือนหน้า โดยทั้งปียังให้หุ้นไทยที่ 1,700 จุด P/E 15 เท่า ส่วนกลุ่มหุ้นที่น่าลงทุนได้แก่ ธุรกิจเติบโตจากการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(AEC) โดยเฉพาะธุรกิจในต่างจังหวัด , ธุรกิจพลังงานทดแทน ,ธุรกิจสื่อทีวีดิจิตอลและสื่อสาร ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างที่ได้รับประโยชน์จากการลงทุนภาครัฐ และธุรกิจที่ผลประกอบการพลิกกลับมาบวก
**หุ้นไทยมีแนวโน้มไปต่อ
ด้านนายธีรวุฒิ กานต์นิภากุล ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.ซีไอเอ็มบี(ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นผันผวนรุนแรง จากการที่ความกังวลเกี่ยวกับการเมืองภายในประเทศ ขณะที่ตลาดภูมิภาคเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแคบๆ ยกเว้น ญี่ปุ่นที่ปรับตัวขึ้นแรงหลังจากธนาคารกลางญี่ปุ่น(บีโอเจ)มีมติผ่อนคลายนโยบายการเงินต่อ ทำให้แนวโน้มการลงทุนวันนี้ (5เม.ย.) มองว่าดัชนีจะดีดตัวขึ้นต่อ หลังนักลงทุนผ่อนคลายความกังวลเกี่ยวกับปัญหาทางการเมือง ส่งผลให้มีการกลับเข้ามาซื้อเพื่อเก็งกำไรในระยะสั้นอีกครั้ง แนวรับ 1,495-1,515 จุด และแนวต้าน 1,540-1,565 จุด
***ราคาทองคำร่วงแรง350บาท
ขณะเดียวกันราคาทองคำวานนี้ ปรับลดลงค่อนข้างมาก โดยลดลง 350 บาท/1บาททองคำ โดยทองคำแท่งอยู่ที่รับซื้อ 21,450 บาท ขายออก 21,550 บาท ส่วนทองคำรูปพรรณ รับซื้อ 21,133 บาท ขายออก 21,950 บาท เนื่องจากในตลาดโลกมีกระแสข่าวว่านักลงทุนรายใหญ่เทขายทองคำออกมา
นางสาวฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจีบูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด เปิดเผยถึงภาพรวมการเคลื่อนไหวของราคาทองคำในไตรมาสที่ 1 ของปี 2556 ว่าได้ปรับตัวลดลงไปประมาณ 78.66 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรืออ่อนตัวลง 4.93% โดยราคาทองคำในประเทศยังได้รับแรงกดดันจากค่าเงินบาทที่มีการแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง
อีกทั้งจากที่ราคาทองคำมีการปรับตัวลดลงเรื่อยๆ ทำให้ทางสถาบันและกองทุนชั้นนำของโลกได้มีการปรับการคาดการณ์ราคาทองคำลงเหลือเฉลี่ยที่ 1,730-1,750 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อย่างไรก็ตาม คาดว่าราคาทองคำไม่ควรหลุดบริเวณ 1,530-1,520 ดอลลาร์ต่อออนซ์เนื่องจากหากหลุดลงไปแนวโน้มของราคาทองคำจะกลับตัวเป็นขาลง โดยกลยุทธ์การลงทุน การเข้าซื้อเก็งกำไรอาจต้องชะลอออกไปก่อนในขณะที่หากถือทองคำอยู่ให้รอจังหวะดีดตัวเพื่อขายทำกำไร
ความเคลื่อนตลาดหุ้นไทย วานนี้ (4เม.ย.) ดัชนีหลักทรัพย์เคลื่อนตัวอยู่ในแดนลบตลอดทั้งวันปรับตัวลงกว่า 40 จุดก่อนรีบาวด์ขึ้นมาในช่วงบ่ายจนสามารถปิดตลาดที่ระดับ 1,528.46 จุด เพิ่มขึ้น 7.94 จุด หรือ 0.52% มูลค่าการซื้อขาย 60,928.61 ล้านบาท
สาเหตุหลักของ Panic Sell ครั้งนี้ มาจากความกังวลต่อตำแหน่งนายกรัฐมนตรี น.ส.ยิงลักษณ์ ชินวัตร กรณีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พิจารณาประเด็นการปล่อยกู้สามีนอกสมรส ซึ่งในครึ่งวันแรกนักลงทุนกังวลว่าจะทำให้หลุดจากตำแหน่ง จึงพากันเทขายหุ้นออกมา แต่พอช่วงบ่ายเมื่อที่ประชุมป.ป.ช.มีมติยกคำร้อง ก็ทำให้เกิดแรงซื้อกลับเข้ามาในตลาดหุ้น
ทั้งนี้ ระหว่างวัน ดัชนีแตะจุดสูงสุดที่ระดับ 1,528.48 จุด ต่ำสุดที่ระดับ 1,480.41 จุด นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 3,084.90 ล้านบาท ตามมาด้วยบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ (บล.)ขายสุทธิ 161.47 ล้านบาท
**จรัมพร แนะอย่าตื่นข่าวลบ ชี้หุ้นไทยP/Eเหลือ13เท่า
นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.)กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยอยู่ภาวะที่เปราะบาง จากข่าวต่าง ๆ เข้ามากระทบค่อนข้างมาก และไม่สามารถห้ามได้ แต่ขณะที่ค่า P/E อยู่ที่ 13 เท่ากว่า เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่นๆในภูมิภาคอยู่ที่ 14 เท่ากว่า จึงมองว่าเป็นโอกาสที่ดี เพราะระดับราคาหุ้นนั้นน่าสนใจนักลงทุนควรเลือกลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานรองรับ เพราะ เมื่อดัชนีปรับตัวลดลง จะไม่ได้ทำให้เป็นกังวลมากนัก
** “เผดิมภพ”เตือนระยะสั้นหุ้นไทยยังพักฐาน
ด้านนายเผดิมภพ สงเคราะห์ กรรมการผู้จัดการสายงานการเงินบุคคล บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า การปรับตัวของดัชนีครั้งนี้ ส่วนหนึ่งมาจากข่าวลบด้านการเมือง ซึ่งพอทุกอย่างออกมาในทิศทางที่ดี ดัชนีหุ้นไทยก็ปรับตัวกลับมา แต่ระยะสั้นยังมองว่าดัชนีอยู่ในช่วงพักฐาน และน่าจะปรับตัวเพิ่มขึนต่อไปในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม เนื่องจากส่วนหนึ่ง เมษายนมีวันหยุดเทศกาลเยอะทำให้นักลงทุนบางกลุ่มเริ่มชะลอการลงทุน
อีกทั้งคาดว่าจะมีตัวเลขเศรษฐกิจด้านบวกทั้งจากในและต่างประเทศ เข้ามาเป็นปัจจัยผลักดันในต้นเดือนหน้า โดยทั้งปียังให้หุ้นไทยที่ 1,700 จุด P/E 15 เท่า ส่วนกลุ่มหุ้นที่น่าลงทุนได้แก่ ธุรกิจเติบโตจากการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(AEC) โดยเฉพาะธุรกิจในต่างจังหวัด , ธุรกิจพลังงานทดแทน ,ธุรกิจสื่อทีวีดิจิตอลและสื่อสาร ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างที่ได้รับประโยชน์จากการลงทุนภาครัฐ และธุรกิจที่ผลประกอบการพลิกกลับมาบวก
**หุ้นไทยมีแนวโน้มไปต่อ
ด้านนายธีรวุฒิ กานต์นิภากุล ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.ซีไอเอ็มบี(ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นผันผวนรุนแรง จากการที่ความกังวลเกี่ยวกับการเมืองภายในประเทศ ขณะที่ตลาดภูมิภาคเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแคบๆ ยกเว้น ญี่ปุ่นที่ปรับตัวขึ้นแรงหลังจากธนาคารกลางญี่ปุ่น(บีโอเจ)มีมติผ่อนคลายนโยบายการเงินต่อ ทำให้แนวโน้มการลงทุนวันนี้ (5เม.ย.) มองว่าดัชนีจะดีดตัวขึ้นต่อ หลังนักลงทุนผ่อนคลายความกังวลเกี่ยวกับปัญหาทางการเมือง ส่งผลให้มีการกลับเข้ามาซื้อเพื่อเก็งกำไรในระยะสั้นอีกครั้ง แนวรับ 1,495-1,515 จุด และแนวต้าน 1,540-1,565 จุด
***ราคาทองคำร่วงแรง350บาท
ขณะเดียวกันราคาทองคำวานนี้ ปรับลดลงค่อนข้างมาก โดยลดลง 350 บาท/1บาททองคำ โดยทองคำแท่งอยู่ที่รับซื้อ 21,450 บาท ขายออก 21,550 บาท ส่วนทองคำรูปพรรณ รับซื้อ 21,133 บาท ขายออก 21,950 บาท เนื่องจากในตลาดโลกมีกระแสข่าวว่านักลงทุนรายใหญ่เทขายทองคำออกมา
นางสาวฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจีบูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด เปิดเผยถึงภาพรวมการเคลื่อนไหวของราคาทองคำในไตรมาสที่ 1 ของปี 2556 ว่าได้ปรับตัวลดลงไปประมาณ 78.66 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรืออ่อนตัวลง 4.93% โดยราคาทองคำในประเทศยังได้รับแรงกดดันจากค่าเงินบาทที่มีการแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง
อีกทั้งจากที่ราคาทองคำมีการปรับตัวลดลงเรื่อยๆ ทำให้ทางสถาบันและกองทุนชั้นนำของโลกได้มีการปรับการคาดการณ์ราคาทองคำลงเหลือเฉลี่ยที่ 1,730-1,750 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อย่างไรก็ตาม คาดว่าราคาทองคำไม่ควรหลุดบริเวณ 1,530-1,520 ดอลลาร์ต่อออนซ์เนื่องจากหากหลุดลงไปแนวโน้มของราคาทองคำจะกลับตัวเป็นขาลง โดยกลยุทธ์การลงทุน การเข้าซื้อเก็งกำไรอาจต้องชะลอออกไปก่อนในขณะที่หากถือทองคำอยู่ให้รอจังหวะดีดตัวเพื่อขายทำกำไร